อลวนรักหมอหญิงชิงลั่ว - ตอนที่ 184 ท่านอ๋องหยิ่งผยองมาก
ตอนที่ 184 ท่านอ๋องหยิ่งผยองมาก
ยังต้องพาไปอีกคนด้วยหรือ หนานหนานรู้สึกไม่สบอารมณ์เอาเสียเลย พาคนไปด้วยมีแต่ความยุ่งยาก ไม่เป็นอิสระทั้งยังน่ารำคาญเป็นพิเศษ
แต่ถ้าไม่พาไปด้วยฮ่องเต้คงไม่ยอมให้เขาออกจากวัง เสี่ยวเฉิงเฉิงขี้ขลาดขนาดนั้น หากฮ่องเต้ไม่เห็นด้วย เขาคงไม่กล้าออกไปแน่นอน
ช่างเถอะ พาไปสักคนก็แล้วกัน ออกจากวังแล้วค่อยสลัดเขาทิ้งก็ยังได้ ถึงอย่างไรเขาก็มีความสามารถมากล้น การจะสลัดใครออกไปสักคนนั้นง่ายจะตายไป
หนานหนานครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง และไม่ถามว่าฮ่องเต้จะให้ใครติดตามเขา แต่สุดท้ายเขาก็ตอบตกลงอย่างไม่เต็มใจ
ฮ่องเต้แย้มสรวล เรื่องของหมอเสิ่น พระองค์มีแผนการอยู่ในพระทัยแล้ว ถือว่าได้แก้เรื่องน่ารำคาญพระทัยออกไปได้แล้ว
หลังจากพูดคุยภายในห้องอีกเล็กน้อย และกำชับเย่หลานเฉิงเกี่ยวกับเรื่องอื่น ๆ ฮ่องเต้จึงนำเหมียวเชียนชิงออกจากเรือนหลังเล็กแห่งนี้
การได้ออกจากวังย่อมเป็นเรื่องที่เย่หลานเฉิงชื่นชอบเป็นอย่างมาก เขาอยู่แต่ในเรือนแห่งนี้มาเป็นเวลาสองปีเต็ม หากบอกว่าไม่อยากออกไปเปิดหูเปิดตาคงเป็นไปไม่ได้ เพียงเพราะสภาพแวดล้อม ความปรารถนานั้นจึงถูกเขากดไว้ภายในก้นบึ้งของหัวใจ หากไม่พูดถึงก็ไม่นึกถึง
ทว่าตอนนี้หนานหนานสามารถเติมเต็มความปรารถนาของเขาได้อย่างง่ายดาย แม้ว่าเย่หลานเฉิงจะรู้สึกได้ว่าทัศนคติที่เสด็จปู่มีต่อหนานหนานจะเป็นเรื่องที่เขาใจได้ยากยิ่ง แต่เขาก็ยังรู้สึกขอบคุณหนานหนานจากก้นบึ้งของหัวใจอยู่ดี
อย่างไรก็ตาม ไม่ใช่แค่เขาที่งุนงงต่อการกระทำของฮ่องเต้
คนอื่น ๆ ที่อยู่ในวังก็เกิดความสงสัยเช่นกัน
ฮ่องเต้เสด็จมาที่เรือนบุตรชายของรัชทายาทติดต่อกัน 3-4 วันแล้ว แต่ละครั้งก็พูดคุยกันนานถึงครึ่งค่อนวัน พฤติกรรมเช่นนี้ช่างดูผิดปกติ ต่อให้เป็นคนโง่เขลา ก็ยังรู้สึกได้ถึงความผิดปกติของสิ่งนี้
เย่หลานเฉิงที่เดิมทีถูกทอดทิ้งอย่างโดดเดี่ยว จู่ ๆ ก็กลายเป็นคนที่ทุกคนในวังแอบพูดคุยกันอย่างเงียบ ๆ
แม้แต่เหมิงกุ้ยเฟยที่เพ่งความสนใจไปที่องค์ชายเจ็ดและหมอเสิ่นและไม่ได้เห็นเย่หลานเฉิงอยู่ในสายตา ก็อดตกอยู่ในห้วงแห่งความคิดไม่ได้
“เหนียงเหนียง ฝ่าบาทมีแนวโน้มจะกลับไปเรียกใช้รัชทายาทอีกครั้งหรือเพคะ?” เจี่ยนเซียงปิดประตู กระซิบถามข้างหูเหมิงกุ้ยเฟย
เหมิงกุ้ยเฟยมององค์ชายเจ็ดที่ยังคงนอนหลับไม่ได้สติอยู่บนเตียงทว่าสีหน้ากลับดูดีขึ้นมากแล้ว อารมณ์ทางสีหน้าดูเรียบเฉย ครั้นได้ยินสิ่งนี้ก็ถึงกับยิ้มเยาะหนึ่งเสียง “หากฝ่าบาทชื่นชมเย่หลานเฉิงจนทำให้กลับไปให้ความสำคัญกับรัชทายาทอีกครั้งจริง ๆ เมื่อคืนเคอกงกงคงไม่ถูกโบยจนตายง่ายดายเช่นนั้นหรอก”
เจี่ยนเซียงชะงัก ก่อนจะพยักหน้าขณะครุ่นคิด
ถูกต้อง เมื่อคืนเคอกงกงก็พูดเองว่าเขาเป็นคนวางยาพิษลงไปในอาหารของเฉิงซื่อจื่อ หากฝ่าบาททรงรักพระนัดดาคนนี้จริง ๆ เช่นนั้นคงได้สืบหาความจริงจนเอิกเกริกไปแล้ว อันที่จริงต่อให้ไปตรวจสอบ ทุกคนต่างก็ตระหนักได้เป็นอย่างดี ภายในวังแห่งนี้ผู้คนต่างก็ทำเรื่องสกปรกเพื่อแก่งแย่งอำนาจ
หากฮ่องเต้ตรวจสอบ ภายในวังย่อมต้องดึงผู้คนและสิ่งที่ไม่เคยรู้จำนวนมากออกมาเป็นแน่ ถึงเวลานั้นหากเชื่อมโยงเป็นวงกว้าง บางทีอาจมีใครตกเป็นเป้าหมาย ดูเอาเถอะ เมื่อวานเคอกงกงก็สาดน้ำสกปรกมาที่เหมิงกุ้ยเฟยมิใช่หรือ?
เห็นได้ชัดว่า ตำแหน่งของเฉิงซื่อจื่อภายในพระทัยของฝ่าบาทยังเทียบเหมิงกุ้ยเฟยหรือองค์ชายและนางสนมที่อาจมีส่วนเกี่ยวข้องไม่ได้ ดังนั้นฝ่าบาทจึงมีรับสั่งให้ประหารเคอกงกงในนามของนักฆ่า เมื่อฆ่าปิดปากไปแล้ว เรื่องนี้ก็สงบลงได้อย่างสมบูรณ์
“เจี่ยนเซียง หลายวันมานี้เย่หลานเฉิงอยู่แต่ในเรือนแห่งนั้นเกิดเรื่องผิดปกติอะไรหรือไม่?” เหมิงกุ้ยเฟยครุ่นคิด ทั้งยังรู้สึกได้ว่าเรื่องนี้แอบมีสิ่งผิดปกติบางอย่าง
“หลายวันมานี้ฝ่าบาทมีรับสั่งให้เหมียวกงกงเลือกนางข้าหลวงและขันทีไปช่วยปรนนิบัติรับใช้ที่เรือนแห่งนั้นเพคะ จริงด้วย แล้วก็ยังมีเด็กอีกหนึ่งคน ได้ยินว่าให้มาเป็นสหายเล่าเรียนวิชาข้างกายเฉิงซื่อจื่อ วันนั้นที่องค์ชายเจ็ดได้รับพิษ ซื่อจื่อขององค์ชายสาม องค์ชายสี่และองค์ชายหกก็ไปที่เรือนแห่งนั้นเพื่อสร้างปัญหาให้เฉิงซื่อจื่อ ผลลัพธ์ที่ได้กลับถูกสหายคนนั้นทุบตี ภายหลังท่านอ๋องซิวก็ปรากฎตัวออกมาแก้ปัญหาเรื่องนี้เพคะ” เรื่องนี้หากไม่ใช่เพราะซื่อจื่อสามคนนั้นได้รับความอยุติธรรมจนพูดไปทั่ว พวกนางก็คงไม่รู้เรื่องนี้
ในเวลานี้เรือนแห่งนั้นมีแต่คนของฝ่าบาท และแต่ละคนต่างก็ปากหนักมาก จึงสอดแนมอะไรไม่ได้เลย
เหมิงกุ้ยเฟยถึงกับตกตะลึง ครั้นนึกถึงเรื่องนี้ก็นึกได้ว่าวันนั้นนางเอาแต่สนใจอยู่กับองค์ชายเจ็ด แม้เย่ซิวตู๋จะเคยพูดถึงเรื่องนี้ไปแล้ว แต่ตอนนั้นเขาก็ไม่ได้พูดถึงเรื่องที่สหายเด็กคนนั้นทำร้ายร่างกายคนอื่น นางจึงไม่ได้สนใจอะไร
ทว่า มีเด็กเพิ่มมาหนึ่งคน? เด็กที่ไม่รู้ว่าเป็นลูกเต้าเหล่าใคร?
“เด็กคนนั้นเป็นใคร?”
เจี่ยนเซียงกล่าวโทษตนเอง “หม่อมฉันสืบไม่พบเพคะ เพียงแต่ได้ยินคนในวังของไทเฮาเคยพูดว่าเด็กคนนั้นเป็นคนที่ฮ่องเต้ส่งคนให้ไปรับตัวมา ไม่มีใครรู้สถานะของเขา หม่อมฉันไปตรวจสอบดูแล้ว แต่คนในเรือนแห่งนั้นไม่มีใครยอมเปิดเผยเลยเพคะ”
เหมิงกุ้ยเฟยหรี่ตาลง นางมีสัญชาตญาณ ดูเหมือนว่าที่ฮ่องเต้ปรากฏตัวภายในเรือนแห่งนั้นบ่อย ๆ มีความเป็นไปได้สูงที่อาจเกี่ยวข้องกับเด็กคนนั้น
นางมององค์ชายเจ็ดปราดหนึ่ง ก่อนจะหันหลังลุกขึ้นยืน สั่งให้คนไปสืบข้อมูลของเด็กคนนั้น
ไม่เพียงแค่เหมิงกุ้ยเฟย สตรีที่มีตำแหน่งเล็กน้อยภายในวังต่างก็ให้ความสนใจกับการเคลื่อนไหวของฮ่องเต้ เพียงแต่ไม่มีใครมีความคิดลึกซึ้งเหมือนเหมิงกุ้ยเฟย ความสนใจของพวกนางย้ายไปอยู่ที่เย่หลานเฉิงอย่างรวดเร็ว ก่อนจะเปลี่ยนไปหารัชทายาท และเปลี่ยนไปที่…ฮองเฮา
ข่าวลือเรื่องที่ฮองเฮาได้รับความโปรดปรานจากฮ่องเต้อีกครั้งถูกแพร่งพรายออกไปอย่างรวดเร็ว ทว่าฮองเฮาในฐานะที่เป็นเจ้าตัวกลับยกมุมปากกระตุกเป็นเส้นโค้งเบา ๆ ฟังคำรายงานจากคนรับใช้ของตนเองด้วยท่าทางเย้ยหยัน
พระนางและฝ่าบาทเป็นสามีภรรยากันมาหลายปี นิสัยของฮ่องเต้เป็นเช่นไรไม่มีใครรู้ดีไปกว่าพระนาง ได้รับความโปรดปราน? ฮ่องเต้ถูกจิ้งจอกเหมิงกุ้ยเฟยนั่นยั่วยวนจนวิญญาณหลุดลอยไปแล้ว เป็นไปได้อย่างไรที่พระองค์จะยังจดจำพระนางได้?
ทว่าไม่ว่าเรื่องจริงจะเป็นเช่นไร แต่ก็นับว่าหลานเฉิงของพระนางอดทนจนสถานการณ์ดีขึ้นแล้ว ได้รับความสนพระทัยจากฮ่องเต้ อย่างน้อย ๆ ก็ไม่ต้องอยู่ในเรือนแห่งนั้นอย่างเงียบ ๆ และไม่ต้องถูกคนลอบวางยาพิษจนตาย
ภายในวังไม่มีความสงบเลยสักนิด เป็นเพราะการแทรกแซงของหนานหนาน จึงทำให้เกิดความรู้สึกราวกับว่าพายุกำลังจะมา
ด้านนอกวังก็เกิดความโกลาหลที่น่าตกใจอย่างต่อเนื่องทีละขั้นเช่นกัน
เย่ซิวตู๋กลับมาถึงเมืองหลวง คนที่เข้ามาเยี่ยมเยียนมีจำนวนไม่น้อย มีตั้งแต่เจ้าหน้าที่ตัวเล็กกระจิริดที่พยายามจะไต่เต้า ไปจนถึงตระกูลของโหวเจวี๋ย [1] ท่านอ๋องและองค์หญิง ทั้งหมดต่างก็ส่งจดหมายว่าต้องการมาเยี่ยมเยียน
ทว่าไม่ว่าจะเป็นใครต่างก็ถูกเย่ซิวตู๋ปฏิเสธทั้งหมด หลายวันต่อมาจึงทำให้ถูกผู้คนประณามและสาปส่งไม่น้อย ทั้งยังขู่ว่ารอให้ถึงวันประลองในโรงเตี๊ยมอีกไม่กี่วันต่อจากนี้ก่อนเถิด พวกเขาจะไปดูเย่ซิวตู๋ก้มหน้าขอโทษหมอเสิ่นด้วยความอับอายต่อหน้าทุกคนด้วยตนเอง
อวี้ชิงลั่วฟังเยว่ซินเล่าเรื่องเหล่านี้หลังจากไปสอบถามมาก็เกิดความรู้สึกขบขัน นางถือขวดยาในมือแกว่งไปมา “ท่านอ๋องของพวกเราก็หยิ่งผยองมากเหมือนกันนะเนี่ย”
อย่าว่าแต่ท่านอ๋องหรือเจ้าหน้าที่คนใหญ่คนโตเหล่านี้เลย แม้แต่ฮ่องเต้เรียกเข้าพบ เย่ซิวตู๋ก็ยังหาข้ออ้างสารพัดเพื่อปฏิเสธกลับไป เหตุใดเขาถึงต้องมาสนใจการวิพากษ์วิจารณ์ของคนเหล่านี้ด้วย?
เยว่ซินไม่ได้มองโลกในแง่ดีขนาดนั้น นางเห็นท่าทางไม่แยแสของคุณหนู ก็เกิดความร้อนใจอย่างห้ามไม่อยู่ “แต่คุณหนูเจ้าคะ หากวันนั้นคุณหนูแพ้การประลองขึ้นมาจริง ๆ จะทำเช่นไร? หมอเสิ่นคนนั้นเป็นถึงหมอปีศาจเชียวนะเจ้าคะ แม้แต่สาวใช้ตัวเล็ก ๆ ที่อยู่แต่ในจวนอวี๋อย่างข้าก็เคยได้ยินชื่อนี้ แค่ได้ยินก็รู้สึกกลัวแล้ว”
อวี้ชิงลั่วชะงัก ถึงกับหลุดขำออกมาทันใด จริงด้วยสินะ นางบอกเยว่ซินแค่ว่าคนที่จะประลองกับหมอปีศาจคนนั้นคือนาง กลับไม่ได้บอกว่าหมอปีศาจตัวจริงคือนาง
……………………………………………………………………………………………………………………..
[1] โหวเจวี๋ย (侯爵) ตำแหน่งเดียวกับพระยาของไทย
สารจากผู้แปล
ท่านอ๋องซิวนี่สมกับเป็นท่านอ๋องซิวจริงๆ ขนาดเสด็จพ่อตัวเองเรียกพบยังไม่ไป นับประสาอะไรกับคนอื่น
ไหหม่า(海馬)