อลวนรักหมอหญิงชิงลั่ว - ตอนที่ 179 ใคร
ตอนที่ 179 ใคร?
เสิ่นอิงไม่รู้ว่าภายในใจของหนานหนานกำลังครุ่นคิดคดเคี้ยวไปมามากมายขนาดนี้ จึงทำแค่เพียงแสดงสีหน้าเคร่งขรึม วางหนานหนานให้นั่งลงบนตักตนเอง ก่อนกระซิบบอกไปว่า “หนานหนาน ตอนนี้ท่านอ๋องรู้แล้วว่าข้าอยู่ที่นี่ เขาเองก็มีวิธีช่วยข้าออกไปแล้ว แต่ถ้าข้าออกไปตอนนี้ มันจะกลายเป็นความผิด ซ้ำร้ายยังทำลายแผนเดิมของท่านอ๋องด้วย และอาจทำให้เหมิงกุ้ยเฟยเห็นโอกาสในการกล่าวหาท่านอ๋องด้วย”
หนานหนานขมวดคิ้ว ทำลายแผนการของท่านพ่อ? ปัดโถ่ ทำลายก็ทำลายไปสิ สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือดำเนินตามแผนสะท้านฟ้าสะเทือนแผ่นดินของเขาสิ เพื่อให้บรรลุแผนการที่ชื่อเสียงของเขาจะได้ดังกระฉ่อนไปไกล แผนการที่จะทำให้เขาทำตัวหยิ่งผยองต่อหน้าท่านแม่หลังจากนี้
ท่านลุงเสิ่นนี่จริง ๆ เลย ไม่มีความใจตรงกันกับเขาเลยสักนิด
“ท่านลุงเสิ่น ท่านเข้าใจผิดแล้ว” หนานหนานยกมือตบหน้าอกอีกฝ่าย น้ำเสียงก็กดให้ทุ้มต่ำลงอย่างมาก สีหน้าเปลี่ยนเป็นจริงจัง “อันที่จริงท่านอาเย่ไม่ได้มีความคิดจะช่วยท่านออกไปด้วยซ้ำ ท่านลองคิดดูสิ ภายในวังแห่งนี้เป็นสถานที่วิกฤต มีแต่คนคิดจะทำร้ายทั่วทุกหนแห่ง ท่านอาเย่เข้ามาก็ต้องระมัดระวังตัว อีกอย่างนะ ที่นี่ก็เป็นที่ของกุ้ยเฟยอะไรนั่นด้วย ท่านอาเย่เป็นบุรุษคนหนึ่ง จะเข้ามาตามอำเภอใจได้อย่างไรกัน? หากฮ่องเต้รู้เข้า เช่นนั้นคงได้ถูกตัดหัวแน่”
หนานหนานจำได้ขึ้นใจ ตอนที่อยู่ในอาณาจักรเทียนอวี่ มิอาจปล่อยให้บุรุษคนหนึ่งเข้าไปในห้องนอนของนางสนมได้ตามอำเภอใจได้ มิเช่นนั้นคงได้กลายเป็นความผิดขั้นร้ายแรง ถูกต้อง ท่านแม่ใช้คำพูดนี้เพื่ออธิบาย
เย่หลานเฉิงชะงัก ผ่านไปครู่หนึ่งมุมปากพลันกระตุกวูบ หนานหนานยังไม่รู้อีกรึว่าเหมิงกุ้ยเฟยคือหมู่เฟยของท่านอาห้าของเขา?
เสิ่นอิงเกือบหลุดหัวเราะออกมา เด็กคนนี้มีความคิดแบบนั้นอยู่ในใจ ไม่เสียดายเลยว่าจะทำลายชื่อเสียงของพ่อตนเอง
“เอาล่ะ หนานหนาน ท่านอ๋องเป็นคนแบบไหนข้าย่อมรู้ดี เจ้าไม่ต้องมีความมานะบากบั่นเพื่อให้เกิดความบาดหมางเช่นนี้ เจ้านั่นแหละ ท่านอ๋องตามหาตัวเจ้านานแล้ว เจ้าเองก็ควรคิดหาวิธีออกจากวังมิใช่หรือ?” เขาเชื่อว่า เด็กคนนี้มีความสามารถเข้ามาในวัง ทั้งยังวิ่งมาถึงตำหนักอี๋ซิ่งของเหมิงกุ้ยเฟยได้ เช่นนั้นก็ย่อมต้องมีความสามารถออกจากวังแห่งนี้ได้เช่นกัน
“ท่านลุงเสิ่น เหตุใดท่านถึงได้โง่เขลาเช่นนี้ล่ะ? ข้าไม่ได้คิดจะสร้างความบาดหมางสักหน่อย ข้าได้เจอกับท่านอาเย่แล้ว ไม่เชื่อก็ถามเสี่ยวเฉิงเฉิงดูสิ” หนานหนานยังคงพูดด้วยท่าทางจริงจัง
เย่หลานเฉิงถูกขานชื่อ เมื่อเห็นสายตาของเสิ่นอิงที่มามองที่ตนเอง จึงกระซิบตอบไปว่า “ท่านอาห้ามาเจอพวกเราแล้วจริง ๆ ทั้งยังพาท่านแม่ของหนานหนานมาด้วย” แต่ไม่เคยพูดว่าจะไม่ช่วยเหลือผู้อารักขาเสิ่น
พาแม่นางอวี้มาด้วย? พูดแบบนี้ก็หมายความว่า ท่านอ๋องเจอตัวหนานหนานหลังจากที่เขาถูกจับตัวจริง ๆ และสามารถพูดได้ว่า ท่านอ๋องรู้แล้วว่าเด็กคนนี้ปลอดภัยดี ด้วยเหตุนี้เขาจึงเบาใจ
เพียงแต่…
“ท่านอาห้า?” เสิ่นอิงหันมองเย่หลานเฉิงที่ยืนอยู่ข้าง ๆ ด้วยความประหลาดใจ คนที่เรียกท่านอ๋องว่าท่านอาห้าได้ เมื่อครู่หนานหนานเรียกเขาว่าเสี่ยวเฉิงเฉิง คนคนนี้คือบุตรชายของรัชทายาทมิใช่หรือ?
“ท่านคือเฉิงซื่อจื่อ?”
“ถูกต้อง” เย่หลานเฉิงพยักหน้า ในที่สุดก็กลับมาอยู่ในท่าทางนิ่งสงบ นั่งขัดสมาธิลงตรงข้ามเสิ่นอิง พูดด้วยท่าทางราวกับเป็นผู้ใหญ่ตัวน้อย “ผู้อารักขาเสิ่นอย่าได้กังวลใจ ข้าจะดูแลหนานหนานเอง”
เสิ่นอิงเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย พูดตามตรง เขาเองก็คิดไม่ถึงว่าหนานหนานจะอยู่กับเฉิงซื่อจื่อ ไม่แปลกใจเลยที่ไม่ว่าพวกเขาจะตามหาในวังเท่าไรก็ไม่เจอเด็กคนนี้ไม่แต่เงา
เย่หลานเฉิงคนนี้แตกต่างจากรัชทายาท ต่อให้เป็นองค์ชายก็เข้าใกล้ตำหนักอี๋ซิ่งของเหมิงกุ้ยเฟยได้ยากยิ่ง ยิ่งไม่ต้องพูดถึงซื่อจื่ออายุน้อยเหล่านี้ ต่อให้ถูกหนานหนานบังคับลากมาที่นี่ ซื่อจื่อโดยทั่วไปก็คงหนีไปตั้งแต่เดินมาได้ครึ่งทาง คงไม่มาทำเรื่องที่ทำให้ตนเองแปดเปื้อนเช่นนี้ เฉิงซื่อจื่อคนนี้กลับยอมมาทำเรื่องไร้สาระเป็นเพื่อนหนานหนาน ไม่แปลกใจเลยที่ท่านอ๋องเคยพูดไว้ว่า ตอนนี้ในบรรดารุ่นหลานยังไม่มีใครสู้เย่หลานเฉิงได้แม้แต่คนเดียว
แม้ภายในใจของเสิ่นอิงจะรู้สึกว่า ในบรรดาซื่อจื่อทั้งหมดมีแค่หนานหนานเพียงคนเดียวเท่านั้นที่ฉลาดปราดเปรื่องที่สุดก็ตาม
“ท่านลุงเสิ่น ได้ยินแล้วใช่หรือไม่? ท่านอาเย่ไม่มาช่วยท่านหรอก ท่านอย่ายืนกรานหัวชนฝานักเลย ไปกับข้าเถอะ ข้ารับประกันได้ว่าหลังจากนี้ท่านจะได้กินของอร่อย ๆ ดีหรือไม่?” หนานหนานเพิกเฉยต่อคำพูดของเย่หลานเฉิงที่บอกว่าจะดูแลตนเอง ทั้งยังพยายามโน้มน้าวเพื่อแผนการที่จะทำให้เขาได้แสดงท่าทีหยิ่งผยองต่อหน้าท่านแม่หลังจากนี้
เย่หลานเฉิงเบือนหน้าไปทางอื่นอย่างเงียบ ๆ เขายังไม่ได้พูดสักหน่อยว่าท่านอาห้าจะไม่มาช่วย หนานหนานเจ้าจะมาพูดจาเหลวไหลให้คนอื่นเข้าใจผิดไม่ได้นะ
เสิ่นอิงถึงกับกลอกตามองบนอย่างห้ามไม่อยู่ เขาไม่ใช่เด็กกินเก่งเหมือนกับหนานหนานที่เอาแต่คิดเรื่องของกินสักหน่อย “นี่ก็ดึกแล้ว หนานหนาน เจ้ารีบกลับไปเถอะ หากฟ้าสว่างเจ้าคงหนีออกไปไม่ได้แล้ว อย่าดื้อนะ”
หนานหนานถึงกับหงุดหงิด ใช้เท้าเตะเสิ่นอิงแรง ๆ “ท่านนี่มันโง่ ๆๆๆๆ ชะมัดเลย ท่านอยากอยู่ที่นี่ก็ตามสบาย ข้าไม่สนใจท่านแล้ว”
เสิ่นอิงถึงกับหมดคำพูด อุ้มหนานหนานแล้วปล่อยตัวไว้ด้านนอกหน้าต่างอีกครั้ง “เอาล่ะ ไปเถอะ” หลังจากพูดจบ ก็หันกลับมาอุ้มเย่หลานเฉิงให้ออกไป
หนานหนานยกมือขึ้นมากอดอก เงยหน้าถลึงตาใส่เสิ่นอิง ยืนอยู่ตรงนั้นไม่ยอมเคลื่อนไหว
เสิ่นอิงมุมปากกระตุกวูบ ปิดประตูหน้าต่างที่อยู่ตรงหน้า ก่อนจะกลับไปนั่งลงข้าง ๆ ชั้นวางที่ถูกมัดไว้ก่อนหน้านี้ จากนั้นนำเชือกมาพันรอบข้อมือแบบลวก ๆ หลับตาลงและเริ่มทำสมาธิอีกครั้ง ระหว่างนั้นก็ฟังการเคลื่อนไหวด้านนอก รอให้เด็กคนนั้นกลับออกไป
ใครจะไปคิดว่าหลังจากผ่านไปครู่หนึ่งที่ไม่ได้ยินเสียงเคลื่อนไหวจากด้านนอก ทหารสองนายที่เป็นลมไปเมื่อครู่กลับได้สติคืนมาแล้ว
เสิ่นอิงถึงกับขมวดคิ้ว แอบเกิดความร้อนใจอยู่ภายในใจ หนานหนานยังไม่ออกไป อีกเดี๋ยวคงได้ถูกจับตัวเป็นแน่
ทหารทั้งสองคนลืมตาขึ้นด้วยท่าทางสะลึมสะลือ ดีดตัวขึ้นด้วยความตกใจในทันที ตอนที่หันกลับมามองเสิ่นอิง ก็พบว่าอีกฝ่ายยังถูกมัดตัวอยู่ที่นี่ จึงถอนหายใจด้วยความโล่งอก
ทว่าก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดี ในเมื่อมีคนมาที่นี่หากไม่ใช่เพราะมาช่วยเสิ่นอิง เช่นนั้นเพราะเหตุใดถึงได้ทำให้พวกเขาทั้งคู่หมดสติไป? ทั้งสองคนมองหน้ากันด้วยความสงสัย จึงเรียกเสิ่นอิงพร้อมกับถาม “เมื่อครู่มีใครเข้ามาหรือไม่?”
เสิ่นอิงทำท่าทางราวกับเพิ่งตื่น เงยหน้าเลิกคิ้ว “พูดอะไรของพวกเจ้า? ข้ายังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเกิดอะไรขึ้น” บัดซบ เหตุใดเด็กคนนั้นที่อยู่ด้านนอกยังไม่ยอมออกไป? หากยังอยู่ที่นี่ต่อไป ฟ้าคงสว่างกันพอดี บัดซบ เขานึกว่าหากทำเป็นไม่สนใจจะทำให้หนานหนานยอมกลับไป ใครจะไปคิดว่าหนานหนานจะหัวรั้นขนาดนี้
ไม่เพียงแค่เสิ่นอิงที่ร้อนใจ เย่หลานเฉิงที่นั่งอยู่ข้าง ๆ หนานหนานก็วิตกกังวลมากเช่นกัน เขามองดูหนานหนานที่นั่งอยู่ในท่าเดียวกัน แต่ก็ไม่รู้ว่าควรพูดอย่างไร คนที่อยู่ในห้องฟื้นขึ้นมาแล้ว เขาจึงไม่กล้าส่งเสียงดึงหนานหนานให้ออกไป
หนานหนานกลับหลับตาลงและครุ่นคิดถึงวิธีอื่น เขาคิดว่าหากยอมล้มเลิกแผนการของตนเองง่าย ๆ เช่นนี้คงน่าเศร้าเกินไป ต้องเปลี่ยนวิธีเพื่อพาตัวท่านลุงเสิ่นออกไป
เพียงแต่ วิธีไหนกันล่ะ?
สองชั่วยามผ่านไป ดวงตาของหนานหนานพลันเป็นประกายแวววาว
“นึกออกแล้ว เสี่ยวเฉิงเฉิง ข้ามีความคิดดี ๆ แล้ว…อื้อ…” แม้ว่าเสียงของหนานหนานจะเบามาก แต่ตรงนี้ใกล้กับมุมกำแพง หากคนด้านในยังไม่ได้ยิน เช่นนั้นก็คงไม่เหมาะสมที่จะเป็นทหารอารักขาของเหมิงกุ้ยเฟยแล้ว
“ใคร?”
………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
หนานหนานเอ๊ย หากหนูต้องการจะช่วยท่านลุงเสิ่น หนูควรจะทำตามที่ท่านลุงเสิ่นบอกเด้อ ดื้อแล้วเป็นไงล่ะ ออกไม่ได้แล้วทีนี้ แถมยังเสียงดังไม่รู้กาลเทศะอีก อันนี้ไม่ได้เรียกว่าฉลาดนะหนู
ไหหม่า(海馬)