อลวนรักหมอหญิงชิงลั่ว - ตอนที่ 271 ทารุณกรรมข้า
ตอนที่ 271 ทารุณกรรมข้า
โม่เสียนและเสิ่นอิงไม่อยากเชื่อในสิ่งที่เห็นตรงหน้า ทั้ง ๆ ที่เป็นแค่เด็กอายุห้าขวบ ทั้ง ๆ ที่เด็กน้อยก็ยังไม่ทันได้มองนายท่านแสดงเพลงกระบี่อย่างชัดเจน ทั้ง ๆ ที่นายท่านก็โจมตีอย่างรวดเร็วโดยไม่หยุดชะงักแม้แต่น้อย แต่หนานหนานกลับทำได้
เย่ซิวตู๋ที่ต่อให้มีแผนอยู่ในใจ ทว่าบัดนี้ดวงตากลับเป็นประกายจาง ๆ ด้วยความตกตะลึงอย่างเลี่ยงมิได้
คนคนนั้นพูดไว้ไม่ผิดจริง ๆ หนานหนานเป็นผู้มีพรสวรรค์ด้านวรยุทธ์ที่หาได้ยาก เขาเพียงแค่ขี้เกียจ มิเช่นนั้นอายุเท่านี้คงกลายเป็นบุคคลมีชื่อเสียงในใต้หล้าไปแล้ว ไม่แปลกใจเลยที่เขาจะใช้ทักษะทางเท้าที่ลึกซึ้งยากเกินกว่าจะเข้าใจของตระกูลลู่ได้อย่างอิสระเช่นนี้ ไม่แปลกใจเลยที่อวี้ชิงลั่วให้เขาเข้าร่วมการต่อสู้ด้วยท่าทางเบาใจขนาดนั้น มีความเข้าใจขั้นสูงขนาดนี้ ทั้งยังเข้าใจการป้องกันตัวเองที่ชาญฉลาดเช่นนี้ เด็กอายุสิบกว่าปีที่ไหนจะเป็นคู่ต่อสู้ของเขาได้?
เย่ซิวตู๋แอบรู้สึกภาคภูมิใจอยู่ภายในใจที่ยากเกินกว่าจะบรรยายออกมาเป็นคำพูดได้ นี่คือบุตรชายของเขา บุตรชายที่อวี้ชิงลั่วคลอดออกมาให้เขา
ดีมาก…ดีมากเลย
สายตาของเย่ซิวตู๋นิ่งสงบลงไม่น้อย มุมปากยกขึ้นเป็นเส้นโค้งทำให้คนอื่น ๆ รับรู้ได้ว่าเขาอารมณ์ดีมาก
เมื่อเห็นหนานหนานจับหน้าอกตนเองกำลังเดินเข้ามาด้วยท่าทางระแวดระวัง เย่ซิวตู๋จึงส่งเสียงไอกระแอมเบา ๆ และกลับสู่ท่าทางเคร่งขรึมในทันที
“ท่านพ่อ ทำไมพวกเขาถึงได้มองข้าเช่นนี้?”
เย่ซิวตู๋เลิกคิ้ว “เจ้าคิดว่าพวกเขาคิดจะทำอะไรล่ะ?”
“ข้าไม่รู้หรอก แต่ครั้งก่อนตอนที่ข้าไปเรียนกระบวนท่าฝ่าเท้า ท่านลุงลู่กับตระกูลลู่ทั้งเด็กและผู้ใหญ่เหล่านั้นต่างมองข้าด้วยสายตาเช่นนี้ แต่ภายหลังพวกเขาก็รวมตัวกันไล่ตีข้า บอกว่าข้าไม่ใช่มนุษย์ ฮือ…ทั้ง ๆ ที่ข้าก็เป็นลูกชายของท่านพ่อกับท่านแม่ ข้าไม่ใช่มนุษย์ตรงไหน? โชคดีที่กระบวนท่าฝ่าเท้าของข้ายอดเยี่ยม พวกเขาจึงวิ่งสู้ข้ามิได้” หนานหนานพูดถึงเรื่องนี้ ก็แอบเกิดความภาคภูมิใจขึ้นมา
เย่ซิวตู๋ขยับมุมปาก “เช่นนั้นก็อย่าไปสนใจพวกเขา พวกเขาไม่กล้าเข้ามาทำอะไรเจ้าหรอก กระบวนเพลงกระบี่เมื่อครู่รู้สึกเช่นไรบ้าง?”
“ช่วงสุดท้ายดูเหมือนจะแปลก ๆ ไปหน่อย” หนานหนานเหวี่ยงแขน กิ่งไม้ที่หักครึ่งท่อนนั้นพลันเกิดเสียงหวีดหวิวไปตามแรงลม “ท่านพ่อ เพราะอะไรหรือ?”
เป็นเพราะช่วงสุดท้ายเมื่อครู่นี้ ใบไม้ได้เข้าไปในปากของหนานหนานพอดี เขาจึงก้มหน้าพ่นน้ำลาย ย่อมไม่เห็นเพลงกระบี่ชุดสุดท้ายที่มีความงดงามที่สุด
ทว่า เรื่องเหล่านี้เย่ซิวตู๋ไม่มีทางบอกเขา
แม้หนานหนานจะเก่งกาจ แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องฝึกฝนซ้ำ ๆ ให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น หากมิอาจเข้าใจได้ด้วยตนเอง เช่นนั้นประโยชน์คงมีไม่มาก
เย่ซิวตู๋เงยหน้ามองท้องฟ้า ครั้นนึกได้ว่าเสนาบดีฝ่ายขวาน่าจะรอเขาครู่ใหญ่แล้ว จึงยกมือไพล่หลังก้มหน้าพูดกับหนานหนานที่ยังงงงวย “ฝึกฝนด้วยตนเองให้มาก ๆ อีกสักสองสามหน เจ้าก็จะทำเป็นเอง พ่อยังมีธุระต้องไปทำ เจ้าอยู่ฝึกที่นี่ไปก่อน เดี๋ยวพ่อจะกลับมาดูความคืบหน้าของเจ้า”
“…อ่อ” หนานหนานทำแก้มป่อง ท่านพ่อช่างร้ายกาจนัก เขายังไม่ได้กินข้าวเลย แค่กลับทิ้งเขาให้ฝึกซ้อมอยู่ที่นี่เพียงลำพัง ทารุณเขาอย่างเห็นได้ชัด
เย่ซิวตู๋สบตาอีกฝ่ายก่อนจะหมุนกายเดินออกไป
แม้โม่เสียนและเสิ่นอิงจะอยากอยู่ที่นี่เพื่อพูดคุยกับหนานหนาน อยากแสดงความเห็นและความรู้สึกของตนเอง จากนั้นค่อยให้หนานหนานแสดงวิชากระบี่ วิชาหมัด และวิชาหอกให้พวกเขาดู
แต่เมื่อเย่ซิวตู๋จะออกไปแล้ว พวกเขาจึงต้องตามออกไปด้วย
ทั้งคู่ลอบถอนหายใจพร้อมกัน มองหนานหนานปราดหนึ่งด้วยท่าทางอาลัยอาวรณ์ จากนั้นจึงเดินตามหลังเย่ซิวตู๋ออกไป
ทั้งสามคนเดินออกไปแล้ว อวี้เป่าเอ๋อร์และเย่หลานเฉิงก็วิ่งมาหยุดตรงหน้าหนานหนาน ทั้งยังกล่าวชื่นชมไม่หยุดปาก
“หนานหนาน เจ้าเก่งมากเลย เมื่อครู่เพลงกระบี่ชุดนั้นพวกเรายังเห็นไม่ชัดเจนเลย เจ้ากลับพูดไปพลางจดจำไปพลางได้อย่างสมบูรณ์ ทั้งยังลงมือปฏิบัติได้ในทันที สุดยอดเกินไปแล้ว”
แม้เย่หลานเฉิงและอวี้เป่าเอ๋อร์จะมีความสามารถด้านบุ๋น และมีความเชี่ยวชาญด้านบทกวี แต่พวกเขาก็ทราบดีว่าเพลงกระบี่ชุดนั้นของเย่ซิวตู๋ไม่ธรรมดา พวกเขาที่ยืนมองถึงกับตาพร่าไปหมด วิชากระบี่เช่นนี้ทำให้พวกเขารู้สึกได้ว่าคงมีแค่ท่านอ๋องซิวเท่านั้นที่จะมีสามารถดึงความสามารถเช่นนี้ออกมาได้
ทว่าสิ่งที่ทำให้พวกเขาต่างตกตะลึงก็คือ หนานหนานที่ดูเพียงรอบเดียว ทั้งยังดูด้วยท่าทางไม่ใส่ใจ กลับสามารถเลียนแบบท่าทางเช่นนั้นได้อย่างปราดเปรื่องเช่นนี้
เย่หลานเฉิงถึงกับถอนหายใจ ในที่สุดเขาก็เข้าใจแล้วว่าเพราะเหตุใดท่านอาห้าถึงยินยอมให้หนานหนานเข้าร่วมการต่อสู้ และเขาก็เข้าใจแล้วว่าเหตุใดท่านอาห้าถึงเรียกให้หนานหนานกลับมาที่ตำหนักอ๋อง ที่แท้ก็เพื่อช่วยสอนวรยุทธ์ให้หนานหนานด้วยตนเองนี่เอง
ความเครียดที่อยู่ภายในใจของเย่หลานเฉิงมาโดยตลอดในที่สุดก็ผ่อนคลายลง เขาเองก็จะได้ไปเตรียมการแข่งขันได้อย่างสบายใจเสียที
ไม่เพียงแค่เย่หลานเฉิง อวี้เป่าเอ๋อร์ก็รู้สึกภาคภูมิใจเช่นเดียวกัน นี่เป็นถึงหลานชายของเขาเชียวนะ บุตรชายของพี่สาว…บุตรชายที่ทำให้ผู้คนรู้สึกทึ่ง
ทั้งคู่เข้ามาห้อมล้อมหนานหนานพร้อมกับส่งเสียงพูดคุยอื้ออึง หนานหนานในฐานะที่ได้รับการพูดถึงกลับมองพวกเขาทั้งคู่ด้วยสายตามึนงง
แม้แต่เหล่าคนรับใช้ของตำหนักอ๋องที่ยืนดูอยู่รอบ ๆ ก็วิ่งเข้ามาชมเขาไม่ขาดสาย หนานหนานกะพริบตาปริบ ๆ พลางเอ่ยถามด้วยความประหลาดใจ “ข้า…เก่งมากเลยรึ?”
“ใช่เจ้าค่ะๆ เก่งที่สุดเท่าที่บ่าวเคยเห็นมาเลยเจ้าค่ะ”
“ซื่อจื่อน้อย เมื่อครู่ท่านคงไม่เห็น แม้แต่ท่านเสิ่นและท่านโม่ก็ยังอ้าปากค้างเลยนะเจ้าคะ”
“ซื่อจื่อน้อยสุดยอดขนาดนี้ หลังจากนี้ใครยังจะกล้ารังแกท่านได้อีก”
“นั่นสิ บุตรของแม่นางอวี้กับท่านอ๋องไม่เหมือนคนทั่วไปจริง ๆ”
ทุกคนต่างผลัดกันพูดทีละประโยค ทำเอาหนานหนานถึงกับยิ้มร่า โยนกิ่งไม้ที่อยู่ในมือทิ้ง จากนั้นจึงใช้มือทั้งสองข้างจับมืออวี้เป่าเอ๋อร์และเย่หลานเฉิงพลางเอ่ยถาม “ข้าเก่งมากจริง ๆ รึ? เก่งมากจริง ๆ รึ?”
“อื้อ” ทั้งคู่พยักหน้าด้วยท่าทางจริงจัง
หนานหนานมีความสุขจนแทบบ้า เริ่มยกมือขึ้นมาเท้าสะเอวพร้อมกับระเบิดเสียงหัวเราะออกมา
“เหอะ ข้าเก่งกาจขนาดนี้ ท่านพ่อยังสั่งให้ข้าฝึกซ้อมอีก เขาทารุณข้าจริง ๆ ด้วย เอาล่ะ ไม่ซ้อมแล้ว ข้าหิวแล้วเนี่ย”
“เอ่อ…” อวี้เป่าเอ๋อร์และเย่หลานเฉิงหันสบตากัน เมื่อครู่ท่านอ๋องบอกให้เขาฝึกซ้อมต่อมิใช่รึ? เช่นนั้น…พวกเขามาพูดจาเช่นนี้จนทำลายแผนของท่านอ๋อง มิเท่ากับว่า…ซวยหรอกหรือ?
หลังจากกลืนน้ำลาย อวี้เป่าเอ๋อร์พูดด้วยท่าทางลำบากใจ “หนานหนาน อันที่จริงหากฝึกซ้อมเพิ่มเติมจะช่วยให้คล่องยิ่งขึ้น ข้าว่าเจ้า…”
“ว่าอะไร? ข้าอยากกินข้าว ข้ายังไม่ได้กินข้าวเช้าเลย” หนานหนานยกมือขึ้นมาตบท้อง หน้าท้องของเขาแบนราบกว่าเมื่อก่อนแล้วจริง ๆ ในที่สุดเขาก็เข้าใจความรู้สึกผอมกะหร่องก่องจนกระดูกโผล่แล้ว รู้สึกแย่จริง ๆ
อาหารเช้า? เย่หลานเฉิงเงยหน้ามองท้องฟ้า ซึ่งตอนนี้เป็นเวลาเที่ยงแล้ว
หนานหนานไม่สนใจพวกเขา แต่กลับวิ่งไปที่โถงบุปผาทันที บนโต๊ะหินตรงนั้นมีขนมที่เยว่ซินจัดเตรียมไว้ก่อนหน้านี้ หนานหนานกินไปสองสามคำก็ถอนหายใจลากยาวออกมา ความรู้สึกได้เป็นเทพเซียนเป็นเช่นนี้นี่เอง
อวี้เป่าเอ๋อร์และเย่หลานเฉิงแอบถอนหายใจ คิดหาวิธีเพื่อจะโน้มน้าวใจเขาอีกครั้ง
ใครจะไปคิด ยังไม่ทันก้าวเท้าขึ้นบันไดเข้าไปด้านในโถงบุปผา ก็ได้ยินหนานหนานบ่นด้วยความโกรธเคืองว่า “ไม่สนแล้ว ข้าจะไปปลุกท่านแม่ ข้าจะบอกท่านแม่ว่าท่านพ่อทารุณข้า ไม่ยอมให้ข้ากินข้าว ข้าจะหนีออกจากบ้าน”
……………………………………………………………………………………………………
สารจากผู้แปล
ไม่น่าชมหนานหนานเลย ชมแล้วกลายเป็นหาเรื่องซวยให้ตัวเองเสียอย่างนั้น
หนานหนานอย่าเพิ่งหนีออกจากบ้านสิลูก จะปล่อยให้เฉิงเฉิงร่วมการประลองคนเดียวเหรอ
ไหหม่า(海馬)