อลวนรักหมอหญิงชิงลั่ว - ตอนที่ 273 จุดที่เจ็บที่สุดของบุรุษ
ตอนที่ 273 จุดที่เจ็บที่สุดของบุรุษ
อวี้ชิงลั่วใช้เท้าเตะไปยังจุดที่เจ็บที่สุดของบุรุษคนละครั้ง เสิ่นอิงและโม่เสียนถึงกับงอตัวส่งเสียงคำราม ส่วนอวี้ชิงลั่วก็รีบสาวเท้าเดินกร่างไปด้านหน้าประตูห้องตำรา
กำลังภายในของเย่ซิวตู๋ที่อยู่ด้านในห้องแข็งแกร่งกว่าคนธรรมดามาโดยตลอด ครั้นได้ยินเสียงฝีเท้าที่คุ้นเคยที่เดินใกล้เข้ามา เขาก็แล้วว่าผู้มาเยือนคือใคร
คิ้วของเขาขมวดเข้าหากันเล็กน้อย อวี้ชิงลั่วไม่ควรจะฟื้นขึ้นมาในเวลานี้สิ
เขาจิบน้ำชาหนึ่งคำ ช้อนสายตามองหลีจื่อฟานที่ยังไม่ยอมไป ภายในใจก็แอบขุ่นเคืองเล็ก ๆ
“ท่านอ๋อง ท่านพาชิง…แม่นางชิงไปที่ใดแล้ว?” จนถึงตอนนี้ก็ยังเป็นเรื่องยากที่หลีจื่อฟานจะเชื่อว่าคนสองคนที่ยืนจูบกันใต้ต้นหลิวคู่นั้น จะเป็นเย่ซิวตู๋ผู้แสนเย็นชาไร้ความรู้สึก…และชิงลั่ว
จนกระทั่งเห็นฉากที่ชิงลั่วถูกเย่ซิวตู๋ทำให้สลบไป เขาก็เพิ่งจะได้สติกลับมาและรีบเดินทางมาที่ตำหนักอ๋องซิวทันที
เพียงแต่ เขามาถึงที่นี่นานขนาดนี้แล้ว สีหน้าของเย่ซิวตู๋ก็ยังนิ่งสงบไร้ซึ่งการเคลื่อนไหว เขาจึงไม่สามารถรับรู้ได้ว่าชิงลั่วอยู่ที่ใด สถานการณ์เป็นเช่นไร จะตกอยู่ในอันตรายหรือไม่
ท่านอ๋องซิวผู้นี้เป็นบุรุษที่รับมือได้ยากมากจริง ๆ
เย่ซิวตู๋ได้ยินเสียงเสิ่นอิงและโม่เสียนก้าวเท้าลงจากบันได จึงสละเวลาเหลือบมองหลีจื่อฟานด้วยสายตาที่เย็นชา “ท่านเสนาบดีฝ่ายขวาช่างใจกว้างนักที่เป็นห่วง เราได้ยินมาว่าเกิดเรื่องกับท่านหมอเริ่น เสด็จพ่อกำลังหงุดหงิดกับเรื่องนี้ เสนาบดีฝ่ายขวาเป็นถึงหัวหน้าเจ้าหน้าที่ ก็ควรจะมุ่งเน้นไปที่การแก้ปัญหาอันยากลำบากให้เสด็จพ่อมิใช่หรือ?”
หลีจื่อฟานหรี่ตาลง กล่าวเสียงดังว่า “หน้าที่ของข้า ข้าย่อมรู้จักความพอดี เพียงแต่เรื่องของท่านหมอเริ่นมีความน่าสงสัย ข้าจึงตัดสินใจจะเชิญแม่นางชิงให้ไปช่วยเหลือ คิดไม่ถึงเลยว่าจะเห็นท่านอ๋องทำให้แม่นางชิงสลบไป ทั้งยังพาตัวกลับมาที่ตำหนักอ๋อง ท่านอ๋อง ทำเช่นนี้มิเท่ากับเป็นการขัดขวางการทำงานของข้าหรอกหรือ? ข้าก็ควรจะสงสัยมิใช่รึว่าท่านอ๋องอาจมีความคิดขัดขวางการค้นหาผู้กระทำความผิดที่สังหารท่านหมอเริ่น ข้าก็สงสัยได้มิใช่รึว่าท่านอ๋องอาจมีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ด้วย?”
เย่ซิวตู๋แอบปฏิเสธไม่ได้ว่าการที่หลีจื่อฟานได้มานั่งตำแหน่งเสนาบดีฝ่ายขวา นับว่าสมองของเขาไม่เหมือนกับคนธรรมดาทั่วไปจริง ๆ ไม่แปลกใจเลยที่เสด็จพ่อจะเอ่ยถึงเสนาบดีฝ่ายขวาคนนี้ด้วยอารมณ์ความรู้สึกต่อหน้าเขาทุกครั้ง
น่าเสียดาย เขาไม่ใช่เสด็จพ่อ เขาจึงไม่มีความคิดรักและหวงแหนผู้มีความสามารถ
เขารู้แค่ว่า หลีจื่อฟานที่อยู่ตรงหน้าคือคนรักเก่าของอวี้ชิงลั่ว
“ความคิดของเสนาบดีฝ่ายขวาช่างกล้าหาญจริง ๆ เพียงแต่…”
เสียง ‘ปัง’ ดังขึ้น ประตูห้องตำราถูกเท้าเตะให้เปิดออก แทรกคำพูดของเย่ซิวตู๋ที่กำลังจะเอ่ยออกมา
ตามมาติด ๆ ด้วยเสียงหยิ่งผยองอันคุ้นเคยที่ดังขึ้น “เย่ซิวตู๋ ท่านจะเอาอย่างไรกันแน่?”
ครั้นอวี้ชิงลั่วกล่าวจบ จู่ ๆ นางก็รู้สึกได้ถึงบรรยากาศที่ดูเหมือนจะผิดปกติ ภายในห้องตำรานอกจากเย่ซิวตู๋แล้ว ยังมีอีกหนึ่งคนด้วย
“หลีจื่อฟาน?” อวี้ชิงลั่วขมวดคิ้ว เหตุใดเขาถึงมาอยู่ที่นี่?
ให้ตายเถอะ…บัดซบ
อวี้ชิงลั่วลูบใบหน้าก็พบว่านางไม่ได้สวมผ้าคลุมหน้า จึงถือว่าถูกเปิดเผยอย่างสมบูรณ์แล้ว
หลีจื่อฟานลุกขึ้นยืนด้วยความตื่นเต้น สายตาที่จ้องมองอวี้ชิงลั่วสดใจและอ่อนโยนมากยิ่งขึ้น จู่ ๆ หัวใจของเขาก็เต้นแรง แม้ว่าตอนแรกเขาจะรู้อยู่แล้วว่าแม่นางชิงที่ปิดบังใบหน้าด้วยผ้าคืออวี้ชิงลั่วคนที่เขาคะนึงหามาหลายปี แม้ก่อนหน้านี้ตอนที่อยู่ใต้ต้นหลิวเขาจะเห็นใบหน้าของนางหลังจากที่เย่ซิวตู๋ดึงผ้าคลุมหน้าออก แต่ตอนนั้นเป็นเพราะอยู่ไกลเกินไป จึงไม่ได้มีความชัดเจนจนทำให้ใจเต้นแรงเหมือนตอนนี้
หลีจื่อฟานสูดหายใจเข้าลึก ๆ ความรู้สึกหกปีที่เขากดไว้แทบจะระเบิดออกมา ครั้นฉุกนึกถึงก็ทำให้ร่างกายของเขาแข็งทื่อ แสบปลายจมูกและดวงตาทั้งคู่ก็เริ่มแดงระเรื่อ
“ชิงลั่ว…เจ้าจริง ๆ ด้วย”
อวี้ชิงลั่วยิ้มเจื่อน “หากพวกท่านมีเรื่องจะคุยกัน เช่นนั้นก็ตามสบาย ข้าไม่รบกวนแล้ว”
“ไม่รบกวน” หลีจื่อฟานรีบขานตอบ ขาทั้งสองข้างก้าวมายืนขวางตรงหน้านางอย่างห้ามไม่อยู่ เพื่อขัดขวางนางที่หมุนตัวเพื่อจะเดินออกไป ส่ายหน้าด้วยรอยยิ้ม “ไม่รบกวนเลย ชิงลั่ว ข้ามาที่นี่ก็เพื่อมาหาเจ้า”
“มาหาข้า?” เหตุใดเขาถึงรู้ว่านางอยู่ที่ตำหนักอ๋องซิว?
หลีจื่อฟานสูดหายใจเข้าลึก ๆ อีกครั้ง ข่มความรู้สึกที่อยากจะยื่นมือออกไปกอดนางไว้
ทำให้นางตกใจไม่ได้…ห้ามทำให้นางตกใจ
“ชิงลั่ว ที่ข้ามาที่นี่ก็เพื่อรับตัวเจ้าไปอยู่ที่จวนเสนาบดี หลังจากนี้ข้าจะปกป้องเจ้าเอง ข้าจะใช้ความสามารถทั้งหมดที่ข้ามีเพื่อปกป้องเจ้า กลับจวนเสนาบดีไปพร้อมกับข้านะ?”
กำปั้นของเย่ซิวตู๋ที่วางไว้บนโต๊ะถึงกับมีเส้นเลือดปูดขึ้นมาแล้ว เขาออกแรงกำมือแน่นอย่างผิดปกติ แรงอาฆาตพลุ่งพล่านราวกับอยากจะทำลายห้องตำราให้สิ้นซาก
โดยเฉพาะตอนที่เห็นทั้งคู่สบตากันโดยลืมไปอย่างสมบูรณ์ว่ายังมีเขาอยู่ที่นี่ พูดพึมพำเสียงเบาราวกับเป็นคนรักที่ไม่ได้เจอหน้ากันมาหลายปี เย่ซิวตู๋ก็ยิ่งรู้สึกอึดอัดอยู่ภายในใจ
ยังดีที่เขายังควบคุมตัวเองไว้ได้
เย่ซิวตู๋หลับตาลง ลอบสูดหายใจเข้าลึก ๆ จากนั้นจึงเดินออกมาจากด้านหลังโต๊ะตำราอย่างช้า ๆ ด้วยท่วงท่าสง่างาม เขาเดินมาหยุดข้าง ๆ อวี้ชิงลั่วด้วยท่าทางนิ่งสงบ ยกมือข้างหนึ่งขึ้นมาโอบบ่าของนางไว้
อวี้ชิงลั่วถึงกับตกใจ นางรู้สึกได้ถึงความร้อนผ่าวบริเวณที่ฝ่ามือของเขาวางลงมาจนแอบรู้สึกจั๊กจี้ นางขยับตัวด้วยท่าทางอึดอัด วินาทีต่อมา มือที่วางอยู่บนบ่าก็จับแน่นขึ้น แรงที่กดอยู่บนนั้นราวกับอยากจะฝังเข้าไปในกระดูกของนาง นางรู้สึกเจ็บจนเกือบจะสูดปาก
อวี้ชิงลั่วขมวดคิ้วมองเย่ซิวตู๋ด้วยความประหลาดใจ ทว่ากลับเห็นว่าเขากำลังมองหลีจื่อฟานด้วยรอยยิ้ม และเป็นรอยยิ้มที่หนาวเหน็บเข้ากระดูก
นางอ้าปากทำท่าจะพูด กลับได้ยินเสียงตกตะลึงของหลีจื่อฟานดังขึ้น “ท่านอ๋อง ท่านกำลังทำอะไร?”
“ทำอะไร?” เย่ซิวตู๋ยิ้มพลางโอบบ่าของอวี้ชิงลั่วแน่นยิ่งขึ้น จนกระทั่งร่างกายของนางแนบชิดเข้ากับร่างกายของเขา ใกล้ชิดกันจนไม่มีช่องว่างให้เห็น
อวี้ชิงลั่วขยับตัว นางไม่ชอบท่าทางเช่นนี้เอาเสียเลย ทว่าพละกำลังของเย่ซิวตู๋มีมากเกินไป บนร่างกายของเขามีรังสีแผ่ออกมาราวกับบอกว่า ‘หากเจ้ากล้าขยับตัว ข้าจะฆ่าเจ้าทันที’ กระจายออกมารอบ ๆ สิ่งนี้ทำให้อวี้ชิงลั่วเกิดความลังเล
นางรู้สึกอยู่ตลอดว่า อารมณ์ตอนนี้ของเย่ซิวตู๋ที่แสดงออกผ่านมือขวาบนไหล่ของนาง ดูเหมือนว่าเขากำลังกระสับกระส่ายและไม่สบายใจเอามาก ๆ
นางลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ภายในใจรู้สึกบีบรัดอย่างบอกไม่ถูก จึงได้แต่ลอบถอนหายใจและไม่ขยับตัวอีก
เย่ซิวตู๋รู้สึกได้ถึงความนิ่งสงบของร่างกายที่อยู่ในอ้อมกอดแล้ว จึงพูดกับหลีจื่อฟานไปว่า “เรากำลังทำอะไร เสนาบดีฝ่ายขวาก็เห็นแล้วมิใช่รึ?”
หลีจื่อฟานเห็นแล้วก็รู้สึกว่าเป็นภาพลวงตาในดวงตาของตนเอง ทว่าเขาเห็นภาพนี้ได้อย่างชัดเจน เห็นได้อย่างชัดเจนว่า…อวิ้ชิงลั่วไม่ได้ขัดขืน นางไม่ขัดขืนต่ออ้อมกอดของเย่ซิวตู๋แม้แต่น้อย
หลีจื่อฟานแทบจะกลั้นหายใจ ทอดมองไปยังอวี้ชิงลั่วพลางเอ่ยถาม “พวกเจ้า…พวกเจ้าเป็นอะไรกัน?”
“สหาย” อวี้ชิงลั่วตอบกลับไปตามจิตใต้สำนึกโดยไม่หยุดยั้งคิด
ทว่าเย่ซิวตู๋ที่ยืนอยู่ข้าง ๆ กลับหัวเราะเสียงทุ้มต่ำ “สหาย…หืม?”
อวี้ชิงลั่วเลิกคิ้วขึ้น หัวใจถึงกับบีบรัด จากนั้นก็ได้ยินเสียงของเย่ซิวตู๋พูดขึ้นว่า “หากเป็นสหาย เหตุใดเจ้าถึงมีบุตรชายให้เราล่ะ?”
…………………………………………………………………………………
สารจากผู้แปล
เข้ามาผิดเวลาแล้วชิงลั่วเอ๊ย ตกอยู่ในวังวนรักสามเส้าเข้าแล้ว
ไหหม่า(海馬)