อลวนรักหมอหญิงชิงลั่ว - ตอนที่ 249 เอาหนานหนานไปประหาร
ตอนที่ 249 เอาหนานหนานไปประหาร
ตอนที่ 249 เอาหนานหนานไปประหาร
เย่ซิวตู๋ขมวดคิ้ว และเกิดลางสังหรณ์ไม่ดีขึ้นภายในใจ
เป็นไปตามที่ชายหนุ่มคาดเอาไว้ หลังจากที่สิ้นเสียงดังนั้นลงก็ตามมาด้วยเสียงบ่นพึมพำ “เสี่ยวเฉิงเฉิง ขาของข้าชาแล้ว มันชาไปหมดแล้วนะ”
คนทั้งหมดในห้องตำราหลวงต่างก็จ้องมองกัน พลันนั้นสายตาแต่ละคนก็จับจ้องใต้ผ้าคลุมโต๊ะ และเริ่มรอคอยอย่างจริงจัง
ฮ่องเต้ได้เฝ้าระวัง เตรียมที่จะให้เหมียวเชียนชิวเรียกองครักษ์เข้ามา แต่เมื่อได้ยินคำพูดนั้นเขาก็ขมวดคิ้วขึ้นมา และรู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น
หลังจากเสียงบ่นพึมพำผ่านไปได้ครู่หนึ่ง เหมียวกงกงก็ได้ยกผ้าปูโต๊ะขึ้นมา
หนานหนานเงยหน้าขึ้น เด็กน้อยยื่นมือออกมาและอยากที่จะฉุดดึงเอาไว้ “เหมียวกงกง เจ้าแสร้งไม่ได้พบพวกเรา พวกท่านพูดต่อเลย”
“ออกมา” ฮ่องเต้เอ่ยน้ำเสียงเย็นชา เวลานั้นเขาปวดหัวเป็นอย่างมาก ซิวเอ๋อร์ก็เช่นกัน และดูเหมือนว่าหนานหนานเองก็จะปวดหัวด้วยเช่นกัน สองพ่อลูกคู่นี้จะอยู่อย่างสงบบ้างไม่ได้เลยหรือ?
หนานหนานหน้าบูดบึ้งด้วยความรู้สึกไม่ค่อยพอใจ แต่กลับถูกเย่หลานเฉิงที่ถูกบังคับให้หลบอยู่ใต้โต๊ะทรงอักษรลากตัวออกมา เด็กน้อยไม่กล้าที่จะชะล่าใจแม้แต่น้อยจึงรีบดึงหนานหนานออกมา
แต่ขาของหนานหนานนั้นชาไปแล้ว เมื่อถูกเด็กน้อยดึงตัว ลงไปโดยตรง ร่างที่ผอมบาง ไร้เรี่ยวแรง ไร้ซึ่งการตั้งตัวจะสามารถประคองหนานหนานได้อย่างไร?
เพียงแต่ผ่านไปไม่นาน ทุก ๆ สายตาก็จับจ้องเข้ามา ก็พบเข้ากับเด็กน้อยสองคนกลิ้งออกมาจากใต้โต๊ะ หลังจากกลิ้งไปได้สองสามเมตรก็จึงได้หยุดลง
“ไอ้หยา!” หนานหนานรู้สึกเหมือนถูกทับจนหายใจไม่ออก มือเล็ก ๆ ใช้แรงลูบขาทั้งสองข้าง รู้สึกว่าอาการชาของเขาได้หายไปแล้ว หนานหนานจึงจัดผมเล็กน้อย ก่อนที่จะแกล้งทำเป็นลุกขึ้นอย่างสง่าผ่าเผย
“กล้ามาก คาดไม่ถึงเลยว่าพวกเข้าทั้งสองคนจะมาแอบฟังและหลบอยู่ใต้โต๊ะทรงอักษร ไม่อยากจะมีชีวิตกันแล้วหรือ?” องค์ชายสามเอ่ยอย่างตรงไปตรงมาเป็นคนแรก เขารุดไปข้างหน้า ขมวดคิ้วจ้องมองเด็กน้อยทั้งสองคน
“หลานเฉิง?” องค์รัชทายาทมองไปยังเย่หลานเฉิงที่คุกเข่าลงไปบนพื้นด้วยความประหลาดใจ และถอนหายใจออกมาอย่างน่าหวาดกลัว
คาดไม่ถึงว่าลูกชายของเขาจะองอาจได้ถึงเพียงนี้ กล้าที่จะมาเล่นที่นี่ คงจะอยากที่จะไม่มีชีวิตต่อไปแล้วจริง ๆ
องค์ชายท่านอื่นจึงมองออกว่าท้ายที่สุดแล้วเด็กทั้งสองคนนี้เป็นใคร
หนึ่งในนั้นก็คือเย่หลานเฉิง เด็กชายผู้ที่ถูกทอดทิ้งเอาไว้ในเรือนภายในตำหนักองค์รัชทายาทเป็นเวลาสองปี และช่วงนี้จะได้รับการสนใจเป็นพิเศษหรือไม่? สำหรับคนที่เหลือ องค์ชายสามและคนอื่น ๆ กัดฟันขึ้น เด็กน้อยผู้นี้เป็นผู้ที่ทำร้ายพวกของเย่หลานเวยจนจมูกและใบหน้าของเขาฟกช้ำไปหมด และพวกเขาเองก็ยังไม่ได้คิดบัญชีกับเจ้าเด็กคนนี้เลย
แบบนี้ก็ดีเลย ยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัว คอยดูกันว่าพวกเขาจะเอาตัวรอดกันเช่นไร
เย่ฮ่าวหรานหันไปมองเย่ซิวตู๋อย่างเงียบงัน ครั้นเห็นว่าสีหน้าของชายหนุ่มนั้นยังไม่เปลี่ยนแปลง และเวลานี้ฮ่องเต้เองก็ยังคงดื่มชาอยู่บนเก้าอี้เช่นเดิม เขาเองก็อดที่จะถอนหายใจเงียบ ๆ ไม่ได้
พี่ห้านั้นไม่ห่างหนานหนานเลยจริง ๆ
ฮ่องเต้ก็มองมายังเย่ซิวตู๋ เมื่อเห็นว่าเขาไม่แสดงอารมณ์ใด ก็คิดถึงเหตุการณ์เมื่อสักครู่ที่เขาไม่แยแสต่อคำเตือนของตนเลย จึงรู้สึกคับแค้นขึ้นมา ฮ่องเต้กริ้วแววตาแฝงไปด้วยความรู้สึกเยาะเย้ย ตบโต๊ะดังปัง เอ่ยกับหนานหนานและเย่หลานเฉิงว่า “เอาแต่ใจ ไม่รู้หรือว่านี่ที่ใด ที่อยู่ ๆ จะถลันเข้ามามั่วซั่ว ผู้ส่งสาส์นนำตัวเด็กสองคนนี้ออกไปประหาร ”
ฮ่องเต้กริ้วเป็นอย่างมาก ทันใดนั้นเหล่าองค์ชายทั้งหมดในห้องตำราหลวงต่างก็คุกเข่าลงไปด้วยความหวาดกลัวไม่แม้แต่จะกล้าเงยหน้าขึ้นมา
ส่วนเย่ซิวตู๋นั้นค่อย ๆ คุกเข่าลง
ผู้คนทั้งหมดในตำหนัก มีเพียงแค่หนานหนานเท่านั้นที่ยืนอยู่กลางห้องโดยที่ไม่รับรู้อะไรเลย เด็กน้อยมองดูฮ่องเต้ที่กริ้วด้วยความงุนงง และมององครักษ์ที่เดินเข้ามาอย่างเคร่งขรึมด้วยความงงงวยเช่นกัน
องค์รัชทายาทจ้องมองเย่หลานเฉิงอย่างเงียบ ๆ แต่กลับไม่คิดจะร้องของวิงวอนใด ๆ จนกระทั่งเขาจัดการอารมณ์ของตนอย่างเงียบ ๆ ชายหนุ่มกลัวว่าเรื่องของเย่หลานเฉิงจะมาทำให้ตนลำบาก จึงปล่อยเป็นความรับผิดชอบเป็นของฮ่องเต้
องค์ชายคนอื่น ๆ ก็ยืนดูความเดือดร้อนของผู้อื่น และมองดูพวกเขาดูพวกเขาที่จะถูกจัดการต่อไป
อย่างไรก็ตาม องครักษ์ทั้งสองยังไม่ได้จับตัวหนานหนานและเย่หลานเฉิงเอาไว้ และทันใดนั้นเสียงหนึ่งที่ดังฟังชัดก็ก้องไปทั่วทั้งห้อง “ประหารข้าหรือ? เหตุใดกัน?”
“เพราะเหตุใดงั้นหรือ?” ฮ่องเต้เอ่ยขึ้นอย่างเย็นชา “ห้องตำราหลวงนั้นถ้าไม่ได้ถูกเรียกตัวก็ไม่ได้รับอนุญาตให้เข้ามา พวกเจ้าเข้ามาโดยพลการ และยังมาแอบหลบอยู่ใต้โต๊ะทำงานแอบฟังคำพูดของเราที่เอ่ยกับทุก ๆ คน จากการกระทำที่ดื้อรั้นเช่นนี้ก็สมควรที่จะถูกประหารถูกหรือไม่?”
ทันทีที่สิ้นเสียงของเขา สายตาจ้องมองไปที่เย่ซิวตู๋ เมื่อพบว่าชายหนุ่มยังมีท่าทีที่สงบเช่นเดิม และไม่คิดที่จะวิงวอนร้องขอความกรุณาแต่อย่างใด คิ้วของฮ่องเต้ก็กระตุกขึ้นมา
หนานหนานที่ได้ยินเช่นนี้ รู้สึกว่าเขากล่าวได้สมเหตุสมผล แต่ว่า…
“นี่ไม่สามารถโทษพวกเราได้ เหตุผลหลักนั้นเป็นเพราะว่าวังนั้นใหญ่โตเกินไป พวกเรานั้นแค่ออกมาเดินเล่นและหลงทางเพียงเท่านั้น หลังจากนั้นพอเดินไปเดินมาก็มาถึงห้องแห่งนี้ ข้างนอกก็ไม่มีคนคอยดู ข้าเพียงแต่คิดว่าที่แห่งนี้ก็คงจะไม่ได้ใช้งาน จึงเข้ามาพักผ่อนและหลับอยู่ใต้โต๊ะ ผู้ใดจะไปรู้ว่าจะถูกพวกท่านส่งเสียงดังจนตื่น เช่นนี้จะมาโทษข้าได้อย่างไร”
“เจ้ายังกล้าที่จะเถียงอีกหรือ” องค์ชายสามเอ่ยขึ้นอย่างโกรธเคือง และนี่ยังเป็นครั้งแรกที่มีคนกล้าที่จะเถียงกับฮ่องเต้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งยังกล่าวด้วยเหตุผล
ฮ่องเต้ถอนหายใจด้วยความเย็นชา ในทุก ๆ ครั้งที่ฟังเด็กน้อยผู้นี้อ้างเหตุผลร้อยแปด พระองค์ก็รู้สึกว่ามันน่าขบขันเป็นอย่างมาก หลังจากนั้นไม่นาน โทสะของเขาก็ได้ลดลงไปแล้วไม่น้อย
แต่ว่า เมื่อหันไปมองเย่ซิวตู๋ที่มีท่าทางไม่สะทกสะท้านอะไร หัวใจของฮ่องเต้ก็รู้สึกอึดอัดขึ้นมา จึงหันกลับมามองอีกครั้ง และเอ่ยเยาะเย้ย “เมื่อเอ่ยเช่นนี้แล้ว เจ้าจะบอกว่านี่เป็นความผิดของเรา ข้ารับใช้ของเราหรือ?”
“ถูกต้องแล้ว” ท่านแม่เคยบอกเอาไว้ว่า กฎหมายนั้นไม่ได้มีไว้จัดการกับประชาชน ฮ่องเต้คงจะไม่ต้องการที่จะทำลายคนมากมายเช่นนั้น
“ดี เมื่อข้ารับใช้เหล่านั้นประมาทเลินเล่อ เราก็ไม่จำเป็นที่จะต้องเก็บพวกเขาเอาไว้ ผู้ส่งสาส์นนำองครักษ์ห้องตำราหลวงที่ทำหน้าที่ในวันนี้ รวมไปถึงข้ารับใช้และขันทีของหลานเฉิง ทั้งหมดนำตัวไปประหาร”
“…” หนานหนานถลึงตาโต ท่าทางเช่นนั้นของเด็กน้อยช่างน่ารักเสียจริง
ฮ่องเต้เกือบที่จะทนไม่ได้ แต่ก็ใช้แรงฝืนเอาไว้เพื่อไม่ให้เด็กน้อยดูออก
“ฝ่าบาทไม่ประหารพวกเขาจะได้หรือไม่? เมื่อครู่พวกเขาพึ่งจะเอ่ยว่าท่านมีเมตตา ฮ่องเต้ที่มีเมตตาไม่สามารถสังหารคนอย่างอำเภอใจ”
ฮ่องเต้ขมวดคิ้ว “อืม…ที่เจ้าเอ่ยมานั้นก็นับว่าถูกต้อง ถ้าเป็นเช่นนี้ ก็ต้องประหารพวกเจ้าทั้งสองที่เป็นผู้ก่อเรื่องงั้นสิ”
ใบหน้าเล็ก ๆ ของหนานหนานถอดสีขึ้นมาทันที จะทำเช่นไรดี หรือว่าจะลงมือกับเขาเลย? เป็นไปได้ไหมว่าช่วงนี้ฝ่าบาทจะสมบูรณ์ขึ้น ดังนั้นจึงต้องการที่จะประหารเด็กน้อยมาเพื่อรับประทาน?
องค์รัชทายาทและคนอื่น ๆ มองหน้ากัน เหตุใดเมื่อฟังน้ำเสียงของฮ่องเต้แล้ว กลับเหมือนเป็นเพียงแค่ทำให้เด็กทั้งสองนั้นหวาดกลัว พระองค์ไม่ได้ต้องการที่จะตัดหัวพวกเขาจริง ๆ
ไม่อย่างนั้นแล้ว เหตุใดในช่วงเวลาเช่นนี้จึงไม่ลงมือพาทั้งสองคนออกมา?
หนานหนานกัดริมฝีปาก เด็กน้อยออกแรงใช้นิ้วเคาะศีรษะของตนเอง ครุ่นคิดว่าจะทำเช่นไรดีเพื่อที่ตนนั้นจะสามารถเอาตัวรอดได้ จนกระทั่งหัวเปลี่ยนสีเป็นสีแดง เด็กน้อยก็คิดอะไรไม่ออก
ฮ่องเต้ไม่ได้มีความอดทนมากขนาดนั้น จึงไม่รอให้พวกเขาคิดหนทางดีอะไรดี ๆ ออก เมื่อมองไปยังเย่ซิวตู๋ เอ่ยขึ้นอย่างเย็นชา “ยังไม่เอาพวกเขาออกไปอีก?”
“ช้าก่อน”
……………………………………………………………………………………………………………………
สารจากผู้แปล
เจ้าเด็กหนานหนานเคยหวาดกลัวสิ่งใดบางเนี่ย
ไหหม่า(海馬)