อลวนรักหมอหญิงชิงลั่ว - ตอนที่ 277 การข่มขู่ของเย่ซิวตู๋
ตอนที่ 277 การข่มขู่ของเย่ซิวตู๋
ตอนที่ 277 การข่มขู่ของเย่ซิวตู๋
โม่เสียนได้ยินเขาพูดเช่นนี้ ก็รีบหันไปสบตากับเสิ่นอิง ครั้นรับรู้ว่าท่านอ๋องมีแผนอยู่ในใจแล้วก็แอบโล่งอก ไม่ได้พูดอะไรต่อจากนั้น ยกแส้ขึ้นมาพร้อมกับส่งเสียงเบาๆ รถม้าคันนั้นจึงพุ่งทะยานไปด้านหน้าอย่างรวดเร็วอีกครั้ง
เย่ซิวตู๋เดาไว้ไม่ผิด เมื่อเดินทางมาถึงห้องตำราหลวง ฮ่องเต้กำลังตัดสินพระทัยออกคำสั่งให้เหมียวเชียนชิวไปที่ตำหนักอ๋องซิว เพื่อให้แม่นางชิงเดินทางไปตรวจและรักษาอาการให้หลีจื่อฟานที่จวนเสนาบดีฝ่ายขวา
ตอนที่รู้ว่าเย่ซิวตู๋เดินทางมา ฮ่องเต้ก็รู้สึกอารมณ์ดีทันใด ราชโองการฉบับนั้นที่เพิ่งเขียนก็ถูกเก็บไว้ พร้อมกับสั่งให้เหมียวกงกงเรียกเขาเข้ามา
“ซิวเอ๋อร์ เจ้ารู้ใจเราจริง ๆ เมื่อครู่เรากำลังจะให้คนไปบอกเจ้า เจ้าก็มาหาเราก่อนแล้ว”
ระหว่างที่ฮ่องเต้ตรัส พระองค์ก็สั่งให้เหมียวเชียนชิวนำเก้าอี้มาให้เย่ซิวตู๋
เย่ซิวตู๋นั่งลงด้านขวามือของฮ่องเต้โดยไม่มีท่าทีเกรงใจ กล่าวเสียงเบาว่า “เป็นเพราะเรื่องของเสนาบดีฝ่ายขวาหรือพ่ะย่ะค่ะ?”
“ฮ่า ๆ ถูกต้อง” ฮ่องเต้มองเขาด้วยท่าทางพึงพอใจ ทว่าเมื่อตรัสถึงเสนาบดีฝ่ายขวา พระองค์ก็ทอดถอนใจอีกหน “ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับเสนาบดีฝ่ายขวาผู้นี้ จู่ ๆ ก็ล้มป่วยเสียอย่างนั้น หมอหลวงจำนวนมากเหล่านั้นไปดูอาการแล้ว แต่กลับเปล่าประโยชน์ เฮ้อ เจ้าเองก็รู้ เสนาบดีฝ่ายขวาผู้นี้เป็นคนมีความสามารถมิน้อย เราให้ความสำคัญกับเขามาก แค่เขาล้มป่วย เรื่องราวมากมายก็ถูกชะลอให้ล่าช้าออกไป โดยเฉพาะตอนนี้ที่การแข่งขันสี่อาณาจักรใหญ่กำลังใกล้เข้ามา เสนาบดีฝ่ายขวาคือหัวหน้าขุนนาง การต้อนรับองค์ชายและคณะทูตของสี่อาณาจักรถือเป็นหน้าที่สำคัญ นอกจากเสนาบดีฝ่ายขวาแล้ว เราไม่ไว้ใจที่จะมอบหมายให้คนอื่น”
ระหว่างที่กล่าว ฮ่องเต้ก็เงียบเสียงพร้อมกับช้อนตามองเย่ซิวตู๋ ครั้นเห็นอีกฝ่ายยังคงจิบน้ำชาด้วยสีหน้าเรียบเฉย คิ้วพลันขมวดเข้าหากันเล็กน้อย ก่อนจะให้ดูเป็นเรื่องใหญ่อีกหน “ซิวเอ๋อร์ เดิมทีเราจะให้เชียวชิวนำราชโองการออกไป แต่การใช้ราชโองการเพื่อให้หมอปีศาจไปรักษาเสนาบดีฝ่ายขวา ถึงอย่างไรก็ดูจะเป็นการบีบบังคับ เราเองก็เป็นกังวลว่าจากนิสัยดื้อรั้นของแม่นางผู้นั้นแล้วนางอาจไม่พอใจ เจ้ามาถึงที่นี่ก็ดีแล้ว อย่างน้อยเจ้าก็น่าจะขอร้องแม่นางชิงผู้นั้นได้ อีกอย่างนางก็อาศัยอยู่ในจวนของเจ้า หากให้เจ้าช่วยออกหน้า เราก็เบาใจ”
เย่ซิวตู๋วางแก้วน้ำชาลงบนโต๊ะเล็กที่อยู่ข้าง ๆ เอ่ยด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำแต่เสียงดังว่า “เสด็จพ่อ ลูกไม่ได้มีความคิดอยากให้หมอปีศาจออกหน้าช่วยรักษาเสนาบดีฝ่ายขวา”
“เพราะเหตุใด?” ฮ่องเต้ขมวดคิ้ว พระองค์ไม่เข้าใจว่าเพราะเหตุใดเย่ซิวตู๋ถึงได้ปฏิเสธได้อย่างฉับไวเช่นนี้
อาการป่วยของเสนาบดีฝ่ายขวา บางทีอาจเป็นเรื่องเล็กน้อยสำหรับหมอปีศาจ เหตุใดถึงจะรักษาไม่ได้?
เย่ซิวตู๋เลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย เอ่ยถามเคล้ารอยยิ้มด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำว่า “เสด็จพ่อคิดว่าเพราะอะไรพ่ะย่ะค่ะ?”
“…เจ้า เฮ้อ” ฮ่องเต้เงียบขรึมไปครู่หนึ่ง ก่อนกล่าวอย่างจนปัญญาว่า “ซิวเอ๋อร์ เจ้ากับเสนาบดีฝ่ายขวามีความแค้นอะไรต่อกันกันแน่? เราได้ยินมาว่าเสนาบดีฝ่ายขวาล้มป่วยหลังจากกลับออกมาจากตำหนักของเจ้า ตอนนี้เจ้ายังขัดขางไม่ให้หมอปีศาจไปรักษาเขาอีก เราไม่เข้าใจเลยจริง ๆ ว่าเหตุใดเจ้าถึงได้อยู่ฝั่งตรงข้ามกับเสนาบดีฝ่ายขวา?”
คนหนึ่งก็เป็นพระราชโอรสที่พระองค์ทรงโปรดปรานมากที่สุด ส่วนอีกคนก็เป็นขุนนางที่พระองค์ให้ความสำคัญมากที่สุด พระองค์หวังเป็นอย่างยิ่งว่าทั้งสองคนนี้จะถนอมน้ำใจต่อกัน มีอุดมการณ์ร่วมกัน เช่นนี้หลังจากเย่ซิวตู๋ขึ้นเป็นฮ่องเต้ หลีจื่อฟานถึงจะเป็นที่ปรึกษาด้วยใจจริง มีหลีจื่อฟานอยู่ ซิวเอ๋อร์ย่อมกลายเป็นดั่งพยัคฆ์ติดปีก การปกครองบ้านเมืองยิ่งทำได้อย่างคล่องมือดังใจคิด
ทว่า ตอนนี้พวกเขากลับมิอาจการอยู่ร่วมกันอย่างสันติได้ เริ่มจากการแสดงตัวเป็นคู่ต่อสู้ และกลายมาเป็นศัตรู
เย่ซิวตู๋ไม่ได้ตั้งใจจะพูดคุยกับฮ่องเต้เกี่ยวกับปัญหานี้ ถึงอย่างไรสถานะเดิมของอวี้ชิงลั่วก็มิอาจเปิดเผยได้ หากเสด็จพ่อรู้ว่าหมอปีศาจเคยเป็นภรรยาของอวี๋จั้วหลิน และตอนนี้ได้กลายเป็นมารดาของบุตรชายเขา เกรงว่าทั่วทั้งเมืองคงได้เกิดความโกลาหล
ด้วยเหตุนี้ เขาก็ยังให้ยืนยันคำตอบเกี่ยวกับโรคของเสนาบดีฝ่ายขวาว่า “ไม่ว่าอย่างไร หมอปีศาจก็จะไม่ไปรักษาอาการให้เสนาบดีฝ่ายขวา หากเสด็จพ่อรักและหวงแหนเสนาบดีฝ่ายขวาจริง ๆ เช่นนั้นก็ให้หมอหลวงคิดหาวิธีอีกสักครั้งเถิด”
ฮ่องเต้ขมวดคิ้ว ภายในใจเริ่มเกิดความขุ่นเคือง “ซิวเอ๋อร์ นี่คือท่าทีที่เจ้ามีต่อพ่อรึ?”
“ไม่ทราบว่าเสด็จพ่อได้ยินข่าวลือที่อยู่ด้านนอกเกี่ยวกับเสนาบดีฝ่ายขวาหรือไม่”
“ข่าวลือ?” ฮ่องเต้ขมวดคิ้ว
เหมียวเชียนชิวเห็นสถานการณ์เช่นนี้จึงขบฟันแน่น รีบกระซิบข้างพระกรรณของฮ่องเต้ว่า “ฝ่าบาท เมื่อครู่กระหม่อมเพิ่งได้รับรายงานมาว่า วันนี้มีข่าวหนึ่งถูกกระจายออกไปทั่วถนนตรอกซอยของเมืองหลวง มีข่าวลือว่าเสนาบดีฝ่ายขวาและหมอปีศาจรักกัน กำลังจะแต่งงานกันด้วย อีกไม่นานหมอปีศาจก็จะกลายเป็นฮูหยินของท่านเสนาบดีพ่ะย่ะค่ะ”
“ฮูหยินของท่านเสนาบดี?” ฮ่องเต้ได้ยินเรื่องนี้ก็ถึงกับประหลาดใจอย่างห้ามไม่อยู่ จึงหันกลับมามองเย่ซิวตู๋ ก่อนจะส่ายหน้าอย่างช้า ๆ “เราได้ยินมาว่าท่าทีของเสนาบดีฝ่ายขวาที่มีต่อบุตรีตระกูลอวี้นั้นไม่ธรรมดาเลย เหตุใดตอนนี้ถึงมีหมอปีศาจเพิ่มมาอีกคน? ข่าวลือนี้ ใครเป็นคนปล่อยออกไป?”
“ลูกให้คนไปตรวจสอบมาแล้ว” เย่ซิวตู๋พยักหน้าเล็กน้อย ทั้งยังอยู่ในท่าทีที่ให้เกียรติอย่างมาก “เสด็จพ่อ ขึ้นชื่อว่าข่าวลือ ข่าวนี้ย่อมเชื่อถือไม่ได้ เสด็จพ่อก็น่าจะทราบดีถึงชื่อเสียงของแม่นางผู้นี้ แม้หมอปีศาจจะออกเดินทางตลอดทั้งปี ทว่าภายใต้ข่าวลือที่แพร่สะพัดไปทั่วเช่นนี้ หากปรากฎตัวขึ้นภายในจวนของเสนาบดีฝ่ายขวา เช่นนั้นต่อให้เป็นแค่ข่าวลือ แต่ก็คงได้กลายเป็นเรื่องจริง ถึงเวลานั้นแม่นางชิงคงเสื่อมเสียชื่อเสียง”
“อึก…” ฮ่องเต้ถึงกับสะอึก พูดตามตรง หลังจากพระองค์ได้เห็นใบหน้าของแม่นางชิงผู้นั้น หลังจากนึกถึงปานที่น่าสะพรึงกลัวนั้น พระองค์ก็ไม่เชื่อเช่นกันว่าเสนาบดีฝ่ายขวาจะชอบนาง ถึงอย่างไรเมื่อเทียบกับอวี้ชิงโหรวแล้ว รูปลักษณ์ของหมอปีศาจผู้นั้นย่อมมิอาจพาเข้าวัดเข้าวาได้
ทว่าคนที่มีความจริงจังเหมือนเสนาบดีฝ่ายขวาเช่นนั้น ไม่ใช่คนที่จะมองคนจากผิวเผิน ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้ที่เขาอาจมองจากจุดเด่นด้านอื่นของแม่นางชิงผู้นั้น
ไม่แปลกใจเลยตอนที่พระองค์คิดอยากจะจัดงานแต่งให้เขากับบุตรีตระกูลอวี้ แต่หลีจื่อฟานกลับเอาแต่ปฏิเสธ แม้ว่าอยากจะให้เขาเข้ามาเป็นราชบุตรเขย ก็ถูกเขาปฏิเสธอย่างชาญฉลาดเช่นกัน
ฮ่องเต้เงียบขรึมไปครู่หนึ่ง จึงเงยหน้ามองเย่ซิวตู๋ กล่าวอย่างเนิบช้าว่า “อันที่จริง บางทีข่าวลือเหล่านั้นอาจมิใช่แค่ข่าวลือ หากเสนาบดีฝ่ายขวาและหมอปีศาจรักกันจริง ๆ เล่า?”
เย่ซิวตู๋ยิ้มเยาะ หากพวกเขาสองคนกล้ารักกัน เขาคงไม่รังเกียจที่จะเป็นเพชฌฆาตเพื่อตัดสายใยรักระหว่างพวกเขา
“ในเมื่อเสด็จพ่อตรัสเช่นนี้ ลูกก็คงไม่ขัดขวางให้มากมาย เสด็จพ่อส่งราชโองการไปให้หมอปีศาจ เพื่อให้นางไปดูอาการของหลีจื่อฟานที่จวนเสนาบดีฝ่ายขวา” เย่ซิวตู๋หันหน้ามาพร้อมกับยิ้ม “แต่…ลูกมีหนึ่งเรื่องอยากจะขอ”
“เอ่ยมา”
“หากหมอปีศาจปฏิเสธพระราชโองการของเสด็จพ่อในการเดินทางไปดูอาการให้เสนาบดีฝ่ายขวาอย่างเสียมารยาท เสด็จพ่ออย่าได้กล่าวโทษนาง”
ฮ่องเต้หรี่พระเนตรลงเล็กน้อย หลังจากผ่านไปครู่หนึ่งจึงพยักพระพักตร์เห็นด้วย “ตกลง” ไม่ว่าอย่างไร ตอนแรกที่แม่นางชิงและหมอเสิ่นประลองทักษะทางการแพทย์ เสนาบดีฝ่ายขวาก็ยืนฝั่งเดียวกับแม่นางชิง ทั้งยังช่วยพูดแทนนางไปไม่น้อย ตอนนี้เสนาบดีฝ่ายขวากำลังป่วยหนัก แม่นางชิงก็น่าจะลงมือช่วยเหลือเขาสักคร้ง
เย่ซิวตู๋ยิ้ม เขาไม่เสียเวลาอยู่ที่นี่ให้นานมากไปกว่านี้ จึงลุกขึ้นยืนและกราบทูลลา
หลังจากกลับมานั่งบนรถม้าอีกครั้ง เย่ซิวตู๋จึงสั่งโม่เสียนด้วยสีหน้าเย็นชา “เจ้ากลับตำหนักไปก่อน บอกอวี้ชิงลั่วว่า หากนางกล้าไปรักษาเสนาบดีฝ่ายขวา ก็อย่าได้หวังว่าจะได้เจอกับแม่นมเก๋อตลอดทั้งชีวิต”
“ขอรับ”
……………………………………………………………………………………………………
สารจากผู้แปล
ท่านอ๋องสุดจะขี้หวงสุดจะเผด็จการมากเลยค่ะ อยากไปรักษาเขาเหรอ ไปได้นะ แต่จะทำให้ไปไม่ได้เอง
ไหหม่า(海馬)