อลวนรักหมอหญิงชิงลั่ว - ตอนที่ 172 ผีหลอก
ตอนที่ 172 ผีหลอก
เยว่ซินถึงกับหน้าถอดสีขาวโพลน คุกเข่าลงบนพื้นโดยไม่แม้แต่จะหยุดคิด “ขอโทษเจ้าค่ะคุณหนู บ่าวขอโทษ บ่าวรู้ตัวดีว่าสมควรตาย ขอโทษเจ้าค่ะ”
อวี้ชิงลั่วชะงัก พึ่งค้นพบว่าด้านหลังยังมีสาวใช้ขี้ขลาดอีกหนึ่งคน เพิ่งได้สติว่านางอาจทำให้อีกฝ่ายตกใจจนขวัญกระเจิงไปแล้ว
หลังจากหัวเราะแห้ง ๆ หนึ่งเสียง นางก็ปิดตู้และหมุนกายดึงอีกฝ่ายขึ้นจากพื้น “พอแล้ว ข้าไม่ได้ตำหนิเจ้า ไม่ต้องร้องไห้ เรื่องเหล่านี้พูดไปแล้วก็แล้วกันไป โม่เสียนเชื่อใจได้”
การเคลื่อนไหวของเยว่ซินถึงกับแข็งทื่อ เงยหน้ามองด้วยน้ำตาที่เอ่อล้นดวงตา “ไม่…ไม่เป็นไรจริง ๆ หรือเจ้าคะ? เรื่องนี้บอกผู้อารักขาโม่ได้หรือเจ้าคะ?”
“อืม คนในตำหนักอ๋องแห่งนี้เป็นคนที่ท่านอ๋องซิวเลือกมาอย่างดี ส่วนใหญ่ก็คงเป็นคนที่เขาไว้ใจทั้งหมดนั่นแหละ โดยพื้นฐานต่างก็เชื่อถือได้ แต่ข้ารู้จักเพียงไม่กี่คน ตอนนี้คนที่พอจะเข้าใจนิสัยพวกเขาก็มีผู้อารักขาใหญ่สี่คนนั้นแหละ หลังจากนี้หากเจ้าเจอปัญหาหรือต้องการความช่วยเหลือ ก็ไปหาพวกเขาได้ ตอนนี้เจ้าได้เจอกับโม่เสียนไปหนึ่งคนแล้ว หลังจากนี้ก็ค่อย ๆ ทำความรู้จักกับสามคนที่เหลือ”
อวี้ชิงลั่วยื่นผ้าเช็ดหน้าให้นางหนึ่งผืน หลังจากครุ่นคิด นางก็รู้สึกได้ว่าสิ่งที่เย่ซิวตู๋พูดก็มีเหตุผล เยว่ซินจำเป็นต้องได้รับการตักเตือนสักหน่อย
“เยว่ซิน บางอย่างหากไม่พูดออกไปก็พยายามได้อย่าพูดออกไป โดยเฉพาะเรื่องเกี่ยวกับข้า หากเจ้าไม่มั่นใจว่าสามารถพูดได้หรือไม่ เช่นนั้นก็ปิดปากให้เงียบสนิท คนอื่นถามอะไรเจ้าแค่บอกว่าไม่รู้ก็สิ้นเรื่องแล้ว”
เยว่ซินพยักหน้าแรงๆ “ข้าทราบแล้วเจ้าค่ะ คุณหนูอย่าได้เป็นกังวล หลังจากนี้ต่อให้ทุบตีเยว่ซินให้ตาย เยว่ซินก็จะไม่พูด”
“ไม่ได้ร้ายแรงขนาดนั้น” อวี้ชิงลั่วหัวเราะ หันกลับไปนับขวดกระเบื้องเคลือบที่อยู่ในตู้อีกหน นับไปนับมาก็พบว่าผงไข่มุกหายไปสองขวดจริง ๆ
“คุณหนูกำลังทำอะไรอยู่หรือเจ้าคะ?” เยว่ซินมองขวดที่วางอยู่บนโต๊ะด้วยความไม่เข้าใจ แม้ว่าบนนั้นจะมีตัวอักษรแปะไว้ แต่ตัวอักษรเหล่านั้นก็มีรูปร่างประหลาด ไม่เหมือนกับที่นางเคยเห็นโดยปกติ
อวี้ชิงลั่วนับขวดเป็นครั้งที่สาม จึงเริ่มขบฟันอย่างดุเดือด
หายไปสองขวดอย่างที่คิดไว้จริง ๆ
ต้องเป็นไอ้เด็กบ้าหนานหนานนั่นเอาไปแน่ ๆ เจ้าเด็กคนนั้น นางเคยบอกไปแล้วมิใช่หรือว่าผิวของเด็กบอบบาง ไม่จำเป็นต้องทาผงไข่มุก? ไอ้เด็กบั้นท้ายเล็กนั่นหน้าตาดีขนาดไหนกันเชียว ถึงได้กล้ามาขโมยของที่นางไว้ใช้พอกหน้า ทั้งยังขโมยไปสองขวดด้วย สองขวดเชียวนะไอ้เด็กบ้า
“ฮัดชิ้ว!”
หนานหนานถึงกับจาม ผงไข่มุกที่อยู่ในมือถูกเขาเป่าจนปลิวหายไปครึ่งหนึ่ง
เจ้าเด็กน้อยรู้สึกปวดใจจนแทบร้องขอชีวิต เขารีบโกยผงที่อยู่บนโต๊ะกลับเข้าไปในขวด ภายในใจจึงรู้สึกดีขึ้นบ้างเล็กน้อย
เย่หลานเฉิงที่นอนอยู่บนเตียงข้าง ๆ เงยหน้ามองเพดาน ไม่กล้าแม้แต่จะขยับตัว บนใบหน้าของเขามีบางอย่างที่ดูเหมือนจะเป็นยาขี้ผึ้งสีขาวแปะอยู่หนึ่งชั้นหนา ๆ ขยับปากพูดด้วยท่าทางแข็งทื่อ “หนานหนาน เจ้าเป็นหวัดใช่หรือไม่? กลางคืนหนาวหรือ? ข้าให้คนไปเอาผ้าห่มมาเพิ่มก็แล้วกันนะ”
หนานหนานชะงัก รีบหันหน้ากลับมา พูดใส่หน้าเขาด้วยท่าทางประหม่า “ปัดโถ่เอ๊ย! เสี่ยวเฉิงเฉิงเจ้าอย่าพูดสิ ข้าบอกไปแล้วมิใช่หรือ? ถ้าเจ้าพูด กล้ามเนื้อบนใบหน้าจะเคลื่อนไหวไปมา แบบนี้ไม่ดีแน่ มา นอนดี ๆ เดี๋ยวข้าทาที่คางให้ใหม่อีกหน่อย”
เย่หลานเฉิงรู้สึกเย็นบนใบหน้า ภายในใจกลับไม่มีความแน่ใจเอาเสียเลย “หนานหนาน เจ้าสิ่งนี้ทาลงบนหน้าได้จริง ๆ หรือ? มันจะทำให้มีผดผื่นขึ้นมาบนใบหน้าหรือไม่?”
หนานหนานแค่นเสียงออกจากลำคอ พูดด้วยความภาคภูมิใจ “เสี่ยวเฉิงเฉิง ต่อให้เจ้าไม่เชื่อมั่นในตัวข้า แต่ก็ควรจะเชื่อท่านแม่ของข้าสิ นี่เป็นของที่ท่านแม่ของข้าทำขึ้นมาเองเลยนะ เวลานางไม่มีอะไรก็เอาเจ้าสิ่งนี้มาทาหน้า ข้าลองทาเองตั้งหลายครั้งแล้ว ไม่เห็นเป็นอะไรเลย ข้าจะบอกอะไรให้นะ หากได้ทำสิ่งนี้ ผิวพรรณก็จะดีมาก ๆ เลย ทั้งขาวทั้งใส เช้าวันพรุ่งเจ้าไปยืนส่องใต้แสงแดดดูสิ สว่างกระจ่างใสเลยล่ะ”
อืม เขาเคยคิดไว้แล้ว ในวังแห่งนี้มีไข่มุกเยอะ ทั้งยังเป็นของระดับสูงด้วย สตรีที่อยู่ในวังแห่งนี้ต่างก็อยากให้ตนเองงดงาม นี่เป็นโอกาสที่ดีที่จะทำให้เขาร่ำรวยเชียวนะ ถึงเวลานั้นเขาจะนำไข่มุกไปบดให้เป็นผง จากนั้นก็เติมน้ำผึ้งอะไรนั่นไปสักหน่อย เอามาทำเป็นแผ่นพอกหน้าอะไรนั่นที่ท่านแม่บอก ต้องมีคนซื้อเยอะมากแน่ ๆ
อืม เขาจะส่งไปให้ไทเฮาคนแรก
อืม กลับไปต้องไปถามฮ่องเต้สักหน่อยแล้วว่าให้รางวัลเป็นไข่มุกสักสามสี่พวงได้หรือไม่ หากไม่เหลือบ่ากว่าแรงก็ให้เขาแบบไม่คิดเงินสักหน่อย ดู ๆ ไปแล้ว พระองค์ก็ถือว่าใจกว้างมาก
ท่านแม่บอกว่า คนในวังยังไม่รู้ว่าไข่มุกนอกจากนำมาร้อยเป็นสร้อยแขวนบนร่างกายแล้ว ยังสามารถนำมาบนเป็นผงแล้วทาบนใบหน้าได้ด้วย ดังนั้นสำหรับสตรีที่อยู่ในนี้ล้วนถือเป็นของแปลกใหม่ แม้เขาจะรู้สึกสงสัยว่าเหตุใดท่านแม่ถึงพูดว่าคนในนี้ก็ตาม หรือว่าท่านแม่เป็นคนในนั้นกัน?
หนานหนานหัวเราะหึๆ หันกลับมาส่องกระจกและเริ่มทาลงบนใบหน้าตัวเอง ระหว่างที่ทาก็วาดฝันไว้สวยหรู จนกระทั่งทาหน้าเสร็จแล้วจึงถอนหายใจลากยาวออกมา เอนตัวนอนลงบนเตียงข้าง ๆ เย่หลานเฉิง ทั้งคู่พร้อมใจกันจ้องมองคานที่อยู่ด้านบน
ผู้พิทักษ์ทมิฬที่แอบอยู่บนหลังคาถึงกับร่างสั่นสะท้านอย่างห้ามไม่อยู่ พวกเขาหันสบตากัน สิ่งนี้นำมาทาหน้าได้จริง ๆ หรือ? ถึงเวลานั้นหากเกิดผดผื่นอย่างที่เฉิงซื่อจื่อพูดใจริง ๆ จะทำเช่นไร?
เจ้าเด็กที่ชื่อหนานหนานนี่ เหตุใดถึงได้มีความคิดประหลาดมากมายขนาดนี้?
“หนานหนาน ต้องทาทิ้งไว้อีกนานแค่ไหน?” เย่หลานเฉิงได้ทาสิ่งนี้แล้ว เขามีความคิดอยากใช้มือดึงมันออกหลายหน แต่กลัวว่าหนานหนานจะโกรธ ถึงอย่างไรของสิ่งนี้ก็เป็นสิ่งที่เขาอุตส่าห์นั่งทำให้ตั้งนานกว่าจะเสร็จ
หนานหนานหลับตาลงด้วยท่าทางสบายอกสบายใจอย่างยิ่ง “ทาทิ้งไว้หนึ่งเค่อก็พอแล้ว”
เป็นเพราะเขามองการณ์ไกล ฉวยโอกาสตอนที่ท่านแม่ไม่ทันได้สังเกตหยิบผงไข่มุกมาสองขวดและซ่อนไว้อย่างเงียบ ๆ มิเช่นนั้นเขามาอยู่ในวังแห่งนี้ก็คงไม่ได้ดูแลผิวหน้าให้ดี ท่านแม่บอกว่าสภาพผิวหน้าเป็นสิ่งที่สำคัญมาก นี่เป็นเรื่องใหญ่ทั้งชีวิตของสตรีเลยด้วย
อืม หนานหนานจึงเข้าใจได้เองว่ามันคงเป็นเรื่องใหญ่ทั้งชีวิตของบุรุษเช่นกัน
เย่หลานเฉิงเงียบไม่พูดไม่จา หนึ่งเค่อ? เขานอนไปได้ครู่หนึ่งแล้ว เช่นนั้นรออีกหน่อยก็คงดึงออกมาได้แล้ว
คิดเช่นนี้ จึงแอบถอนหายใจเบา ๆ และปิดตาลงเล็กน้อยตามหนานหนานด้วย
ใครจะไปคิดเพียงไม่นาน จู่ ๆ ด้านนอกเรือนก็มีเสียงฝีเท้าแผ่วเบาดังขึ้น นางข้าหลวงและขันทีที่ดูแลอยู่ในเรือนรีบพร้อมใจกันคุกเข่าลงบนพื้น
ขันนทีอยากจะเข้าไปรายงานเด็กทั้งสองคนด้านใน ทว่ากลับถูกเหมียวเชียนชิวยื่นมือห้ามไว้
จากนั้นจึงโบกมือให้ทุกคนถอยออกไป ส่วนตนเองยกโคมไฟส่องทางเดินอย่างระมัดระวัง กล่าวเสียงทุ้มต่ำว่า “ฝ่าบาท เชิญทางนี้พ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้พยักพระพักตร์ สาวพระบาทเข้าใกล้เรือนแห่งนั้นมากขึ้นเรื่อย ๆ สีพระพักตร์ก็ยิ่งอ่อนโยนลง
เหมียวเชียนชิวก้าวเท้าเหยียบขึ้นบันได เคาะประตูเบา ๆ กระซิบส่งเสียงเรียก “เฉิงซื่อจื่อ หลับหรือยังขอรับ?”
หนานหนานและเย่หลานเฉิงที่อยู่ในห้องเบิกตาโพลงพร้อมกัน ทั้งคู่ชะงักไปครู่หนึ่ง เสียงที่ได้ยินดูเหมือนจะไม่ใช่เสียงบ่าวในเรือนแห่งนี้ จึงรีบพากันลุกขึ้นจากเตียง
หนานหนานวิ่งไปหยิบเชิงเทียนที่ข้างโต๊ะ จากนั้นทั้งคู่จึงเดินไปเปิดประตูห้องอย่างช้า ๆ
ครั้นเหมียวเชียนชิวก้มหน้าลง รูม่านตาก็พลันหดเล็ก
“อ๊าก…ผีหลอก…”
…………………………………………………………………………………………………………………………
สารจากผู้แปล
๕๕๕ หนานหนานเจ้าเด็กแสบ ขโมยสกินแคร์ของแม่ไปใช้ตั้งเยอะ
ฝ่าบาทจะตกใจไหมเนี่ยที่เห็นผีหน้าขาวตัวน้อยสองคนในเรือนเฉิงซื่อจื่อ
ไหหม่า(海馬)