อลวนรักหมอหญิงชิงลั่ว - ตอนที่ 230 เดาได้แม่นยำ
ตอนที่ 230 เดาได้แม่นยำ
ตอนที่ 230 เดาได้แม่นยำ
“นี่มันคืออะไร?” หัวหน้าคนรับใช้ดึงของสิ่งนั้นออกมาด้วยความประหลาดใจ แต่กลับพบเข้ากับจดหมายหนึ่งฉบับ ดวงตาของเขาฉายแวววูบไหวทันที ก่อนจะรีบยื่นให้กับองค์รัชทายาท
องค์รัชทายาทขมวดคิ้วก่อนคลี่กระดาษออก และกวาดสายตามองอย่างรวดเร็ว
แต่เมื่อยิ่งอ่าน สีหน้าท่าทางของเขาก็ดูบิดเบี้ยวเหยเกยิ่งขึ้น แววตาเย็นชากลายเป็นแววตาโกรธแค้น ร่างกายที่สงบนิ่งเริ่มสั่นเทิ้มขึ้นมา หลังจากที่อ่านเนื้อความทั้งหมดเสร็จก็ขยำจดหมายฉบับนั้นกำไว้ในมือแน่น
ทันใดนั้นเอง องค์รัชทายาทก็ได้ใช้กระบี่แทงเข้าไปที่แผ่นหลังของจ้าวผิงอย่างเหี้ยมโหด แม้แต่เย่ฮ่าวหรานเองก็ยังตอบสนองไม่ทัน
พระองค์เอ่ยขึ้นทีละคำขณะขบฟันแน่น “นังแพศยาสารเลว ที่แท้แล้วเจ้าก็มีความคิดเช่นนี้”
‘ฉึก’ เกิดเสียงดังขึ้นพร้อมกับกระบี่ที่ถูกชักออกมา จ้าวผิงหันไปมองอย่างไม่อยากจะเชื่อสายตา โลหิตค่อย ๆ ไหลออกมาจากมุมปากของนางพร้อมกับความไม่เข้าใจ เมื่อสักครู่นั้นพระองค์ยังรู้สึกสงสารและรักนางอยู่ เหตุใดเพียงแค่พริบตาเดียว ดวงตาทั้งสองของพระองค์จึงได้แดงก่ำและลงมืออย่างเหี้ยมโหดเช่นนี้
“องค์รัชทายาท…หม่อมฉันไม่ได้…” จ้าวผิงสิ้นชีวิตไปโดยที่ดวงตาทั้งคู่ยังเบิกโพลง ท้ายที่สุดก็ยังไม่เข้าใจว่าเหตุใดองค์รัชทายาทจึงเปลี่ยนไป นางมองไปที่เขา ก่อนจะล้มลงกับพื้นแน่นิ่งไป
เย่ฮ่าวหรานถึงกับก้าวถอยไปสองสามก้าว ในใจพลันตกตะลึง ดูเหมือนว่าเนื้อหาในจดหมายจะแทงใจดำขององค์รัชทายาทเข้าพอดิบพอดี
แล้วสตรีผู้ที่หลบอยู่ในมุมนั้นท้ายที่สุดแล้วเป็นใครกัน รู้ได้อย่างไรว่าบนเตียงมีจดหมายฉบับนั้นที่จะทำให้องค์รัชทายาทสูญเสียการควบคุมไปได้ เป็นไปได้ไหมว่านางและพี่ห้านั้นจะเป็นพวกเดียวกัน?
เย่ฮ่าวหรานนึกไม่ออก ความคิดของชายหนุ่มเชื่อมโยงไปมาจนวุ่นวาย หลังจากนั้นก็ได้ยินน้ำเสียงแข็งกร้าวขององค์รัชทายาทดังข้างหู “ถ้าหากว่าน้องแปดไม่มีเรื่องอันใดแล้ว ก็กลับตำหนักไปเสียเถิด ข้าเหนื่อยมากแล้ว”
“เช่นนั้นองค์รัชทายาทรักษาตัวดี ๆ ด้วย ข้าขอตัวก่อน” หลังจากได้ชมความครื้นเครงแล้ว เขาก็รีบออกมาตามหาหนานหนานกับเย่หลานเฉิง ไม่เช่นนั้นแล้วจะกลับไปอธิบายต่อฝ่าบาทได้เช่นไร
องค์รัชทายาทโบกมือ ให้หัวหน้าพ่อบ้านไปส่งแขก ส่วนตนเองนั้นรู้สึกปวดหัวเป็นอย่างมากจนต้องทิ้งกระบี่ในมือลง และขยำจดหมายที่ทำให้ตนโกรธเกรี้ยว
ผ่านไปสักพัก จึงเดินออกจากเรือนอ้ายผิงแล้วรีบเดินตรงไปที่ห้องทรงอักษร
หลังจากที่หัวหน้าคนรับใช้ส่งเย่ฮ่าวหรานเสร็จ จึงรีบให้คนมาจัดการกับร่างชายหญิงคู่นั้นและลงกลอนเรือนไว้ ก่อนจะลอบถอนหายใจแล้วรีบออกมา
หลังจากที่เรือนอ้ายผิงนั้นว่างเปล่าลง เย่ซิวตู๋จึงโอบอวี้ชิงลั่วร่อนจากหลังคาลงสู่พื้นมายืนต่อหน้าคนที่กำลังจะจากไป
“เจ้าคือเฉิงเอ๋อร์?”
เฉิงเอ๋อร์ตกใจแล้วรีบถอยไปในทันที นางมองดูชายหญิงตรงหน้าด้วยความหวาดระแวง เมื่อสักครู่เรื่องพวกนั้นที่นางทำไป ทั้งสองคนนี้ต่างก็เห็นหรือ?
“พวกท่านจะทำอะไร?”
อวี้ชิงลั่วถอนหายใจเบา ๆ แล้วยิ้มขึ้น “ข้าก็แค่อยากจะบอกเจ้าว่า ไท่จื่อเฟยสลบไปแล้ว และตอนนี้สภาพร่างกายของนางก็ย่ำแย่มาก ๆ ในเรือนไม่มีคนและจ้าวผิงเองก็สิ้นชีพแล้ว ต่อให้เจ้ากลับไปหาไท่จื่อเฟยก็จะไม่มีใครกล้าบอกอะไร ส่วนบาดแผลของนางข้าจัดการให้แล้ว แต่ถึงกระนั้นก็คิดว่านางจะมีไข้ตอนค่ำ นี่คือยา ถ้าเกิดเป็นไข้ขึ้นมาให้นางกินสองเม็ด”
เฉิงเอ๋อร์รีบรับขวดยามา นางเงยหน้าขึ้นมองอวี้ชิงลั่วอย่างพินิจพิเคราะห์ การแสดงออกของนางนั้นงวยงงเป็นอย่างมาก
“ท่าน ท่านคือ…”
“ข้ายังมีเรื่องที่ต้องจัดการ ขอตัวก่อนไว้วันหน้าจะมาใหม่” อวี้ชิงลั่วไม่ต้องการต่อความยาวสาวความยืดให้มากมาย ถึงอย่างไรเรื่องไหนที่ควรพูดหรือไม่ควรพูด รอให้ไท่จื่อเฟยได้สติขึ้นมา นางก็จะรู้เอง
หลังอธิบายข้อควรระวังบางอย่างให้กับนางแล้ว อวี้ชิงลั่วก็ส่งสายตาให้ซิวเย่ตู๋
เย่ซิวตู๋ขมวดคิ้ว จู่ ๆ ก็มีความเข้าใจผิดว่าตนเองนั้นเป็นลูกหาบ การเข้าตำหนักขององค์รัชทายาทในวันนี้ จริง ๆ แล้วไม่ได้เกี่ยวข้องกับเขาเลย
มือขวาของเขาโอบเอวของอวี้ชิงลั่วอีกครั้ง เย่ซิวตู๋สูดลมหายใจอย่างรวดเร็ว และทั้งสองก็หายตัวไปจากด้านหน้าของเฉิงเอ๋อร์ในทันที
เถิงเอ๋อร์กำขวดยาไว้แน่น หญิงสาวเงยหน้าขึ้นมาแล้วเดินไปข้างหน้าไม่กี่ก้าว แววตกใจและประหลาดใจยังไม่ได้หายไปจากดวงตา ริมฝีปากเผยอเล็กน้อยก่อนรำพึงกับตนเอง “ท้ายที่สุดแล้วพวกเขาคือใคร? เหตุใดจึง…ช่วยไท่จื่อเฟย?”
เฉิงเอ๋อร์คิดไม่ออก เพียงรู้สึกว่าครั้งนี้ไท่จื่อเฟยพบเข้ากับบุคคลสูงศักดิ์ ตอนนี้ก็อดไม่ไหวที่จะยิ้มขึ้นมา และรีบวิ่งไปที่เรือนจิ่นซิ่ว
จนกระทั่งเห็นว่าร่างกายของไท่จื่อเฟยถูกพันไปด้วยผ้าและทายาเอาไว้ เฉิงเอ๋อร์ก็อดไม่ได้ที่จะคุกเข่าลงบนพื้นขอบคุณต่อสวรรค์
ในที่สุดวันดี ๆ ของไท่จื่อเฟยก็มาถึง ตอนนี้จ้าวผิงตายแล้ว ไม่มีผู้ใดสามารถทำร้ายไท่จื่อเฟยได้แล้ว
“ท่านคิดว่าบนจดหมายนั้นมีเนื้อความว่าอย่างไร?” อวี้ชิงลั่วเอ่ยถามขึ้นขณะกระโดดลงจากกำแพงทางด้านหลังตำหนักรัชทายาท
เย่ซิวตู๋กระโดดลงจากกำแพงและคว้าแขนหญิงสาวไว้ เมื่อทั้งสองขึ้นรถม้า เขาก็ดึงหมอนออกมาอย่างเกียจคร้านแล้วเอนกายลงไป และเอ่ยขึ้นเบา ๆ “ชั่วชีวิตขององค์รัชทายาท สิ่งที่เขาไม่ชอบที่สุดคือการได้ยินคนอื่นบอกว่าตนเองโง่เขลา เนื้อความส่วนใหญ่ในจดหมายเขียนไว้ว่าจ้าวผิงสนิทสนมกับเจ้านายท่านหนึ่งที่ตั้งใจมาล่อลวงองค์รัชทายาทเป็นพิเศษ และคอยเป่าหูยุยงให้องค์รัชทายาททำแต่เรื่องโง่เขลา เพื่อที่จะให้เจ้านายท่านนั้นขุดหลุมเตรียมฝังองค์รัชทายาท และคาดว่าข้างหลังยังเขียนว่าเขานั้นหลงใหลในความงามของนาง ไม่นานก็จะฆ่าตัวตาย จ้าวผิงเองก็จะทำหน้าที่สำเร็จและจะได้เดินออกมา”
“หึ” อวี้ชิงลั่วแค่นเสียง “ท่านทายได้ถูกต้อง”
เห็นได้ชัดว่าหญิงสาวนั้นไม่ได้อ่านจนหมายฉบับนั้น เหตุใดจึงรู้ว่าเนื้อหาในนั้นเขียนว่าอะไร? หรือว่านางค่อย ๆ เอียงศีรษะอ่านเนื้อหาทีละน้อย แต่ระยะทางนั้นไกลอย่างมาก ต่อให้สายตาจะดีแค่ไหนก็ไม่สามารถอ่านจดหมายฉบับนั้นได้
แต่เย่ซิวตู๋ที่ไม่ได้ก้มหน้าไปมองสักนิดกลับคาดไม่ถึงว่าจะสามารถวิเคราะห์และทายได้ถูกต้อง
บุรุษผู้นี้…เหตุใดนางรู้สึกว่านับวันนั้นชายหนุ่มยิ่งลึกซึ้งขึ้นเรื่อย ๆ กันนะ
เย่ซิวตู๋ไม่ได้เอ่ยอะไร และก็ไม่ได้บอกกับนางว่าจริง ๆ แล้วจ้าวผิงผู้นั้นคือคนที่ผู้อื่นส่งมา จุดประสงค์คือการทำลายองค์รัชทายาท และคนผู้นั้น…ก็คือเหมิงกุ้ยเฟย
“แต่ว่าองค์รัชทายาทผู้นี้จริง ๆ แล้วก็ไม่ใช่คนดี” อวี้ชิงลั่วนึกถึงบาดแผลบนตัวของไท่จื่อเฟยแล้วก็รู้สึกโกรธแค้นเป็นอย่างมาก
เย่ซิวตู๋ที่เดิมทีจะไปหยิบแก้วก็หยุดลง ชายหนุ่มทำเหมือนไม่มีสิ่งใดเกินขึ้น และพยักหน้าเห็นด้วย “แท้จริงแล้วคนประเภทเขานั้นเป็นข้อยกเว้น”
อวี้ชิงลั่วขมวดคิ้ว แล้วเอ่ยขึ้นเบา ๆ “เอาหมอนมาให้ข้า”
เย่ซิวตู๋ลอบกัดฟันด้วยความรังเกียจองค์รัชทายาทถึงขีดสุดตรงที่ตัวเขายังต้องมีความเกี่ยวข้องกับอีกฝ่ายอยู่ ดูจากทัศนคติของสตรีผู้นี้แล้ว ก็ทราบได้ว่านางสามารถพลิกเรือทั้งลำได้ด้วยถ่ออันเดียว
อวี้ชิงลั่วตบหมอนแล้วหลับตาลงเพื่อพักผ่อน
เพียงแค่หลับตาลงไปได้ไม่นาน จู่ ๆ ก็ดูเหมือนว่าเขาจะคิดอะไรขึ้นได้บางอย่าง หญิงสาวจึงขมวดคิ้วขึ้น “ข้ายังต้องไปจวนตระกูลอวี๋ เหตุใดโม่เสียนจึงยังไม่กลับมา?”
ไปจวนตระกูลอวี๋ ใบหน้าของเย่ซิวตู๋ดูไม่ได้ขึ้นมาทันที ชายหนุ่มรู้สึกรำคาญกับขยะที่ไร้ประโยชน์อวี๋จั้วหลินมากที่สุด
“ท้องฟ้าเริ่มมืดค่ำแล้ว วันนี้ยังไม่ต้องไปจะดีกว่า”
“ไม่ได้ เยว่ซินยังอยู่ที่จวนตระกูลอวี๋ จะว่าไปแล้วเรื่องที่เกิดกับอวี๋จั้วหลินก็เป็นเพราะข้าเขาจึงบาดเจ็บ ดังนั้นเรื่องผิวเผินยังคงจำเป็นต้องทำอยู่”
เย่ซิวตู๋พึมพำ “ถึงบาดเจ็บก็แค่ตรงผิวหนัง มีอะไรที่ต้องไปดู เรื่องของเยว่ซิน ข้าจะให้โม่เสียนไปรับนางกลับมา…”
“นายท่าน” พึ่งจะเอ่ยพูด จู่ ๆ ก็มีเสียงของโม่เสียนดังขึ้นมาจากด้านนอก
…………………………
สารจากผู้แปล
ไม่ใช่ว่าท่านอ๋องเคยอ่านผ่าน ๆ ตามาก่อนนะคะ หูตารอบตัวขนาดนั้นน่าจะต้องทราบเรื่องอะ