อลวนรักหมอหญิงชิงลั่ว - ตอนที่ 181 ทรงกริ้ว
ตอนที่ 181 ทรงกริ้ว
ออกจากวัง? ออกจากวัง!!!
หนานหนานคิดจะออกจากวัง?
นี่มัน…นี่มัน…เป็นไปได้อย่างไรกัน? เสด็จปู่ต้องไม่ยอมเป็นแน่
“หนานหนาน ในวังนี้มิใช่สิ่งที่เจ้าคิดจะออกก็ออกไปได้นะ” เย่หลานเฉิงรู้สึกได้ว่าหัวใจดวงนี้ของเขาได้รับการฝึกฝนใหม่อีกครั้งในช่วงนี้
หนานหนานหันหน้าไป มองเขาปราดหนึ่ง หลังจากหยุดครุ่นคิด ผ่านไปครู่หนึ่งจึงสำรวจเขาอีกหน
เย่หลานเฉิงถูกอีกฝ่ายมองจนรู้สึกขนลุกซู่ เขารู้สึกได้ว่าอีกฝ่ายต้องมีความคิดแผลง ๆ คิดจะทำอะไรกับเขาอีกเป็นแน่
หลังจากผ่านไปครู่หนึ่ง หนานหนานจึงเริ่มพยักหน้าอย่างจริงจัง กล่าวเห็นด้วยว่า “เจ้าพูดถูก มิใช่สิ่งที่คิดจะออกก็ออกไปได้”
เย่หลานเฉิงถอนหายใจด้วยความโล่งอก โชคดีที่แม้ว่าหนานหนานจะยังเด็ก แม้ว่าจะชอบสร้างปัญหาเป็นครั้งคราว แต่เรื่องใหญ่เหล่านี้เขาก็ยังรู้ความ อีกฝ่ายเข้าใจก็ทำให้เขาวางใจแล้ว วาง…วางใจกับผีสิ ฟังประโยคต่อจากนี้ที่เขาพูดเถอะ
“ข้าออกไปย่อมมิใช่ปัญหา แต่เจ้านี่สิ แม้จะศึกษาตำรามากมาย แต่ก็ไม่มีวิชาตัวเบา วิ่งก็วิ่งช้า หากเป็นเช่นนี้คงได้ถูกรังแก ไม่ได้การล่ะ ต้องออกกำลังกายสักหน่อย อืม เอาแบบนี้แล้วกัน ถึงอย่างไรก็ยังมีเวลา เสี่ยวเฉิงเฉิง ข้าจะสอนวรยุทธ์ขั้นพื้นฐานให้เจ้าสักหน่อยก็แล้วกัน อย่างน้อย ๆ ก็รู้จักการป้องกันตัวจริงหรือไม่?”
“…” เย่หลานเฉิงอยากร้องไห้แล้วสิ เขาว่าแล้วเชียวว่าเรื่องราวคงแก้ไขได้ไม่ง่ายขนาดนั้น ความคิดของหนานหนานไม่เหมือนเขา สิ่งที่เขาคิดและหนานหนานคิดล้วนเป็นเส้นขนานกัน
วรยุทธ์? หนานหนานจะสอนวรยุทธ์ให้เขา?
เย่หลานเฉิงรู้สึกปวดหัวจนหัวโตหมดแล้ว เขายังคิดอยากลองพูดโน้มน้าวใจให้หนานหนานล้มเลิกความคิดที่จะออกจากวัง ถึงอย่างไรการแข่งขันใหญ่สี่อาณาจักรก็จะเริ่มขึ้นแล้ว ถึงเวลานั้นพวกเขายังต้องเผชิญหน้ากับศัตรูที่แข็งแกร่งมาก แม้ว่าเขาจะอ่านตำราและรู้เรื่องต่าง ๆ ไม่น้อย แต่การเผชิญหน้ากับคู่ต่อสู้อาณาจักรอื่น เขาก็ยังเกิดความวิตกกังวลอยู่ดี
ส่วนหนานหนานก็ยังไม่เคยเห็นอีกฝ่ายเตรียมตัวเพื่อการแข่งขันสี่อาณาจักรสักครั้งเลย ยิ่งต้องตั้งใจฝึกฝนให้ดี
“หนานหนาน พวกเราไปเตรียม…เอ่อ หนานหนาน เจ้าจะลากข้าไปไหน?”
เย่หลานเฉิงยังพูดไม่จบประโยค มือของเขาก็ถูกหนานหนานลากไปยังภูเขาเทียมที่มีความสูงสองหมี่ใต้ต้นไม้กลางลาน
แรงของหนานหนานเยอะมาแต่ไหนแต่ไร เย่หลานเฉิงถูกกระแทกอยู่หลายหนขณะสาวเท้าตามเขาอย่างยากลำบาก จนกระทั่งหยุดลง หนานหนานจึงปล่อยมืออีกฝ่าย ย่อตัวลงด้วยท่าม้าที่แสนจะแปลกประหลาด
“มา เสี่ยวเฉิงเฉิง เจ้าทำตามข้า” หนานหนานหันไปทางภูเขาเทียม ขาทั้งสองข้างอยู่ในท่าย่อลงครึ่งหนึ่ง มือทั้งสองกำจนกลายเป็นหมัดวางไว้ข้างเอว สีหน้าดูจริงจังและเคร่งเครียด
เย่หลานเฉิงกลืนน้ำลาย มุมปากกระตุกวูบ “หนานหนาน เรื่องนี้ไม่ใช่สิ่งสำคัญ พวกเราต้องคุยกันถึงปัญหาที่จะออกจากวังกันสักหน่อย”
“มา ซัดหมัดออกไป พลังต้องหนักแน่น เหมือนแบบนี้ ฮึบ…” ความสามารถในการออกตัวด้วยตัวเองของหนานหนานแข็งแกร่งมาโดยตลอด เย่หลานเฉิงพูดอะไรเขาก็แสดงออกว่าไม่ได้ยิน ๆๆ เย่หลานเฉิงยังไม่ทันได้พูดอะไร เขาก็ซัดหมัดเข้าใส่ก้อนหินที่อยู่ตรงหน้าอย่างรวดเร็ว หลังจากนั้น…
“หนานหนาน เจ้าเป็นอะไร?” เย่หลานเฉิงเดิมทีอยากพูดอะไรบางอย่าง ใครจะไปคิดตอนที่เงยหน้าขึ้น เขาก็พบว่าหนานหนานกำลังยืนทำหน้าบิดเบี้ยว ตัวแข็งทื่อไม่ไหวติง
“…” หนานหนานทำแก้มป่อง พูดไม่ออก
“หนานหนาน สีหน้าของเขาดูแปลก ๆ นะ”
“…”
“หนานหนาน เจ้าไม่สบายหรือ?”
“…”
“หนานหนาน…”
“อ๊าก เจ็บ ๆๆๆๆ เจ็บแทบตายแล้ว” ในที่สุดหนานหนานก็มีปฏิกิริยาโต้ตอบ หันหน้ากลับมาขณะดึงหมัดกลับมาอย่างช้า ๆ ด้วยความเจ็บปวด จากนั้นจึงเดินเซไปเซมาหยุดตรงหน้าเย่หลานเฉิงด้วยท่าทางราวกับได้รับความอยุติธรรม ตามมาติด ๆ ด้วยการกุมมือและเริ่มหมุน แหกปากร้องไห้สะท้านฟ้าสะเทือนแผ่นดิน
ผู้พิทักษ์ทมิฬที่ซ่อนตัวอยู่ข้าง ๆ เกือบจะตกลงมา เดิมทีพวกเขาอยากเห็นทักษะวรยุทธชั้นเลิศของหนานหนานด้วยความสนอกสนใจ ถึงอย่างไรเด็กคนนี้ก็มีทักษะวรยุทธ์ที่เป็นเอกลักษณ์ของตระกูลลู่ ทักษะการต่อสู้อื่น ๆ ก็ถือเป็นเรื่องปกติ ใครจะไปคิด…เขาเหวี่ยงหมัดเข้าใส่ก้อนหิน หลังจากชกหินแล้วก็ถึงกับเจ็บจนกลิ้งขลุก ๆ
เย่หลานเฉิงตกใจจนสะดุ้งโหยง รีบจับมือของหนานหนานมาดูอย่างละเอียด ก็พบว่าบนกำปั้นของหนานหนานมีรอยหนังถลอกจริง ๆ จึงแอบบ่นในทันที “เหตุใดถึงใช้มือไปทุบหินจริง ๆ? ทั้งยังทุบแรงขนาดนี้อีก เลือดออกแล้ว”
ครั้นกล่าวจบก็รีบหันไปตะโกนเรียกนางข้าหลวงและขุนนางในเรือน นางข้าหลวงและขันทีรีบอุ้มหนานหนานกลับเข้าห้อง มีบางคนตักน้ำและบางคนไปหายาขี้ผึ้ง
มีขันทีคนหนึ่งครุ่นคิดว่าควรจะไปเรียกหมอหลวงดีหรือไม่ แต่คิด ๆ ดูแล้วสหายของซื่อจื่อได้รับบาดแผลถลอกนิดหน่อยถึงขั้นไปเรียกหมอหลวง เช่นนั้นมิเท่ากับทำเรื่องเล็กให้เป็นเรื่องใหญ่หรอกหรือ? ถึงเวลานั้นหากทำให้นายท่านจากตำหนักคนอื่น ๆ สงสัยและให้ความสำคัญ กลายเป็นการเชิญภัยพิบัติเข้ามาอย่างไร้เหตุผลคงไม่ดีแน่
หนานหนานเจ็บอยู่ครู่หนึ่ง จนกระทั่งนางข้าหลวงใช้น้ำร้อนช่วยเช็ดทำความสะอาดหลังมือให้ และทายาขี้ผึ้งเสร็จแล้ว เขาจึงนั่งถอนหายใจด้วยท่าทางสะอึกสะอื้นอยู่ข้าง ๆ
“เฮ้อ ช่วงนี้ละเลยการฝึกฝน กินมากเกินไปหน่อยด้วย มิอาจผ่าหินให้กลายเป็นสองส่วนได้แล้ว”
มุมปากของผู้พิทักษ์ทมิฬกระตุกวูบแรง ๆ เชิญอวด…เชิญอวดต่อไปเถอะ ภูเขาหินใหญ่ขนาดนั้น ต่อให้เป็นพวกเขาก็ไม่มีปัญญาผ่าครึ่งมันได้เช่นกัน
เย่หลานเฉิงที่นั่งอยู่ข้าง ๆ ช่วยพันแผนด้วยผ้าพันแผลให้หนานหนานอย่างประณีต หนานหนานมองดูปราดหนึ่ง ก่อนขมวดคิ้วด้วยท่าทีรังเกียจและกระชากผ้าพันแผลออกไป
“ไม่พันสิ่งนี้หรอก น่าเกลียดจะตายไป”
เย่หลานเฉิงไม่สนใจเขา ยังคงพันผ้าพันแผลต่อไป เมื่อเห็นหนานหนานต่อต้าน จึงดึงมือกลับมาอย่างจนปัญญา
เสียงของเหมียวกงกงดังขึ้นที่บริเวณประตูห้อง “ฝ่าบาทเดินระวังนะพ่ะย่ะค่ะ” เสียงของเขาดังขึ้นเล็กน้อย ราวกับจงใจให้เย่หลานเฉิงและหนานหนานได้ยิน
หนานหนานรีบนำผ้าพันแผลม้วนเก็บเข้าไปในแขนเสื้อตนเอง เย่หลานเฉิงจัดแจงเสื้อผ้าตนเองครู่หนึ่ง จนกระทั่งประตูเปิดออก จึงรีบคุกเข่าลง “หลานเฉิงคารวะเสด็จปู่”
“เหอะ” ฮ่องเต้แค่นเสียงเย็น หมุนกายสาวพระบาทมาประทับลงตรงกลางของห้อง “เราคงรับความเคารพของเจ้ามิได้หรอก”
เย่หลานเฉิงเกิดอาการใจเต้นตุ้ม ๆ ต่อม ๆ เหงื่อเย็นผุดออกมา จักรพรรดิตรัสเช่นนี้ การแสดงออกก็จริงจังมากด้วย เขาไม่กล้าลุกขึ้นยืน ก้มหน้าพูดเสียงเบาว่า “หลานเฉิงทำให้เสด็จปู่ไม่พอพระทัย โปรดเสด็จปู่ยกโทษให้ด้วย”
เหมียวเชียนชิวเดินเข้ามาด้านใน ก็สั่งให้นางข้าหลวงและขันทีทั้งหมดออกไป ก่อนจะหันไปปิดประตู สาวเท้าเข้ามายืนข้าง ๆ ฮ่องเต้อย่างระมัดระวัง มองเด็กทั้งสองคนที่กำลังคุกเข่าก้มหน้าด้วยความกังวล
หนานหนานก้มหน้าลงไม่พูดอะไร ทว่าเย่หลานเฉิงกลับเหงื่อซึมหนักขึ้น
ฮ่องเต้หัวเราะเยาะหนึ่งเสียง ก่อนจะกวาดตำราทั้งหมดบนโต๊ะไปกองอยู่บนพื้นในคราเดียว
“เจ้ามัวแต่อ่านตำราอะไรอยู่ หา? เจ้าบอกเรามา ในตำราเหล่านี้สอนอะไรเจ้า? กฎและมารยาทของเจ้าเล่า เอาไปไว้ที่ไหนหมด?”
……………………………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
เสด็จปู่รู้เรื่องแล้วจ้า ทำยังไงถึงจะคลายกริ้วเสด็จปู่ได้ล่ะเนี่ย
ไหหม่า(海馬)