อลวนรักหมอหญิงชิงลั่ว - ตอนที่ 232 เขาเป็นคนบ้า
ตอนที่ 232 เขาเป็นคนบ้า
ตอนที่ 232 เขาเป็นคนบ้า
“อึก…” เย่ฮ่าวหรานยกมือกุมหน้าอกพร้อมด้วยสีที่หน้าบิดเบี้ยว เจ็บจนเปล่งเสียงอู้อี้ออกมา ถึงกับหายใจไม่ออกไปชั่วขณะหนึ่ง
เย่หลานเฉิงรีบลุกออกจากตัวของเย่ฮ่าวหราน เอ่ยถามด้วยน้ำเสียงแฝงความรู้สึกผิด “ท่านอาแปดไม่เป็นอะไรใช่หรือไม่”
เย่ฮ่าวหรานขบฟันพลางส่ายหน้า จากนั้นจึงก้มหน้ามองหนานหนานที่ยังคงซบอยู่บนตัวไม่ยอมลุกขึ้น ท่าทางของอีกฝ่ายทำให้เขาแทบจะกระอักเลือดออกมา
“เกิดอะไรขึ้น?” เขากัดฟันแน่น ก่อนจะตะโกนถามคนขับรถม้าที่อยู่ด้านนอก
ท่าทางของคนขับรถม้าก็ดูเหมือนจะตื่นตระหนกเช่นกัน ครั้นได้ยินเย่ฮ่าวหรานถามจึงรีบตอบว่า “ท่านอ๋อง จู่ ๆ ด้านนอกก็มีเด็กเล็กวิ่งออกมา เกือบจะชนรถม้าของพวกเราขอรับ”
เย่ฮ่าวหรานลูบหน้าอกตนเองแรง ๆ จนกระทั่งรู้สึกดีขึ้นเล็กน้อยและหายใจได้สะดวกขึ้น จึงใช้แรงดันหนานหนานให้ลุกขึ้นจากอ้อมกอดและย้ายไปนั่งข้าง ๆ ให้เรียบร้อย ก่อนเอ่ยถามว่า “เป็นอะไรหรือไม่?”
“อ๋อ ไม่เป็นอะไรขอรับ เด็กคนนั้นลุกขึ้นมาและวิ่งไปแล้ว” คนขับรถม้าถอนหายใจอย่างโล่งอก ก่อนจะกระตุกบังเหียนม้าอีกครั้ง จู่ ๆ เขาก็พูดเสริมขึ้นมาอีกประโยคว่า “ด้านหลังของเด็กคนนั้นดูเหมือนมีคนกำลังไล่ตามเขาด้วย ดูรีบร้อนมากขอรับ”
ไล่ตาม?
หนานหนานดวงตาเป็นประกาย แหวกม่านรถมองออกไปด้านนอกในทันที
ศีรษะของเขาหมุนไปรอบ ๆ และเขาก็เห็นเด็กผู้ชายสภาพสกปรกมอมแมมยังคงวิ่งไปด้านหน้าอย่างไม่หยุด นอกจากนี้ยังมีผู้ชายที่ดูเหมือนจะเป็นคนรับใช้ของตระกูลใหญ่วิ่งตามอยู่ด้านหลังเขาอีกสี่ถึงห้าคนด้วย
“ท่านอาแปด เด็กคนนั้นน่าสงสารมากเลย พวกเราช่วยเหลือเขาเถอะ”
เย่ฮ่าวหรานเหลือบมองหนานหนานปราดหนึ่ง ต่อให้เขาจะเป็นคนชอบดูเรื่องสนุก แต่เมื่อเทียบกับหนานหนานแล้ว เห็นได้ชัดว่าตนเองวางตัวนิ่งสงบกว่ามาก ช่วงเวลาหัวเลี้ยวหัวต่อเช่นนี้ เขาไม่มีทางไปช่วยเหลือใครเป็นอันขาด มิเช่นนั้นหากพลาดโอกาสที่จะได้กลับวัง เช่นนั้นเสด็จพ่อก็คง…
ให้ตายเถอะ เขายังนึกคำพูดปฏิเสธไม่ได้ เจ้าเด็กนี่กลับกระโดดลงไปแล้ว
“หนานหนาน อย่าไปยุ่งเรื่องของคนอื่น”
หนานหนานไม่สนใจเขา รีบสาวเท้าไปด้านหน้าอย่างรวดเร็ว
เย่ฮ่าวหรานมองการสาวเท้าของหนานหนานด้วยความตกตะลึง เจ้าเด็กคนนี้แอบซ่อนความสามารถไว้จริง ๆ การก้าวเท้าแบบนี้ใครเป็นคนสอนเขา? อายุของเขายังน้อยแต่กลับเคลื่อนไหวได้อย่างชำนาญเช่นนี้
“ท่านอาแปด หนานหนานไปขวางด้านหน้าคนพวกนั้นแล้ว” เย่หลานเฉิงรีบแหวกม่านรถ จึงพบว่าหนานหนานกำลังทำท่าทางเป็นผู้มีความชอบทำและไม่เกรงกลัวต่อความตาย จึงรีบเตือนเย่ฮ่าวหรานที่กำลังจมดิ่งอยู่ท่ามกลางความตกตะลึง
เย่ฮ่าวหรานชะงัก สบถด่าเสียงทุ้มต่ำหนึ่งเสียง ก่อนจะกระโดดลงจากรถโดยไม่พูดพร่ำทำเพลง
เด็กผู้ชายคนนั้นหยุดลงแล้ว ถ้าจะพูดให้ถูกก็คือล้มลงบนพื้นจนวิ่งไม่ไหวแล้ว คนรับใช้ของตระกูลที่วิ่งไล่ตามเขาเห็นสถานการณ์เช่นนี้ จึงคิดว่าคงจับตัวได้แล้ว ด้วยเหตุนี้การเคลื่อนไหวจึงช้าลงไปด้วย
ใครจะไปคิด หนานหนานใช้โอกาสนี้บุกเข้าไป ก่อนจะขวางตรงหน้าเด็กคนนั้น
คนรับใช้ตระกูลใหญ่เหล่านั้นหันสบตากัน ก่อนจะหันมามองหนานหนานด้วยความโกรธ “เด็กจากที่ไหนกัน? รีบไปซะ ไม่ใช่เรื่องของเจ้า”
“ไม่ได้ พวกเจ้ามีคนเยอะแยะขนาดนั้นแต่กลับรังแกคนเพียงคนเดียว ทั้งยังเป็นผู้ใหญ่ที่รังแกเด็กด้วย ไร้ยางอายสิ้นดี” หนานหนานพูด ส่วนมือเล็ก ๆ ก็กางออกเพื่อขวางไว้ตรงหน้าเด็กคนนั้น พลังบนร่างกายของเขาก็เพิ่มมากขึ้นไม่น้อยเช่นกัน
เย่ฮ่าวหรานถึงกับกุมขมับ ครุ่นคิดด้วยความประหลาดใจ พี่ห้าและอวี้ชิงลั่วต่างก็มีนิสัยเย็นชาไม่สนใจเรื่องของคนอื่น เหตุใดเมื่อกลายมาเป็นหนานหนาน กลับแตกต่างกันมากถึงเพียงนี้?
เด็กคนนี้ดูเหมือนเป็นผู้ส่งสารแห่งความยุติธรรม ทำให้ผู้คนอดไม่ได้ที่จะเคารพนับถือ
คนรับใช้ตระกูลใหญ่เหล่านั้นชะงักไปครู่หนึ่ง ขมวดคิ้วจ้องมองหนานหนานและเริ่มหมดความอดทนแล้ว “นี่เป็นเรื่องของพวกเรา เจ้าเป็นแค่เด็กไม่รู้เรื่องอะไรก็อย่ามาพูดจาเหลวไหล กลับบ้านไปหามารดาของเจ้าซะ อย่ามาขวางทางอยู่ที่นี่”
“ถ้าข้าไม่ไปล่ะ? ถ้าข้ายังจะยืนขวางล่ะ? แล้วถ้าข้าไม่กลับไปหาท่านแม่ล่ะ?” หนานหนานเชิดคางขึ้น ท่าทางดูหยิ่งผยองอย่างมาก
คนรับใช้ตระกูลใหญ่เหล่านั้นถึงกับชะงักเพราะคำพูดของหนานหนาน ความอายเปลี่ยนเป็นความโกรธขึ้นมาทันใด “ข้าเตือนเจ้าแล้ว อย่าทำตัวเป็นสุราคารวะไม่ชอบ ชอบสุราจับกรอก หากยังไม่หลีกออกไป พวกเราก็จะไม่เกรงใจเจ้าแล้ว”
“ไม่เกรงใจ?” หนานหนานแค่นเสียงยิ้มเยาะ ทันใดนั้นสีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไป ตะโกนเสียงดังด้วยท่าทางน่าสงสาร “ท่านอ๋องแปด พวกเขาบอกว่าจะไม่เกรงใจข้าแล้ว พวกเขาพูดว่าจะไม่เกรงใจข้าต่อหน้าท่าน นี่ไม่ต่างอะไรกับการไม่ไว้หน้าท่านเลย รีบมาอัดพวกเขาเร็ว”
ท่านอ๋องแปด? คนรับใช้ตระกูลใหญ่เหล่านั้นถึงร่างกายแข็งทื่อทันใด ก่อนจะหันหน้ากลับไปมองตามสายตาของหนานหนาน จึงพบว่ามีชายหนุ่มกำลังยืนอย่างสง่าผ่าเผย ทั้งยังมีรอยยิ้มประดับอยู่ที่มุมปากจริง ๆ
หนึ่งในนั้นจำได้ในทันทีว่าเขาคือท่านอ๋องผู้สง่างามที่มักจะปรากฏตัวภายในตลาดอยู่บ่อย ๆ พวกเขาถึงตกตะลึงขึ้นทันใด รีบคุกเข่าลงบนพื้นด้วยเนื้อตัวสั่นเทา “ท่านอ๋อง ข้าน้อยคารวะท่านอ๋องแปด ข้าน้อยไม่ทราบว่าท่านอ๋องแปดอยู่ที่นี่ ข้าน้อยมีตาแต่หามีแววไม่ โปรดท่านอ๋องแปดให้อภัยข้าน้อยด้วย”
คนอื่น ๆ ได้ยินเช่นนี้ ก็รีบคุกเข่าลงบนพื้น คารวะอย่างนอบน้อม แม้แต่หน้าก็ไม่กล้าเงยขึ้นมา
เย่ฮ่าวหรานมุมปากกระตุกวูบ หันไปถลึงตาใส่หนานหนานที่ยังคงกระหยิ่มยิ้มย่อง ก่อนจะเก็บสีหน้า หลุบตามองคนเหล่านั้นด้วยท่าทางเคร่งขรึม แค่นเสียงเย็นกล่าวว่า “พวกเจ้าช่างกล้าหาญนัก พุ่งตัวเข้ามาชนรถม้าของเราไม่พอ ยังกล้าทำตัวไร้เหตุผลต่อหน้าเราด้วยการข่มขู่เด็กคนหนึ่ง ไม่เห็นเราอยู่ในสายตาจริง ๆ สินะ”
“เปล่าขอรับ ท่านอ๋องอย่าได้โกรธเคือง ท่านอ๋องแปดเข้าใจข้าน้อยผิดแล้ว ข้าน้อยจะกล้าไม่เห็นท่านอ๋องอยู่ในสายตาได้อย่างไรกัน? เพียงแต่ข้าน้อยไม่ได้ดูให้ชัดเจน จึงไม่รู้ว่ารถม้าคันเมื่อครู่มีท่านอ๋องแปดนั่งอยู่ สิ่งนี้ถือเป็นความผิด หวังว่าท่านอ๋องแปดจะไม่ถือสาข้าน้อย ให้อภัยข้าน้อยด้วยขอรับ”
คนรับใช้ตระกูลใหญ่เหล่านั้นต่างเนื้อตัวสั่นเทาด้วยความกลัว พวกเขาต่างก็กล้าหาญกับคนอ่อนแอและหวั่นเกรงต่อคนที่แข็งแกร่ง
หนานหนานที่ยืนมองอยู่ข้าง ๆ ยกมุมปากขึ้น คนเหล่านี้ไม่ได้มีความหยิ่งในศักดิ์ศรีเอาเสียเลย ต่อหน้าเขาเอาแต่ตะโกนจะทุบตีจะฆ่าแกง แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าท่านลุงแปดกลับประจบประแจง เหอะ ไม่ได้การล่ะ กลับไปเขาต้องให้เสด็จปู่อวยยศให้เป็นท่านอ๋องบ้างแล้ว ดูสิว่ายังจะมีใครกล้าไม่เห็นเขาอยู่ในสายตาอีก
ครั้นนึกถึงจุดนี้ หนานหนานก็รู้สึกได้ว่าระดับของตนเองถูกยกขึ้นสูงอีกหลายขั้น น้ำเสียงที่ที่พูดกับคนรับใช้ของตระกูลใหญ่ก็สูงขึ้นด้วยเช่นกัน “ขอแค่หลังจากนี้พวกเจ้าไม่รังแกคนที่อ่อนแอกว่า ข้าก็จะมีเมตตาปล่อยพวกเจ้าไป เอาล่ะ พวกเจ้ารีบไปซะ อย่าได้รังแกเด็กคนนี้อีก”
กล้ามเนื้อบนใบหน้าเย่ฮ่าวหรานกระตุกเบา ๆ ไม่ได้การล่ะ กลับไปเขาต้องบอกพี่ห้า เจ้าเด็กคนนี้ไร้ยางอายเกินไปแล้ว จะปล่อยหรือไม่ปล่อยก็ควรเป็นท่านอ๋องอย่างเขาที่เป็นคนตัดสินมิใช่หรือ? เด็กคนนี้ยังจะแอบอ้างบารมีของผู้อื่นเพื่อข่มขวัญคนอื่นอีก?
เขาแค่นเสียงเบา ๆ ก่อนจะหันมองหนานหนานปราดหนึ่ง ทว่าก็ยังต้องไว้หน้าหนานหนานสักครั้ง จึงพูดตามน้ำไปว่า “พวกเจ้ากลับไปซะ”
คนรับใช้ของตระกูลใหญ่เหล่านั้นหันมองหน้ากัน แม้ว่าท่านอ๋องแปดจะไม่ตำหนิพวกเขา แต่พวกเขาก็ยังไปไม่ได้ หัวหน้าคนรับใช้ตระกูลใหญ่ยิ้มแห้ง ๆ ก่อนจะก้าวเท้ามาด้านหน้าหนึ่งก้าว ชี้ไปยังเด็กที่นั่งอยู่ด้านหลังหนานหนาน กล่าวว่า “คือว่า ท่านอ๋องแปด ข้าน้อยไม่ได้รังแกเด็กคนนั้นนะขอรับ เขาเป็นคุณชายน้อยในจวนของข้าน้อย เขาสติไม่ดีมาตั้งแต่เมื่อหลายปีก่อน ตอนนี้จึงวิ่งป้วนเปี้ยนไปทั่ว หากข้าน้อยไม่พาตัวเขากลับไป ข้าอาจทำร้ายผู้อื่นได้”
สติไม่ดี? หนานหนานหันกลับไปมองเด็กคนนั้น
เด็กคนนั้นกลับรีบเงยหน้าขึ้น ตะโกนอย่างโกรธเคือง “ข้าไม่ได้บ้า ไม่ได้บ้านะ”
เย่ฮ่าวหรานหันไปมองเขาทันที เด็กคนนี้…เด็กคนนี้คืออวี้เป่าเอ๋อร์น้องชายของอวี้ชิงลั่วมิใช่หรือ?
…………………………
สารจากผู้แปล
จบเรื่องจากตำหนักรัชทายาทมาเจอเรื่องของตระกูลอวี้ต่อ งานนี้ยังอีกยาวไกลเลยท่านอ๋องแปด
ไหหม่า(海馬)