อลวนรักหมอหญิงชิงลั่ว - ตอนที่ 174 ข้ามีวิธี
ตอนที่ 174 ข้ามีวิธี
จู่ ๆ หนานหนานก็ค้นพบว่า ภายในวังแห่งนี้เป็นแหล่งสมบัติที่เขาจะใช้เพื่อความร่ำรวย
เย่หลานเฉิงได้ยินคำพูดนี้ภายในใจก็ถึงกับเต้นตึกตักอย่างห้ามไม่อยู่ มือเล็ก ๆ คว้ามือของหนานหนานที่กำลังพับแขนเสื้อด้วยความตื่นเต้นเตรียมตัวจะออกไป กล่าวเสียงเบาว่า “ได้ยินมาว่าพิษที่อาเจ็ดถูกวางยาเป็นพิษหายาก แม้แต่หมอหลวงภายในวังก็มิอาจถอนพิษได้ หนานหนาน พวกเราอย่าไปเลย”
แม้ว่าเขาจะทราบดีว่าทักษะทางการแพทย์ของท่านแม่หนานหนานเก่งกาจมาก หากให้นางมาที่นี่ด้วยตนเอง บางทีอาจมีหวัง
ส่วนหนานหนานน่ะหรือ…โรคและปัญหาเล็ก ๆ น้อย ๆ เขายังพอทำได้ แต่พิษที่แม้แต่หมอหลวงก็มิอาจถอนพิษได้ เย่หลานเฉิงไม่กล้าคาดหวังมากมายเท่าไรนัก
“เสี่ยวเฉิงเฉิง นี่เจ้ากำลังดูแคลนความสามารถของข้าอยู่นะ หมอหลวงเหล่านั้นถอนพิษไม่ได้ก็เป็นเพราะพวกเขาไร้ประโยชน์ มีแต่เส้นผมที่ยาวแต่ความรู้ช่างตื้นเขิน แต่ข้าไม่เหมือนคนพวกนั้น ข้าอยู่ข้างกายท่านแม่มาตั้งแต่เด็ก เดินทางตั้งแต่เหนือจรดใต้ ปีนภูเขามีดลุยทะเลเพลิง ถึงขั้นที่มีประสบการณ์และความรอบรู้มากโขแล้ว บางทีข้าอาจเคยเห็นพิษขององค์ชายเจ็ดมาก่อนก็ได้ใครจะไปรู้ บางทีบนตัวของข้าอาจมียาถอนพิษชนิดนี้ก็ได้นะ เสี่ยวเฉิงเฉิง เจ้าต้องเชื่อใจข้าสิ” หนานหนานพูดด้วยคำพูดที่ดูชอบธรรม ทั้งยังตบบ่าของเย่หลานเฉิงด้วยท่าทางจริงจัง
เย่หลานเฉิงถึงกับเกิดเส้นสีดำที่หน้าผาก ความสามารถในการโอ้อวดของหนานหนานนับว่าทุ่มเทสุดกำลังกันเลยทีเดียว
“แต่หนานหนาน…คนคนนั้น เหมิงกุ้ยเฟยคนนั้นไม่ชอบข้า นางไม่อยากเห็นหน้าพวกเราหรอก”
เขาเป็นหลานชายแท้ ๆ ของฮองเฮา กุ้ยเฟยเหนียงเหนียงและฮองเฮาเคยมีประสบการณ์ราวน้ำกับไฟที่มิอาจเข้ากันได้ ต่อให้ตอนนี้ฮองเฮาจะปรากฎตัวออกมาน้อยครั้ง และกุ้ยเฟยได้รับความโปรดปราน แต่นางก็ยังไม่ชอบบุตรชายของรัชทายาทคนนี้อยู่ดี
“เสี่ยวเฉิงเฉิง เหตุใดเจ้าถึงได้โง่เขลาเช่นนี้? เจ้าลองคิดดูสิ ก็เป็นเพราะนางไม่ชอบเจ้านี่ไง หลังจากพวกเราช่วยเหลือองค์ชายเจ็ดในครั้งนี้ ก็ถือเป็นการปรับทัศนคติของนางที่มีต่อเจ้าได้มิใช่หรือ?”
เย่หลานเฉิงแอบกุมขมับอยู่เงียบ ๆ ความคิดของหนานหนานเรียบง่ายไร้เดียงสาเช่นนี้ตั้งแต่เมื่อใดกัน?
หนานหนานย่อมไม่ได้คิดไร้เดียงสาเช่นนี้ แท้จริงเราเขาก็แค่รู้สึกเบื่อที่ต้องอยู่ที่นี่ ช่วงเช้าไปคารวะไทเฮา เดิมทีคิดว่าไทเฮายกเลิกการกักบริเวณของเย่หลานเฉิงแล้ว ทั้งสองคนจะเดินจับมือจับบ่าออกจากจวนแห่งนี้ได้อย่างมีความสุข ได้ออกไปเดินเตร็ดเตร่ในวังได้เล่นอย่างสนุกสนาน และเก็บเป็นความทรงจำที่งดงามสักหน่อย
ทว่าเสี่ยวเฉิงเฉิงเจ้าคนไม่มีสติปัญญาผู้นี้กลับบอกว่าการแข่งขันใหญ่ของสี่อาณาจักรกำลังใกล้เข้ามาแล้ว ตอนนี้ต้องทำเวลาเพื่อศึกษาหาความรู้ให้พร้อมสู้ได้ทุกเมื่อ
เขาอยากศึกษาหาความรู้ยังพอทน แต่ที่น่าเศร้าก็คือ อีกฝ่ายให้เขานั่งอยู่ในจวนแห่งนี้เพื่ออ่านตำราด้วยกัน แม้ว่าเขาจะอ่านได้ไม่ถึงหนึ่งเค่อและฟุบหลับอยู่บนโต๊ะจนฟ้ามืดก็ตาม
แต่…แต่…แต่วันนี้เขาใช้เวลาอยู่ในเรือนหลังเล็กแคบ ๆ ที่แสนจะน่าเบื่อตลอดทั้งวัน โดยไม่มีใครเข้านอกออกในนอกจากเจ้าหนอนหนังสือคนนี้…ทั้งวันเชียวนะ พอได้ย้อนนึกกลับไปก็รู้สึกได้ถึงความน่าสังเวชใจจนไม่คิดไม่ออกเลยว่าจะมีอยู่ในโลกมนุษย์นี้ได้ ช่างยากเกินกว่าที่จะแบกรับน้ำตาอันสุดแสนจะขมขื่นไว้ได้
ดังนั้น ตอนนี้จึงไม่ใช่เรื่องง่ายกว่าจะหาข้ออ้างออกไปได้ หนานหนานจึงคิดว่าไม่ว่าจะพูดอะไรก็ต้องจับไว้ให้มั่น
“เอาล่ะ ๆ ที่เจ้าลังเลไม่ยอมออกไปเช่นนี้ คงมิใช่เพราะไม่อยากให้อาเจ็ดของเจ้าหายดีหรอกกระมัง”
“ชู่ หนานหนานพูดจาเหลวไหลอะไรของเจ้า เหตุใดข้าถึงไม่อยากให้ท่านอาเจ็ดหายดี?” เย่หลานเฉิงรีบยกมือขึ้นมาปิดปากเขาไว้ ดึงหนานหนานให้ถอยออกจากประตูห้องด้วยความประหม่า
ใช่ แม้ว่าเหมิงกุ้ยเฟยจะไม่ชอบเขา และเหมิงกุ้ยเฟยก็เป็นคนแปลกหน้าสำหรับเขา แต่ถึงอย่างไรองค์ชายเจ็ดก็เป็นท่านอาของเขา อีกอย่างพวกเขาทั้งคู่ก็ไม่ได้มีความขุ่นเคืองต่อกัน เขาย่อมอยากให้ท่านอาเจ็ดหายดี
หนานหนานถึงกับอมยิ้ม “เอาล่ะ ในเมื่อเป็นเช่นนี้ พวกเราก็ยิ่งต้องไป มา ๆๆ ไปกันเถอะ อย่ามัวโอ้เอ้อยู่เลย”
เย่หลานเฉิงถูกหนานหนานดึงจนซวนเซเกือบล้มหน้าคะมำ หนานหนานเป็นเด็กตัวเล็ก แต่พละกำลังกลับไม่ใช่น้อย ๆ จนกระทั่งอีกฝ่ายดึงเขาออกจากประตูเรือนด้วยความรีบร้อน เย่หลานเฉิงจึงหยุดหอบหายใจ
เขาลอบถอนหายใจหนึ่งเสียง นี่มันอะไรกันเนี่ย? ออกไปข้างนอกกลางดึก หากถูกองครักษ์ที่ออกมาลาดตระเวนเห็นเข้า ย่อมต้องเกิดปัญหาตามมาอีกเป็นแน่
แต่…แต่จากนิสัยของหนานหนานผู้นี้ ต่อให้เขาปฏิเสธ คาดว่าก็คงเปล่าประโยชน์ เรื่องที่เขาตัดสินใจไปแล้ว วัวเก้าตัวก็ฉุดรั้งเขาให้กลับมาไม่ได้
หากเขาไม่ไปด้วย หนานหนานก็คงวิ่งไปที่ตำหนักอี๋ซิ่งเพียงลำพัง
หากปล่อยให้หนานหนานออกไปเตร็ดเตร่เพียงลำพัง สู้ให้เขาไปด้วยคงปลอดภัยขึ้นอีกหน่อย หากเกิดเรื่องอะไรขึ้นมา จากสถานะของเขา อย่างน้อย ๆ ก็ช่วยรับหน้าไว้ได้
เย่หลานเฉิงแอบปลอบใจตนเองอยู่ในใจ ขาทั้งสองข้างไม่ได้ต่อต้านอีกต่อไป เดินตามหนานหนานไปยังตำหนักอี๋ซิ่งตลอดทาง
เย่หลานเฉิงยอมทำเรื่องบ้าคลั่งตามหนานหนานได้ แต่ผู้พิทักษ์ทมิฬสองคนที่แอบตามอยู่ด้านหลังกลับแสดงสีหน้าขมขื่น จนเกือบจะพลัดตกลงมาจากคานบ้าน เหมิงกุ้ยเฟยเป็นคนจริงจังมาก ต่อให้เป็นเด็กเล็ก หากชนนางก็คงได้เจอผลลัพธ์ที่ไม่ดีเช่นกัน เด็กสองคนนี้มิเท่ากับกำลังรนหาที่ตายหรอกหรือ?
พวกเขาทั้งคู่หันสบตากัน ตัดสินใจรีบไปรายงานกับเหมียวกงกงที่ตำหนักอี๋ซิ่งเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ อย่างน้อย ๆ เหมียวกงกงก็น่าจะขัดขวางไว้ได้
ตำหนักอี๋ซิ่งอยู่ห่างจากตำหนักเสียงเหอของไทเฮาค่อนข้างไกล เย่หลานเฉิงนำทางหนานหนานโดยต้องหลบหลีกองครักษ์ที่กำลังเดินลาดตระเวน หากมุมเปลี่ยวเพื่อเดินซอกแซก เดินไปเดินมาก็ใช้เวลาไปไม่น้อยเลย
ตอนที่พวกเขาเดินมาถึงด้านหลังถังเก็บน้ำที่อยู่ข้าง ๆ ประตูตำหนักอี๋ซิ่งอย่างยากลำบาก ก็ใช้เวลาไปครึ่งชั่วยามแล้ว
เย่หลานเฉิงดึงแขนเสื้อของหนานหนานอย่างระมัดระวัง มองไปยังคนที่กำลังยืนเฝ้าอยู่ด้านหน้าตำหนัก คิ้วถึงกับขมวดอย่างห้ามไม่อยู่ ยื่นหน้ากระซิบข้างหูหนานหนานว่า “หนานหนาน เจ้าดูสิที่นี่ได้รับการคุ้มกันอย่างแน่นหนา พวกเราไม่รู้ด้วยซ้ำว่าองค์ชายเจ็ดอยู่ที่ห้องใด หากบุกรุกเข้าไปเช่นนี้ คงได้ถูกจับตัวเป็นแน่”
“อืม…ที่เจ้าพูดก็มีเหตุผล งั้นเอางี้ พวกเราไปบอกพวกเขาตรง ๆ เลยสิ บอกว่าพวกเรามาช่วยรักษาโรค ให้พวกเขาไปรายงานกับกุ้ยเฟยเหนียงเหนียงอะไรนั่น แบบนี้พวกเราก็รู้แล้วว่าองค์ชายเจ็ดอยู่ที่ใด” หนานหนานพยักหน้า ราวกับได้ครุ่นคิดไว้อย่างจริงจังแล้ว และท้ายที่สุดก็คิดหาวิธีที่การที่ตนเองคิดว่าไม่เลวออกมาได้สำเร็จ
เย่หลานเฉิงถึงกับตบหน้าผากแรง ๆ แอบถอนหายใจอย่างเงียบ ๆ ตอนที่หันกลับมามองก็พบว่าหนนหนานทำท่าทางจะลุกขึ้นยืนแล้ว จึงรีบดึงตัวไว้ให้กลับมาอยู่ที่เดิม “ไม่ได้”
“เพราะเหตุใด?” มีคนช่วยรักษาอาการให้เจ้านายของพวกเขายังไม่พอใจอีกรึ
“หนานหนาน พวกเราเป็นเด็ก แน่นอน ข้ารู้ดีว่าเจ้ามีความสามารถมาก แต่คนอื่นไม่รู้เรื่องนี้ พวกเขาย่อมไม่เชื่ออยู่แล้ว พวกเราออกไปอย่างโจ่งแจ้งเช่นนี้ กุ้ยเฟยก็ไม่ชอบข้าเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ถึงเวลานั้นคงได้คิดว่าพวกเรามาสร้างปัญหาเป็นแน่ และอาจจะทุบตีพวกเราด้วย ดังนั้นเรื่องนี้จึงทำไม่ได้” เย่หลานเฉิงวิเคราะห์ให้หนานหนานฟังอย่างใจเย็นหลังจากชะงักไปครู่หนึ่งจึงถามหยั่งเชิงว่า “พวกเรากลับกันดีกว่าไหม?”
“ไม่ได้หรอก” เขาเดินมานานขนาดนั้นกว่าจะมาถึงที่นี่ จะให้กลับไปมือเปล่าได้อย่างไรกัน?
เขาเริ่มยกมือลูบคางครุ่นคิดอย่างละเอียด หลังจากผ่านไปครู่หนึ่ง ดวงตาพลันเป็นประกาย ‘ปิ๊ง’ ยิ้มราวกับเป็นแมวหัวขโมย “มีแล้ว ข้ามีวิธีแล้ว”
……………………………………………………………………………………………………………………
สารจากผู้แปล
หัวใจจะวายแทนหลานเฉิง หนานหนานคิดแผนอะไรแต่ละอย่างคือวางใจไม่ได้เล้ยยย
ไหหม่า(海馬)