อลวนรักหมอหญิงชิงลั่ว - ตอนที่ 173 ถือโอกาส
ตอนที่ 173 ถือโอกาส
ครั้นฮ่องเต้ได้สดับฟัง พระหทัยพลันเต้นแรง รีบก้มพระพักตร์ลงก็ถึงกับพระหทัยเต้นอย่างหนัก ความรู้สึกสยองขวัญวาดผ่านภายในพระทัย
หนานหนานก้าวเท้ามาด้านหน้าหนึ่งก้าวอย่างไม่มีความสุข “ท่านว่าใครเป็นผี ไร้มารยาทเกินไปแล้ว”
“หา…หนาน…หนานหนาน?” เสียงแหลมของเหมียวเชียนชิวพลันหยุดลง ใบหน้าขาวโพลนมีเม็ดเหงื่อผุดออกมาขณะมองเด็กสองคนที่อยู่ตรงหน้า ตอนนี้ภายในใจยังคงรู้สึกตื่นตระหนก ร่างกายสั่นเทาอย่างห้ามไม่อยู่
เย่หลานเฉิงหันไปมองหนานหนาน ก็พบว่าอีกฝ่ายกำลังถือเชิงเทียนไว้ตรงหน้า แสงไฟกระทบเข้ากับใบหน้าขาวซีดนั้น แม้จะรู้ว่าหนานหนานทาผงไข่มุกอยุ่ เย่หลานเฉิงก็ยังตกใจจนสะดุ้งโหยงอยู่ดี
เขารีบดึงเชิงเทียนที่อยู่ในมือของหนานหนานลง “เอ่อ หนานหนาน อันนี้ให้ข้าถือไว้เถอะ”
ฮ่องเต้แอบข่มความสะดุ้งพระทัยไว้ลึก เมื่อได้ยินเสียงที่คุ้นเคยของสองคนนั้น จึงถอนปัสสาสะออกมา
“พวกเจ้าสองคนเป็นอะไร? เหตุใดบนหน้าถึงขาวโพลนขนาดนี้? ใครเป็นคนทำ?”
ครั้นได้ยินน้ำเสียงอันน่าเกรงขามเช่นนี้ เย่หลานเฉิงก็ได้สติกลับมาในทันที โค้งกายคุกเข่าลง “คารวะเสด็จปู่ หลานเฉิงไม่รู้ว่าเสด็จปู่จะมาที่นี่ จึงเสียมารยาท หวังว่าเสด็จปู่จะให้อภัย”
อันที่จริงหนานหนานไม่อยากคุกเข่าเลย แต่อีกฝ่ายเป็นถึงฮ่องเต้ เขาจึงต้องไว้หน้าและยอมคุกเข่าลง
ฮ่องเต้แอบคลึงหัวพระขนง ก่อนจะหมุนกายเสด็จเข้าไปด้านใน
เหมียวเชียนชิวยกมือตบหน้าอก หันไปปิดประตูอย่างระมัดระวัง ก่อนจะวิ่งมาอยู่ปรนนิบัติข้างกายฮ่องเต้ เพียงแต่จนถึงตอนนี้เขาก็ยังใจเต้นตึกตักไม่หายจนเกือบจะเป็นลมหมดสติไป
“ลุกขึ้น ๆ พวกเจ้าบอกเรามา บนใบหน้าของพวกเจ้ามันคืออะไรกัน? แต่งหน้าเช่นนี้ช่วงกลางดึกทำไมกัน?” ฮ่องเต้ยังแอบขุ่นเคืองพระทัย เมื่อครู่เด็กสองคนนี้เกือบทำให้พระองค์เสียพระพักตร์ต่อหน้าคนอื่น หากเรื่องนี้ถูกแพร่งพรายออกไป พระองค์ยังจะเหลือพระพักตร์อีกหรือ?
เย่หลานเฉิงได้สติกลับมาในทันใด รีบยื่นมือขึ้นมาเช็ดผงไข่มุกที่อยู่บนหน้าออก “ขออภัยเสด็จปู่ เป็นความผิดของหลานเฉิง หลานจะรีบออกสิ่งนี้ออกจากหน้าเดี๋ยวนี้พ่ะย่ะค่ะ”
ทว่าหนานหนานที่ยืนอยู่ข้าง ๆ เห็นเช่นนี้ ก็เกิดความรีบร้อนขึ้น รีบพุ่งตัวเข้าไปจับมือของอีกฝ่าย ไม่ยอมให้เขาขยับ
“เสี่ยวเฉิงเฉิง ยังไม่ครบหนึ่งเค่อเลยนะ หากเจ้าเช็ดออกความพยายามของข้าก็สูญเปล่าน่ะสิ หลังจากนี้ข้าจะไม่สนใจเจ้าแล้ว”
“หนานหนาน เลิกโวยวายได้แล้ว เสด็จปู่ก็อยู่ที่นี่นะ เหตุใดถึงได้ทำตัวไร้มารยาทเช่นนี้?”
หนานหนานถลึงตาใส่เขาด้วยความโกรธ ก้มหน้าลงเริ่มยักไหล่เป็นจังหวะด้วยความขมขื่น “ข้ารู้สึกเศร้า เสี่ยวเฉิงเฉิงไม่เข้าใจถึงหัวอกของข้าบ้างเลย สิ่งนี้เป็นของที่ข้าอุตส่าห์เสี่ยงชีวิตถูกท่านแม่ทุบตีจนพิการนำออกมาอย่างยากลำบาก ข้าเสียดายที่ต้องใช้มันมาโดยตลอด เป็นเพราะเจ้าคือสหายของข้า ข้าถึงใจกว้างแบ่งปันให้เจ้าโดยไม่เก็บเงิน แต่ตอนนี้เจ้ากลับทิ้งของของข้าอย่างสิ้นเปลือง ข้าเศร้าใจมาก”
“หนานหนาน…” เย่หลานเฉิงรู้สึกลำบากใจทั้งสองฝ่าย เขาจะหลีกเลี่ยงท่าทางเช่นนี้ของหนานหนานได้อย่างไรกัน แต่…แต่เสด็จปู่ก็อยู่ที่นี่
ฮ่องเต้แอบลอบถอนหายพระทัย รู้สึกปวดพระเศียรไปหมด เจ้าเด็กคนนี้เหตุใดถึงได้คล้ายกับบิดาของเขาขนาดนั้น ไม่ได้เห็นพระองค์ที่เป็นถึงฮ่องเต้อยู่ในสายตาเลย พระองค์ประทับอยู่ตรงนี้แล้ว แต่ก็ยังละเลยได้อย่างสมบูรณ์
“พอแล้ว ๆ ไม่ต้องเช็ดแล้ว ทาไว้แบบนี้นั่นแหละ”
หนานหนานยิ้มด้วยความดีใจ นัยน์ตานั้นมีคราบน้ำตาอีกครึ่งหยดด้วย
ฮ่องเต้ถึงกับตรัสไม่ออก พระองค์ยกพระหัตถ์ขึ้น ให้ทั้งคู่เดินมานั่งข้าง ๆ “เอาล่ะ ตอนนี้ก็บอกเรามาได้แล้ว สิ่งนี้คืออะไรกันแน่”
เย่หลานเฉิงอ้าปากกำลังจะพูด หนานหนานที่อยู่ข้าง ๆ จึงเริ่มส่ายหน้า “ไม่ได้ ต้องรออีกหนึ่งเค่อ ถึงเวลานั้นหลังจากล้างทุกอย่างบนใบหน้าออกไปแล้ว ค่อยบอกฝ่าบาท”
เหมี่ยวเชียนชิวที่ยืนฟังอยู่ข้าง ๆ รู้สึกเป็นกังวลว่าหนานหนานจะล้ำเส้นฮ่องเต้จริง ๆ ต่อให้เป็นบุตรชายของท่านอ๋องซิว แต่ทำตัวไม่มีกฎเกณฑ์เช่นนี้ เกรงว่าคงได้ยั่วโทสะทำให้ฮ่องเต้ทรงกริ้วได้เช่นกัน
เย่หลานเฉิงก็เกิดอาหารประหม่า ทว่าโดยปกติแล้วฮ่องเต้ได้ยินคำชมเชยมามาก และได้เห็นคนที่ยอมจำนนต่อพระองค์มากมาย แต่นิสัยของหนานหนานในตอนนี้กลับตรงกับความโปรดปรานของพระองค์นัก
ได้อยู่กับเด็กคนนี้ มักจะรู้สึกได้ถึงความเป็นอิสระตามใจปรารถนาและความสบายพระทัย
เด็กเล็กก็ยังมีลักษณะของเด็กเล็ก แต่ก็ดีเหมือนกัน เช่นนี้ก็นับว่าเป็นความสุขของครอบครัวที่ได้อยู่รวมตัวกันทั่วหน้า ภายในเรือนขนาดเล็กที่ไม่มีกลอุบายแห่งนี้ ฮ่องเต้จึงทรงผ่อนคลายอย่างมาก
“ก็ได้ เราจะรอเจ้าหนึ่งเค่อ”
หนานหนานพยักหน้าอย่างมีความสุข หลังจากผ่านไปหนึ่งเค่อ ก็วิ่งเข้าไปด้านในโดยไม่ปล่อยให้ล่าช้า ล้างหน้าจนสะอาดหมดจดก่อนจะวิ่งออกมา
จากนั้นจึงคุกเข่าลงข้าง ๆ ฮ่องเต้ หันหน้าไปมาขณะยื่นหน้าไปยังเบื้องพระพักตร์ของฮ่องเต้ “ฝ่าบาทท่านลูบดูสิ หน้าเล็ก ๆ ของข้าเนียนนุ่มเป็นพิเศษเลยใช่หรือไม่ น่าสัมผัสเหมือนกับไข่ต้มที่ปอกเปลือกแล้วใช่หรือไม่”
“…” ฮ่องเต้ถึงกับมุมพระโอษฐ์กระตุกวูบ ฝ่าพระหัตถ์เริ่มเกิดอาการคันยุบยิบ จนต้องยื่นออกไปลูบแก้มเล็ก ๆ ที่เป็นสีแดงระเรื่อเหมือนลูกผิงกั๋ว ก่อนจะแย้มสรวล “อืม ไม่เลวเลย”
แก้มของเด็ก…ดูเหมือนว่าเดิมทีก็เป็นเช่นนี้อยู่แล้ว
หนานหนานได้ยินคำพูดนี้ก็รู้สึกภาคภูมิใจขึ้นมา เขาจึงคุยโวสรรเสริญเกี่ยวกับผงพอกหน้าไข่มุกฝีมือของท่านแม่ออกมาจนฟ้าดินเปลี่ยนสี ตั้งแต่การทำงานของมันไปจนถึงผลลัพธ์ที่ได้ จากปริมาณไปจนถึงวิธีการ การแสดงออกเป็นไปอย่างชัดเจนมาก ทำให้เหมียวกงกงที่ยืนฟังอยู่ข้าง ๆ พยักหน้าแล้วพยักหน้าอีก
ทว่าท้ายที่สุดเขาก็พูดเรื่องที่ต้องการผงไข่มุกอย่างชัดเจน
“ดังนั้นนะฝ่าบาท ของดี ๆ แบบนี้ข้าก็เลยอยากจะมอบให้ท่านหนึ่งขวดด้วย แต่ท่านเองก็น่าจะทราบดี ตอนนี้ในมือของข้ามีแค่สองขวดเอง จำนวนของมันน้อยเกินไป หากมอบให้ท่านข้าก็คงไม่มีแล้ว แน่นอนว่าหากมีไข่มุกจำนวนมากย่อมง่ายต่อการจัดการ”
ฮ่องเต้ได้ฟังจนจบก็ถึงกับสรวลร่า รู้สึกโปรดปรานเขาอย่างมาก
เจ้าเด็กคนนี้มีนิสัยหลงใหลในโชคลาภไม่ได้คล้ายกับซิวเอ๋อร์แม้แต่น้อย เพียงแต่เทียบกับซิวเอ๋อร์ตอนเด็ก ๆ เด็กคนนี้ทำให้ผู้คนโปรดปรานได้มากกว่าเยอะเลย
พระองค์หันไปรับสั่งเหมี่ยวเชียนชิว “วันพรุ่งนำไข่มุกมาที่นี่สามสี่กล่อง ให้เขาเลือกไปเล่น”
เย่หลานเฉิงที่นั่งฟังอยู่ข้าง ๆ ถึงกับอ้าปากค้าง หนานหนานกลับค้อมกายส่งเสียงสรรเสริญให้พระองค์อายุนานหมื่น ๆ ปี
ฮ่องเต้ถึงกับส่ายพระพักตร์อย่างจนปัญญา ประคองเขาให้ลุกขึ้นยืน พระองค์ก็อยากจะลองของดีที่ถูกเรียกว่าผงพอกหน้าเช่นกัน
เหมียวเชียนชิวเห็นเช่นนี้ ก็รีบก้มหน้าเตือนฮ่องเต้ “ฝ่าบาท กุ้ยเฟยเหนียงเหนียงรออยู่ที่ตำหนักอี๋ซิ่งพ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้ชะงัก จึงนึกขึ้นได้ว่าพระองค์จะไปดูอาการขององค์ชายเจ็ด จึงแอบรู้สึกเสียดาย พระองค์ยังอยากอยู่กับหนานหนานและเย่หลานเฉิงให้นานกว่านี้สักหน่อย เจ้าเด็กคนนี้ช่างร่าเริงแจ่มใสจริง ๆ
ทว่า องค์ชายเจ็ดทางฝั่งนั้น…
“นี่ก็สายแล้ว เรายังต้องไปดูอาการองค์ชายเจ็ด พวกเจ้าก็รีบพักผ่อนเถอะ วันหลังเราค่อยมาใหม่”
“น้อมส่งเสด็จปู่พะยะค่ะ” เย่หลานเฉิงถอนหายใจ พูดตามตรง จู่ ๆ ฮ่องเต้ก็เสด็จมาถึงที่นี่ จนถึงตอนนี้เขาก็ยังตกใจไม่หาย
หนานหนานกลับยังนั่งอยู่บนเก้าอี้ข้าง ๆ จนกระทั่งเงาของฮ่องเต้หายไปแล้ว จึงถามเย่หลานเฉิงด้วยความสงสัยใคร่รู้ “องค์ชายเจ็ดคือใครหรือ?”
“องค์ชายเจ็ด…เป็นบุตรชายของเหมิงกุ้ยเฟย ข้าได้ยินมาว่าเมื่อวานมีการไล่จับตัวนักฆ่า สาเหตุก็เป็นเพราะท่านอาเจ็ดถูกวางยาพิษ จนถึงตอนนี้ก็ยังหลับใหลไม่ได้สติ”
หนานหนานดวงตาเป็นประกายในทันที “โดนยาพิษ? แบบนี้ก็จัดการได้ง่ายแล้วสิ ท่านแม่ของข้ามีทักษะทางการแพทย์ชั้นสูง ข้าเองก็ประสบความสำเร็จเล็ก ๆ ด้วยเช่นกัน พวกเราไปดูกันเถอะ บางทีข้าอาจจะถือโอกาสช่วยถอนพิษให้เขาได้ก็ได้นะ?”
เช่นนี้ เขาก็จะได้รับรางวัลอีกครั้งแล้ว ฮ่า ๆๆๆๆๆ
……………………………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
หนานหนานนี่ช่างเจรจาจริง ๆ พูดจนฮ่องเต้ถึงกับพระราชทานไข่มุกให้
เอ่อ น้องอย่าไปยุ่งกับองค์ชายเจ็ดเลยค่ะ อย่าพังแผนท่านพ่อสิ
ไหหม่า(海馬)