อลวนรักหมอหญิงชิงลั่ว - ตอนที่ 2 หกปีต่อมา
ตอนที่ 2 หกปีต่อมา
หกปีต่อมา
“ท่านแม่ ท่านว่าข้าช่วยเขาดีหรือไม่?”
บนคานมีผู้ใหญ่และเด็กนั่งอยู่ ทางซ้ายมือเป็นเด็กชายตัวเล็กที่บัดนี้แสดงสีหน้าร้อนรน ดวงตาเป็นประกายกำลังจ้องมองบุรุษสองคนที่กำลังต่อสู้กันอยู่ใต้คาน ทั้งหน้าย่นยู่จนแทบจะกลายเป็นซาลาเปาลูกหนึ่งแล้ว
“ข้าคิดว่านะ พวกเราออกมาข้างนอก ระหว่างทางเห็นความอยุติธรรมก็ควรต้องชักมีดออกมาช่วยนะถูกต้องไหม แม้ปีนี้ข้าจะอายุแค่ห้าขวบ แต่ก็มีความเลือดร้อน…อืม…ดังนั้นควรช่วยเหลือ” เด็กชายตัวน้อยเริ่มลูบคางขณะมองดูสองคนต่อสู้กันต่อพร้อมกับเอ่ยพึมพำไปด้วย
“แต่…ข้าเองก็กังวลเพราะอีกฝ่ายก็ดูท่าทางสุดยอดมากเช่นกัน หากข้าเข้าไปช่วยเหลือ อีกฝ่ายจะจัดการข้าด้วยหรือไม่? อืม…นี่เป็นคำถามที่จริงจังมาก อืม…จริงจังมาก”
ระหว่างที่พูด เขาก็เปลี่ยนมืออีกข้างขึ้นมาลูบคาง มองดูคนสองคนกำลังสู้กันอย่างครึกครื้นอยู่ด้านล่างขณะกะพริบตาปริบ ๆ ขนตาที่อยู่บนดวงตาคู่นั้นทั้งยาวและดำขลับ เมื่อขยับไหวก็ดูราวกับมีชีวิต
ทันใดนั้นเด็กชายตัวน้อยก็นิ่งงันไป เขาหันหน้ามองมารดาที่ไม่พูดไม่จาตั้งแต่แรก แล้วสีหน้าของเขาก็อึมครึมลงในทันใด “ท่านแม่ ท่านไม่ตั้งใจฟังในสิ่งที่ข้าพูดอีกแล้ว ท่านรู้หรือไม่ว่าการทำเช่นนี้ช่างไม่ให้เกียรติข้าอย่างมาก? ท่านทำแบบนี้…ท่านแม่ บุตรชายผู้งดงาม แสนดีและน่ารักอยู่ทางซ้ายมือของท่านนะ ท่านหันไปมองอะไรทางขวาเล่า?”
เด็กชายตัวน้อยขึ้นเสียงสูงเล็กน้อย ในที่สุดก็ดึงสายตาของสตรีทางขวาที่ไม่ได้สนใจเขาให้กลับมา
อวี้ชิงลั่วชะงัก นางเลิกคิ้วขึ้นด้วยความประหลาดใจมองมาที่บุตรชายผู้นั่งอยู่ข้าง ๆ พลางเอ่ยถามด้วยความสงสัย “หนานหนาน เมื่อครู่เจ้าพูดอะไรหรือ?”
หนานหนานถึงกับถลึงตามองนางด้วยความโกรธเคือง แก้มของเขายกขึ้นเป็นก้อนกลมนูน ในเวลานี้ท่าทางของเขาดูเหมือนไม่อยากสนใจนางแล้ว
อวี้ชิงลั่วไม่ได้ใส่ใจเช่นกัน สายตาของนางกลับเหลือบมองไปยังร่างสูงโปร่งที่อยู่ตรงมุมของโรงเตี๊ยมอีกครั้ง ดวงตาของนางหรี่ลงเล็กน้อย
เรื่องนั้นผ่านมาหกปีแล้ว นางไม่ได้เจอคนของตระกูลอวี้มาหกปีแล้ว คิดไม่ถึงเลยว่าวันนี้นางจะได้เห็นอวี๋จั้วหลินที่ด้านในโรงเตี๊ยมเล็ก ๆ อีกครั้ง
มุมปากของอวี้ชิงลั่วปรากฏรอยยิ้มเย็นชาจาง ๆ…ยามได้เห็นเขา นางก็นึกถึงสิ่งที่ตระกูลอวี้ปฏิบัติกับนางเมื่อหกปีก่อน
ไม่…ไม่ถูก…ไม่ควรบอกว่านาง แต่เป็นอวี้ชิงลั่วตัวจริงต่างหากล่ะ สตรีผู้ไม่เคยขัดแย้งกับใครแต่กลับถูกตระกูลอวี้กลั่นแกล้งสารพัดสารเพ ท้ายที่สุดตอนที่คลอดบุตรในวัดร้างก็ยังถูกมือสังหารที่อวี๋จั้วหลินเตรียมไว้เข้ามาล้อม
หากไม่ใช่เพราะแม่นมเก๋อแอบช่วยนางออกจากห้องเก็บฟืนในตอนแรก และคอยช่วยเหลือนางให้หลบ ๆ ซ่อน ๆ มาโดยตลอด เกรงว่าแม้แต่หนานหนานก็คงไม่ได้ออกมาลืมตาดูโลก
แต่น่าเสียดาย แม้จะคลอดบุตรออกมาได้อย่างปลอดภัย แต่นางกลับต้องตายเพราะภาวะคลอดยาก
ท้ายที่สุด เธอที่ถูกเรียกว่าเป็นอัจฉริยะด้านการแพทย์ในยุคปัจจุบันและเป็นผู้มีนิสัยสันโดษนอกคอกก็มาสิงสถิตในร่างนี้ และใช้แรงเฮือกสุดท้ายเบ่งหนานหนานออกมา
การทะลุมิติมาเจอกับฉากที่ต้องคลอดลูก ช่างเป็นเรื่องที่ลำบากมากจริงๆ
“ท่านแม่ เช่นนั้นท่านคิดว่าข้าควรช่วยหรือไม่ช่วยดีเล่าขอรับ?” ท้ายที่สุดหนานหนานก็ทนไม่ไหว เมื่อเห็นว่ามารดาของตนไม่พูดอะไรก็เริ่มพูดพล่ามถามขึ้นมาอีกครั้ง
อวี้ชิงลั่วลอบข่มความเกลียดชังที่อยากสับร่างคนต่ำทรามอย่างอวี๋จั้วหลินแทบทนไม่ไหวไว้ และมองตามสายตาของหนานหนานลงไป
นางจึงพบว่ากลางโรงเตี๊ยมได้ถูกเว้นที่ไว้จนกว้างขวางอย่างเห็นได้ชัด บุรุษร่างผอมคนหนึ่งกับบุรุษร่างกายแข็งแรงอีกคนหนึ่งกำลังต่อสู้กันอย่างดุเดือด ผู้ชมที่อยู่โดยรอบแอบหลบไปยืนมองอยู่ข้าง ๆ ด้วยอาการทั้งตื่นเต้นและหวาดกลัว ทว่ากลับไม่มีใครกล้าก้าวเท้าเข้าไปแยกพวกเขาทั้งสองคนออกจากกัน
นางมองเงียบ ๆ อยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะหันหน้ามองบุตรชายที่กำลังดูด้วยความสนใจ และเอ่ยถามด้วยรอยยิ้ม “เจ้าอยากช่วยใคร?”
“คนที่ใส่ชุดขาวคนนั้น” หนานหนานดวงตาเป็นประกาย ทันใดนั้นก็ชี้ไปยังบุรุษร่างผอมหน้าตาหล่อเหลาไม่น้อยคนนั้นพร้อมกับถูฝ่ามือ
อวี้ชิงลั่วเลิกคิ้วขึ้น ก่อนแค่นเสียงเบาเสียที่หนึ่ง “คนชุดขาวมีวรยุทธแข็งแกร่ง ไม่ต้องเปลืองกำลังของเจ้าหรอก”
“หา? เขาเก่งกว่าอย่างนั้นหรือ?” หนานหนานเกิดความกังวล คิ้วเล็ก ๆ ขมวดเข้าหากันในทันที ในใจแอบไม่มีความสุขขึ้นมาเสียแล้ว เพียงแต่อึดใจต่อมา อารมณ์ของเขาก็กลับมาตื่นเต้นอีกครั้ง “เช่นนั้นข้าจะวางยาคนชุดขาวนั่นก่อน จากนั้นค่อยปรากฏตัวขึ้นทำตัวเป็นผู้ช่วยชีวิตเข้าไปช่วยเขา ท่านว่าเขาจะซาบซึ้งใจข้าหรือไม่?”
มุมปากอวี้ชิงลั่วกระตุกแรง ๆ สองที นางใช้สายตาแปลกประหลาดมองไปที่เขา ลูบหน้าผากของเขาอยู่ครู่หนึ่งแล้วถอนหายใจออกมา “หนานหนาน การกระทำที่น่ารังเกียจเช่นนี้ ใครเป็นคนสอนเจ้า?”
“ก็ต้องเป็นท่านแม่อยู่แล้ว” หนานหนานตอบกลับมาอย่างมั่นใจ
อวี้ชิงลั่วหรี่ตาลง นางมองเขาด้วยสายตาอันตราย “เจ้าว่าใครนะ?”
“…ก็ รู้จักเลี้ยงแต่ไม่อบรม เป็นความผิดของพ่อแม่…” หนานหนานเห็นสีหน้าของนาง พลังก็แผ่วลง เป็นเช่นนี้ทุกครั้ง เป็นเช่นนี้ทุกครั้งเลย เมื่อท่านแม่สู้เขาไม่ได้ ก็จะใช้สีหน้า ‘ไม่ต้องกินมื้อเที่ยง มื้อเย็นและมื้อดึกแล้ว’ มองมาที่เขาอยู่ร่ำไป และเขาก็กลัวมากด้วย
“นี่คือแม่ ไม่ใช่พ่อ” อวี้ชิงลั่วยื่นมือออกมาหยิกแก้มเล็ก ๆ นุ่ม ๆ ราวกับซาลาเปาของเขา ทั้งยังส่งเสียงจิ๊จ๊ะออกมา
หนานหนานหดศีรษะ ร่างเล็ก ๆ บิดไปมา ก่อนหมุนกายใช้มือกอดเสาอย่างระมัดระวังและเริ่มร้องสะอึกสะอื้นไร้เสียง ทั้ง ๆ ที่ท่านแม่ก็พูดกับเขาทุกวี่ทุกวันว่าท่านแม่เป็นทั้งบิดาและมารดาที่ต้องตามเช็ดปัสสาวะอุจจาระเขา มิใช่เรื่องง่ายกว่าจะเลี้ยงเขามาจนเติบใหญ่ เหตุใดตอนนี้ถึงไม่ยอมรับ
อวี้ชิงลั่วถูหน้าผากอย่างหมดแรง ตอนแรกนางตัดสินใจว่าจะเลี้ยงดูบุตรให้เป็นเด็กหนุ่มผู้ถึงพร้อมด้วยคุณงามความดีห้าประการ เป็นคนซื่อตรง จิตใจดี มีความกล้าหาญ ไยท้ายที่สุดถึงได้ดูห่างจากความคาดหวังไปมากมายขนาดนี้
นางลอบถอนหายใจ หันมองหนานหนานที่นั่งหันหลังให้ ทั้งยังแสร้งทำเป็นขยับไหล่ จนนางพลันเกิดความรู้สึกอยากเตะเขาลงไปเสียเหลือเกิน
ตอนที่หางตาของนางเพิ่งหรี่ลง ก็พบว่าอวี๋จั้วหลินที่อยู่ตรงมุมวางแท่งเงินเล็ก ๆ ไว้หนึ่งแท่ง และลุกขึ้นยืนเดินออกไปแล้ว
คิ้วของอวี้ชิงลั่วขมวดเข้าหากันในทันที ไม่มีเวลาให้พูดอะไร ทำได้เพียงแค่ยื่นมือออกไปตบบ่าหนานหนาน จากนั้นกระซิบบอกเขาว่า “เจ้านั่งรอแม่อยู่ที่นี่จนกว่าแม่จะกลับมา แม่มีเรื่องต้องออกไปทำสักหน่อย”
ระหว่างที่พูด ยังไม่ทันที่หนานหนานจะได้ตอบอะไร นางก็ปีนขึ้นไปบนชายคาอย่างรวดเร็ว เพียงไม่นานก็กระโดดลงบนพื้นตรงตำแหน่งมุมอาคารที่ไม่มีคนอยู่ และวิ่งตามเงาของอวี๋จั้วหลินออกจากโรงเตี๊ยมไป
หนานหนานถึงกับมึนงง ดวงตาของเขากะพริบปริบ ๆ ทำได้เพียงแค่มองแผ่นหลังของผู้เป็นมารดาที่ค่อย ๆ หายไปจากคลองสายตา
จากนั้นเขาก็เริ่มลูบคางทำหน้าบึ้งตึงอีกหน “ท่านแม่คิดจะไปก็ไป ยังไม่ตอบคำถามของข้าแบบตรง ๆ เลยนะ? สรุปแล้วข้าจะช่วยหรือไม่ช่วยล่ะ? เฮ้อ ท่านแม่พึ่งพาไม่ได้เช่นนี้ หากท่านย่าเก๋ออยู่ด้วยก็คงดี”
พูดจบ สายตาของเขาก็หรี่มองไปที่ด้านล่างคานอีกหน คนสองคนที่อยู่ด้านล่างยังคงโรมรันพันตูกันอย่างไม่มีทีท่าว่าจะแยกห่าง แต่สถานการณ์ก็เป็นอย่างที่อวี้ชิงลั่วคาดการณ์ไว้ ตรงที่รูปแบบการต่อสู้ของบุรุษชุดขาวถือว่าเป็นไปในทิศทางที่ดี
หนานหนานดูอยู่พักหนึ่งจึงพยักหน้า ในที่สุดเขาก็ตัดสินใจครั้งใหญ่ได้แล้ว
…………………………
สารจากผู้แปล
บทจะทะลุมิติมาก็มาตอนคลอดลูกอีก ลำบากคุณหมออวี้จริง ๆ เลย
น้องหนานแลดูเป็นผู้ใหญ่ในร่างเด็กนะคะ อายุแค่ห้าขวบแต่การพูดจากับความคิดเหมือนผู้ใหญ่เลย
ไหหม่า (海馬)