อลวนรักหมอหญิงชิงลั่ว - ตอนที่ 191 มีความสุขบนความทุกข์ของผู้อื่น
ตอนที่ 191 มีความสุขบนความทุกข์ของผู้อื่น
สี่วันต่อมา ณ โรงเตี๊ยมเยว่หมิง
สถานที่ทั้งหมดทั้งด้านหน้าและด้านหลังประตูชั้นบนและชั้นล่างของโรงเตี๊ยมเต็มไปด้วยผู้คนเนืองแน่นตั้งแต่ช่วงเช้า แม้เมืองหลวงจะแตกต่างจากเจียงเฉิงตรงที่มีผู้คนมากมายได้เห็นโลกภายนอก ต่อให้หมอปีศาจจะมีความลึกลับมากจนทำให้คนอยากเห็นเป็นบุญตาสักครั้ง แต่ก็ไม่ถึงกับขั้นที่ต้องเห็นให้ได้
ทว่าเรื่องในครั้งนี้ไม่ได้มีแค่หมอปีศาจเท่านั้น เพราะเจ้าของเรื่องยังมีเสนาบดีฝั่งขวาที่ผู้คนภายในเมืองหลวงต่างเกรงใจ รวมถึงท่านอ๋องซิวที่เพิ่งกลับมาถึงเมืองหลวงและกลายเป็นหัวข้อที่ผู้คนพากันพูดถึง
ทั้งสองคนนี้ต่างเป็นบุรุษหนุ่มผู้มีความสามารถ ทั้งยังเป็นเสาหลักของอาณาจักรที่ฮ่องเต้ทรงให้ความสำคัญอย่างมาก ด้วยเหตุนี้ แค่เสน่ห์และอำนาจบารมีจากคนสองคนนี้ ก็ทำให้ผู้คนรีบพากันแห่เข้ามาจำนวนนับไม่ถ้วน
ยิ่งไปกว่านั้น ยังมีรัชทายาท องค์ชายทั้งสามและคนอื่นๆ ในราชวงศ์ที่อยากเห็นเย่ซิวตู๋เสียหน้า จึงพากันจองห้องส่วนตัวและหาตำแหน่งดี ๆ เพื่อเป็นสักขีพยานในการประลองที่หาได้ยากยิ่งครานี้
เมื่อมีองค์ชายอยู่ที่นี่ ขุนนางที่เป็นชนชั้นสูงเหล่านั้นก็รีบเบียดเข้ามาเพราะทนไม่ไหว มีผู้คนจำนวนมากที่มาจากเมืองชายแดนรีบเร่งม้าเพื่อมาดูความครึกครื้น ทั้งยังมีลูกศิษย์และหมอจากสำนักแพทย์จำนวนไม่น้อยที่มาที่นี่เพื่อเก็บเกี่ยวประสบการณ์
เถ้าแก่ของโรงเตี๊ยมเยว่หมิงยิ้มจนคางแทบจะตกลงไปถึงพื้น รีบออกไปรับสมัครผู้ช่วยชั่วคราวด้านนอกโรงเตี๊ยม ทั้งยังเพิ่มเงินให้ถึงสองเท่า
เพียงชั่วพริบตา บนถนนใหญ่ที่อยู่ด้านหน้าประตูโรงเตี๊ยมเยว่หมิงก็มีเสียงตะโกนโหวกเหวกโวยวายจากผู้คนที่เดินขวักไขว่ไปมา บรรยากาศครึกครื้นอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน
โรงหมอซิงเซิ่งปิดทำการชั่วคราว สถานที่ทั้งหมดมีไว้เพื่อให้คนที่มาไม่ทันได้มีสถานที่ดี ๆ ไว้ชมการประลอง
ท่ามกลางบรรยากาศที่ดูน่าฮึกเหิมเช่นนี้ หมอเสิ่นได้เดินเข้ามาด้านในร้านภายใต้การคุ้มกันของผู้อารักขาผู้หยิ่งผยองจากจวนเว่ยหยวนโหว เหลือบมองบรรยากาศที่อยู่ภายในโรงเตี๊ยมปราดหนึ่ง ทั้งยังพูดกับเถ้าแก่ร้านด้วยท่าทางเกียจคร้าน “ที่บอกให้เจ้าเตรียมห้องไว้ให้พร้อม เตรียมไว้หรือยัง?”
เถ้าแก่รีบพยักหน้าตอบกลับด้วยท่าทางประจบประแจง “เตรียมไว้แล้วขอรับ เตรียมไว้อย่างดีแล้ว ท่านหมอเสิ่นเข้าไปพักผ่อนด้านในก่อนเถิดขอรับ ตอนนี้ยังเช้า ข้าน้อยจะให้เสี่ยวเอ้อไปเตรียมอาหารชั้นดีแล้วนำไปส่งให้หมอเสิ่นขอรับ”
“อืม” หมอเสิ่นพยักหน้า คิ้วยกขึ้นสูงเล็กน้อย มองอีกฝ่ายเพียงปราดหนึ่งด้วยท่าทางเย่อหยิ่ง
องค์ชายสามและคนอื่น ๆ ที่ขึ้นมาชั้นสองก่อนหน้านี้อดไม่ได้ที่จะชะโงกหน้าออกมา กวาดตาสำรวจหมอเสิ่นอย่างละเอียด หลังจากผ่านไปครู่หนึ่งจึงยิ้มเยาะอย่างห้ามไม่อยู่ “นั่นน่ะหรือหมอปีศาจ?”
“ดูท่าทางนั่นของเขาก็ดูคล้ายอยู่หลายส่วน แต่ใครจะไปรู้ล่ะ? พวกเราต่างก็ไม่มีใครเคยเห็นหมอปีศาจมาก่อน จะไปรู้ได้อย่างไรว่าเขารูปร่างหน้าตาเป็นอย่างไร?” องค์ชายสี่กลับไม่ค่อยเห็นด้วยเท่าไรนัก “แต่การประลองในวันนี้หากเขาชนะขึ้นมา ต่อให้ไม่ใช่หมอปีศาจ ก็ถือว่าเป็นหมอปีศาจแล้ว หมอปีศาจที่ราชวงศ์ยอมรับ ใครจะกล้าพูดอะไรได้?”
“หากแพ้ขึ้นมาเล่า?”
องค์ชายสี่ถึงกับหัวเราะ ‘ฮ่า’ ออกมา “เขาจะแพ้ได้หรือ? หากแพ้ขึ้นมา อย่าว่าแต่เสียหน้าเลย แม้แต่เหมิงกุ้ยเฟยก็คงไม่ปล่อยเขาไว้เช่นกัน จุดจบก็คงมีเพียงสิ่งเดียว แต่ข้ากลับคิดว่าโอกาสที่เขาจะแพ้ช่างน้อยนิด ข้าเคยได้ยินมาว่าทักษะทางการแพทย์ของหมอผู้นี้เก่งกาจยิ่งกว่าหัวหน้าไท่อีเยวี่ยนคนปัจจุบันของพวกเราอยู่หลายส่วน คนเช่นนี้มีหรือจะพ่ายแพ้ให้กับหญิงสาวที่ไม่รู้ที่มาที่ไป? อวี๋จั้วหลินนั่นก็ช่างกล้าหาญเสียเหลือเกิน ถึงได้กล้าท้าทายคนของเหมิงกุ้ยเฟย”
“หากพูดว่ามีความกล้าหาญ คงเป็นน้องห้าคนนั้นของพวกเรามากกว่า” องค์ชายสามยิ้มเยาะอย่างห้ามไม่อยู่ “ทำกับมารดาของตัวเองได้ลงคอ ไม่รู้ว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่กันแน่ แม้ว่าโดยปกติเหมิงกุ้ยเฟยจะค่อนข้างรุนแรงกับเขา แต่ถึงอย่างไรก็เป็นแม่ลูกกัน ทำให้หมู่เฟยของตนเองหาทางลงไม่ได้ มิเท่ากับคิดจะฉีกหน้าเหมิงกุ้ยเฟยจนไม่เหลือหรอกหรือ?”
องค์ชายคนอื่น ๆ หัวเราะออกมา สิ่งนี้ทำให้พวกเขาอยากเห็นฉากนั้นจนแทบทนไม่ไหวแล้ว
“อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าผลลัพธ์จะเป็นเช่นไร พวกเราแค่รอดูเรื่องน่าขบขันก็พอ หมอเสิ่นแพ้ นอกจากเหมิงกุ้ยเฟยจะไม่ปล่อยเขาไว้ คงไม่ปล่อยเย่ซิวตู๋ด้วยเช่นเดียวกัน หากหมอเสิ่นชนะ เย่ซิวตู๋ก็ต้องขอโทษหมอเสิ่นต่อหน้าพวกเรา แต่ข้าคิดว่าโอกาสที่หมอเสิ่นแพ้มีน้อยมาก ดังนั้นพวกเรารอดูเรื่องน่าขันของเย่ซิวตู๋เถิด ฮ่า ๆๆๆ” นิสัยขององค์ชายสามค่อนข้างคล้ายกับเย่หลานเวย ระหว่างที่พูดก็เริ่มเกิดความตื่นเต้น ใช้ฝ่ามือทุบโต๊ะแรง ๆ หนึ่งครั้ง
“ข้าว่าเรื่องนี้ก็ไม่แน่หรอก” องค์ชายหกนั่งเงียบขรึมไม่พูดไม่จาอยู่ข้าง ๆ มาโดยตลอด หลังจากดื่มน้ำชาไปหนึ่งคำจู่ ๆ ก็เอ่ยปากพูดขึ้น พูดแทรกการสนทนาอย่างออกรสของพี่น้องคนอื่น ๆ จนกระทั่งสายตาของทุกคนมองมาที่เขา เขาจึงกล่าวเคล้ารอยยิ้มว่า “แม้ว่าทักษะทางการแพทย์ของหมอเสิ่นคนนั้นจะดีกว่าหัวหน้าสำนัก เขาก็เป็นแค่คนแก่ตาพร่ามัวคนหนึ่ง แตกต่างจากหัวหน้าสำนักคนก่อนราวฟ้ากับเหว หมอเสิ่นคนนี้หากมีทักษะทางการแพทย์เก่งกาจขนาดนั้น เหตุใดจนถึงตอนนี้ยังถอนพิษที่อยู่ในตัวของเย่ฮ่าวถิงและเย่ซิวตู๋ไม่ได้ล่ะ?”
องค์ชายสามและคนอื่น ๆ หันสบตากัน พยักหน้ารู้สึกว่าสิ่งที่อีกฝ่ายพูดก็มีเหตุผล ทว่าสิ่งเหล่านี้ไม่ได้มีความสำคัญ เพราะเรื่องที่สำคัญก็คือ…
“ถึงอย่างไร คนที่เสียเปรียบก็มีแต่เย่ซิวตู๋นั่นแหละ”
“ก็นั่นน่ะสิ ตอนนี้ข้าอยากเห็นหมอนั่นออกมาเร็ว ๆ จนแทบทนรอไม่ไหวอยู่แล้ว เขาเป็นบ้ามากมิใช่หรือ? นอกจากเจ้าแปดที่ไม่รู้จักที่ต่ำที่สูงนั่น ในบรรดาพี่น้องอย่างพวกเราต่างก็ถูกเขาปฏิเสธทั้งนั้น วันนี้ข้าเองก็อยากเห็นเหลือเกินว่าจะทำตัวบ้าระห่ำอย่างไร”
องค์ชายหกชะงัก หันไปมองด้านล่าง จู่ ๆ ก็พูดด้วยความประหลาดใจว่า “พอพูดถึงเจ้าแปด วันนี้สถานการณ์ครึกครื้นขนาดนี้ เหตุใดถึงยังไม่เห็นเขาปรากฏตัวอีก? เจ้านั่นชอบเรื่องพวกนี้มาแต่ไหนแต่ไรมิใช่หรือ?”
“ก็นั่นน่ะสิ ตอนนี้กลับไม่เห็นเขา มิใช่ว่าคิดจะมาพร้อมกับเย่ซิวตู๋หรอกกระมัง?”
ท่านอ๋องแปดเย่ฮ่าวหรานที่ถูกทุกคนนึกถึง ตอนนี้กลับยืนหัวเราะหน้าเจื่อนอยู่หน้ารถม้าสุดหรูคันหนึ่ง กำลังรอเด็กสองคนที่กำลังนั่งกินอาหารอยู่ข้างทางอย่างเงียบ ๆ
หลังจากผ่านไปครู่หนึ่ง เขาก็หันไปถามคนขับรถม้าที่อยู่ข้าง ๆ เป็นรอบที่สิบเจ็ด “ตอนนี้กี่ยามแล้ว?”
“ท่านอ๋อง การประลองยังไม่เริ่มขอรับ พวกเรายังไปทัน” คนขับรถม้าถูกอีกฝ่ายถามจนหมดคำพูดเช่นกัน ท่านอ๋องแปดกระตือรือร้นที่จะไปโรงเตี๊ยมเยว่หมิงมากเพียงใดกัน? เขาเพิ่งจะนับถึงร้อยอยู่ภายในใจอย่างเงียบ ๆ ท่านอ๋องก็เอ่ยถามขึ้นมาอีกแล้ว
คนขับรถม้าเงยหน้ามองท้องฟ้า อันที่จริง…ก็ยังเช้าอยู่จริง ๆ
เย่ฮ่าวหรานอยากทึ้งผมตัวเองเสียเหลือเกิน เสด็จพ่อคิดอะไรอยู่กันแน่? ถึงได้มีรับสั่งให้เขาพาเจ้าเด็กสองคนนี้ออกมา เย่หลานเฉิงเป็นบุตรชายของรัชทายาทมิใช่หรือ? ส่งตัวเขาไปที่ตำหนักรัชทายาทให้รัชทายาทช่วยพาไปก็สิ้นเรื่องแล้ว?
ยังไม่จบ ยังมีเจ้าสหายอะไรนี่อีกคน เหตุใดถึงได้มีความกล้าหาญขนาดนี้? ชี้นิ้วสั่งเย่หลานเฉิงยังพอทน เหตุใดถึงได้กล้าทำตัวเย่อหยิ่งใส่เขาที่เป็นถึงท่านอ๋อง? หรือว่าพ่อแม่ของเขาไม่เคยอบรมสั่งสอนว่าหากดูหมิ่นเบื้องสูงจะถูกตัดหัว?
ยังมีอีก เจ้าเด็กคนนี้กินมากเกินไปหน่อยกระมัง ดูเหมือนว่าปากนั่นจะเคี้ยวไม่หยุดเลย ตั้งแต่ขึ้นรถม้าออกจากวังมาจนถึงที่นี่ยังไม่ทันไปถึงสถานที่นัดหมาย เขาก็สั่งให้คนหยุดไปสิบกว่าหนแล้ว สิ่งที่ทำให้สมควรตายมากที่สุดก็คือ เหตุใดเขาถึงได้เชื่อฟังเจ้าเด็กนี่ขนาดนี้?
เขาคือท่านอ๋อง เป็นท่านอ๋องนะ เป็นถึงท่านอ๋องแปดเชียวนะ ปรากฏว่ากลับถูกเด็กสองคนจูงจมูกเดินเสียได้
…………………………………………………………………………………………………………………………
สารจากผู้แปล
สงสารอ๋องแปดที่ต้องมาเลี้ยงเด็กสองคนแล้วคนหนึ่งคือแสบสุดๆ จังเลยค่ะ
ไหหม่า(海馬)