อลวนรักหมอหญิงชิงลั่ว - ตอนที่ 284 หากไร้เหตุไม่คาดฝันก็จะชนะ
ตอนที่ 284 หากไร้เหตุไม่คาดฝันก็จะชนะ
ตอนที่ 284 หากไร้เหตุไม่คาดฝันก็จะชนะ
เห็นได้ชัดว่าไม่กี่วันมานี้เมืองหลวงดูคึกคักเป็นพิเศษ ร้านอาหาร โรงเตี๊ยมต่างล้นหลามไปด้วยผู้คน แม้จะขึ้นราคาสูงขึ้นแต่ก็ยังตอบสนองความต้องการไม่ได้ กระทั่งบ้านพักของคนทั่วไปจนถึงเรือนของเหล่าชนชั้นสูงล้วนถูกเช่าเต็มหมดทุกห้อง
ผู้คนจากทั้งสี่อาณาจักรแห่แหนมาอย่างล้นหลามประหนึ่งฝูงมด ทหารลาดตระเวนขวักไขว่ไปมาไม่ขาดสาย แม้แต่บนถนนใหญ่ผู้คนต่างก็เดิน ๆ หยุด ๆ เพราะความหนาแน่น นอกจากความรู้สึกภาคภูมิใจของเจ้าภาพแล้ว คนในเมืองหลวงที่จะออกจากบ้านก็ต้องระมัดระวังตัวมากขึ้น
ข่าวลือเรื่องระหว่างหมอปีศาจและเสนาบดีฝ่ายขวาค่อย ๆ ซาลงไป แต่สิ่งที่ผู้คนวิพากษ์วิจารณ์กันมากขึ้นกลับเป็นเรื่องของกลุ่มผู้เข้าแข่งขันการประลองทั้งสี่อาณาจักร
เพียงแต่ว่า ข่าวของหมอปีศาจที่ไม่สามารถคาดเดาได้มาปรากฏตัวขึ้นที่อาณาจักรเฟิงชางก็ยังคงทำให้ผู้คนทั้งสี่อาณาจักรตื่นเต้นเป็นอย่างมาก มีบางคนอดทนรอที่จะพบนางไม่ไหวแล้ว
เนื่องจากไม่กี่วันมานี้ จดหมายเชิญจากตำหนักอ๋องค่อย ๆ ถูกส่งออกไป ผู้คนที่มาเยี่ยมเยียนต่างก็ทยอยมาประหนึ่งระลอกคลื่นที่ไม่ขาดสาย แม้แต่นอกประตูตำหนักเองก็มีผู้คนมากมายที่ต้องการจะพบหมอปีศาจผู้สง่างาม
เนื่องจากถูกสายตามากมายจับจ้อง อวี้ชิงลั่วจึงรู้สึกปวดหัว จนนางไม่สามารถออกไปไหนมาไหนนอกเรือนได้
ก่อนการประลองจะเริ่มต้นขึ้นห้าวัน ผู้เข้าแข่งขันทั้งสี่แคว้นต่างก็ค่อย ๆ เดินทางหลั่งไหลเข้ามายังเมืองหลวงมากยิ่งขึ้น
ถึงจะมีหลายคนที่เข้ามาอย่างเงียบ ๆ แต่ผู้เข้าแข่งขันอย่างเป็นทางการก็ยังต้องรอติดตามกลุ่มผู้เข้าแข่งขันที่ยิ่งใหญ่เกรียงไกรเพื่อเข้าสู่เมืองหลวง
ไม่นานมานี้มีหลายเหตุการณ์เกิดขึ้นในอาณาจักรเฟิงชาง เดิมทีแล้วเสนาบดีฝ่ายขวาต้องเป็นผู้ที่รับผิดชอบต้อนรับแขกสูงศักดิ์ต่างเมือง แต่ร่างกายของเขายังคงอ่อนแอเป็นอย่างมาก อวี๋จั้วหลินผู้รับผิดชอบฝ่ายราชองครักษ์เองก็ไร้ความสามารถ และเย่ซิวตู๋ผู้ที่ฮ่องเต้ให้ความสำคัญมากที่สุดก็ไม่สนใจอะไรมาแต่ไหนแต่ไร ชายหนุ่มซ่อนตัวอยู่ในเรือนและอบรมความรู้ด้านต่าง ๆ แก่ลูกชายของตนเท่านั้น ส่วนขุนนางท่านอื่น ๆ ต่างก็ทำหน้าที่ของตนเช่นกัน จึงเป็นการยากที่จะดึงตัวพวกเขาออกมารับผิดชอบงานอื่น ๆ ด้วยเหตุนี้จึงยังไม่มีผู้ทำหน้าที่ต้อนรับแขกสูงศักดิ์ต่างเมือง
ดังนั้นฮ่องเต้ที่กำลังประทับอยู่ในห้องตำราหลวงจึงทรงพิจารณาไตร่ตรองอย่างถี่ถ้วน โดยมอบหน้าที่รับผิดชอบเรื่องราชองครักษ์ให้กับองค์ชายเจ็ดเย่ฮ่าวถิง ในส่วนของการต้อนรับแขกบ้านแขกเมืองนั้น…ตกไปเป็นหน้าที่ขององค์รัชทายาทและท่านอ๋องเป่า
สถานะขององค์ชายนั้นสูงส่ง ดังนั้นการจัดการในเรื่องต่าง ๆ จะต้องไม่วางตัวและเพิกเฉยต่อราชทูตของแต่ละแคว้น
ยิ่งไปกว่านั้น ต่อให้องค์รัชทายาทจะไม่เฉลียวฉลาด แต่ในครั้งนี้บุตรชายของพระองค์ได้เข้าร่วมการแข่งขันเช่นกัน ไม่ว่าจะเลวร้ายเพียงใด พระองค์ก็ควรที่จะเข้าใจและใช้โอกาสนี้ถามไถ่เกี่ยวกับความแข็งแกร่งของคู่ต่อสู้ เพื่อช่วยปูทางให้กับบุตรชายของตน
และมากไปกว่านั้น ต่อให้มีผู้ที่ไม่รู้จักดีชั่ว แต่ข้างกายของเขาเองก็ยังมีท่านอ๋องเป่าคอยจับตามองอยู่ จึงไม่ได้เกิดเรื่องใหญ่อะไรขึ้น
หลังจากฮ่องเต้ได้มอบหมายงานอย่างละเอียดรอบคอบแล้วเสร็จ พระองค์ก็เจียดเวลาเอ่ยถามเหมียวเชียนชิวว่า “มีข่าวคราวอะไรจากทางฝั่งหนานหนานบ้างหรือไม่ เจ้าเด็กน้อยฝึกฝนเป็นอย่างไรบ้าง?”
ถึงจะบอกว่ามีเย่ซิวตู๋เป็นผู้สั่งสอน แต่การต่อสู้ที่ไม่คำนึงถึงความเป็นความตายก็ทำให้พระองค์รู้สึกกังวลใจ
เหมียวเชียนชิวเห็นพระพักตร์ของฮ่องเต้ดูเหนื่อยล้า เขาจึงรีบรินชาให้กับพระองค์ในทันที หลังจากนั้นจึงหันหลังไปยืนด้านหลังของพระองค์เช่นเดิม และถวายงานนวดให้พระองค์ด้วยความชำนาญ ก่อนทูลตอบเบา ๆ “ท่านอ๋องซิวพาซื่อจื่อตัวน้อยไปฝึกฝนที่จวนอีกแห่ง ตามรายงานจากผู้พิทักษ์ทมิฬที่ตามดูแลทั้งสองท่านกล่าวว่า ถ้าซื่อจื่อนั้นไม่มีเรื่องราวอะไร…เขาก็น่าจะชนะการแข่งขันครั้งนี้พ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้ตกตะลึง และวางแก้วชาลงบนโต๊ะทรงพระอักษรบริเวณด้านหน้า พระองค์เงยหน้าขึ้นด้วยความประหลาดใจ “มั่นใจเช่นนี้เลยหรือ?”
“ตามรายงานของผู้พิทักษ์ทมิฬ ซื่อจื่อน้อยช่างมีพรสวรรค์ หากเขาได้ฝึกฝนอย่างพากเพียร และไม่แอบไปกินอาหารกลางคันแล้วล่ะก็ เกรงว่าไม่ถึงสองปี ผู้พิทักษ์ทมิฬทั้งสองคนนั้นที่ผ่านการฝึกฝนมาอย่างเข้มงวดและโหดร้ายก็คงจะไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขาพ่ะย่ะค่ะ” เหมียวเชียนชิวกล่าวตามคำรายงานของผู้พิทักษ์ทมิฬ ซึ่งสามารถจินตนาการได้ว่าท้ายที่สุดแล้วหนานหนานตะกละถึงเพียงไหน ดูเหมือนว่าท่านอ๋องซิวที่กำลังฝึกฝนเด็กน้อยก็คงจะปวดหัวน่าดู
ฮ่องเต้ได้ยินเช่นนั้น พระองค์กลับค่อย ๆ หัวเราะขึ้นมา “ไม่แปลกใจเลยว่าเป็นลูกของซิวเอ๋อร์ เด็กแบบนี้สิจึงจะมีคุณสมบัติในการสืบราชบัลลังก์”
เหมียวเชียนชิวตกตะลึงไปครู่หนึ่ง พระองค์ยังไม่ได้ละทิ้งความคิดที่จะให้ท่านอ๋องซิวสืบบัลลังก์อีกหรือ? ขนาดอยู่ด้วยกันกับหนานหนานมาเป็นเวลานาน ก็ดูเหมือนว่าจะมั่นใจมากกว่าเดิม
เพียงแต่ว่า ท่านอ๋องซิวไม่มีความคิดอะไรเกี่ยวกับราชบัลลังก์เลย สำหรับหนานหนาน…เหมียวเชียนชิวก็มีความคิดเห็นส่วนตัวว่าหนานหนานนั้นไม่เหมาะสมอย่างยิ่ง
เด็กน้อยชาญฉลาดและมีพรสวรรค์อย่างมาก และเป็นอัจฉริยะที่หายากภายในร้อยปีที่ผ่านมา แต่ว่าการที่จะเป็นฮ่องเต้นั้นจำเป็นที่จะต้องมีหัวใจที่รักและเป็นห่วงราษฎร
ซื่อจื่อน้อยของท่านอ๋องซิว…เอ่อ มีนิสัยรักอิสระ และไม่ชอบการถูกตีกรอบ ไม่ต้องพูดถึงว่าเด็กน้อยนั้นมีความต้องการที่จะเป็นฮ่องเต้หรือไม่ ลองให้เขาได้อยู่ในพระราชวังสักสิบวันหรือครึ่งเดือน ก็เกรงว่าเด็กน้อยคงจะทนไม่ไหวแล้ว
แต่ว่าคำพูดพวกนี้ไม่ใช่ตนเองที่อยู่ในตำแหน่งคนรับใช้ควรจะเอ่ยออกมาได้ เหมียวเชียนชิวจึงทำได้เพียงคิดในใจเท่านั้น สิ่งที่เขาต้องทำคือรับใช้ฮ่องเต้สุดหัวใจ
ฮ่องเต้พอพระทัยเป็นอย่างมาก ความเหนื่อยล้าเมื่อครู่ก็ได้หายไป จากนั้นจึงอ่านฎีกาที่เหล่าขุนนางถวายขึ้นมาด้วยพระพักตร์ที่เปี่ยมไปด้วยรอยยิ้ม
วันต่อมา กลุ่มผู้เข้าร่วมการประลองของแคว้นหลิวอวิ๋นได้เดินทางมาถึงก่อน จึงตามองค์ชายทั้งสามไปยังที่พักที่ราชสำนักจัดเตรียมไว้ให้ ชาวบ้านที่อยู่ข้างทางก็ถูกเจ้าหน้าที่หยุดเอาไว้ แต่ชาวบ้านเหล่านั้นก็พยายามเงยหน้าขึ้นมามองผู้เข้าแข็งขันอย่างสุดกำลัง
ในหมู่มวลชนตรงนั้นมีอวี้เป่าเอ๋อร์และเย่หลานเฉิงที่ได้รับอนุญาตจากอวิ้ชิงลั่วให้ออกจากตำหนักไปดูได้
ถึงอย่างไรเย่หลานเฉิงก็เข้าร่วมการแข่งขันสี่อาณาจักร ตามความคิดของอวี้ชิงลั่วแล้ว จึงจำเป็นต้องไปคอยดูสถานการณ์ของคู่ต่อสู้ล่วงหน้า
แม้ว่า…สถานการณ์ตอนนี้บรรดาคู่ต่อสู้จะอยู่บนรถม้ากันหมด เพราะปกติแล้วผู้เข้าประลองจะไม่ปรากฏตัว ทั้งหมดต้องนั่งอย่างสงบอยู่บนรถม้า แม้จะมีเด็กเล็ก ๆ ที่โง่เขลาอยู่สองสามคนเปิดม่านออกมาเพื่อมองออกไปข้างนอกด้วยความอยากรู้อยากเห็น แต่พวกเขาก็ถูกผู้คุมที่มาด้วยตำหนิติเตียนให้กลับเข้าไปในรถม้าเช่นเดิม
เนื่องด้วยประชาชนต่างก็อยากชื่นชมผู้เข้าประลองจากแคว้นหลิวอวิ๋น จึงทำได้เพียงแค่รวมกลุ่มกันกระซิบเบา ๆ และแอบมองอย่างลับ ๆ เท่านั้น
อวี้เป่าเอ๋อร์เอนตัวพิงขอบหน้าต่างบนชั้นสองของร้านอาหาร โดยเงยหน้าขึ้นอย่างตั้งหน้าตั้งตาจ้องมองรถม้าด้วยความสนใจ และได้กล่าวกับเย่หลานเฉิงว่า “เจ้าดู ที่แท้แล้วรถม้าของแคว้นหลิวอวิ๋นนั้น บนหลังคารถจะมีรูปก้อนเมฆอยู่ ช่างสวยงามจริง ๆ”
อวี้ชิงลั่วที่นั่งดื่มชาอยู่อีกด้านกระตุกมุมปาก นางเองก็อาศัยอยู่ที่ตำหนักอ๋องมาเป็นเวลานาน ได้ถือโอกาสในตอนที่กลุ่มผู้เข้าประลองจากแคว้นหลิวอวิ๋นที่เดินทางเข้าเมืองออกจากตำหนักอ๋อง คาดไม่ถึงว่าเด็กทั้งสองคนนั้นจะตื่นเต้นตั้งแต่เช้า จนพิจารณากระทั่งรูปแบบหลังคารถม้า
“ท่านพี่ ท่านว่าแคว้นหลิวอวิ๋นจะให้ผู้ใดมาเข้าร่วมการประลองในรุ่นห้าถึงสิบปีหรือขอรับ?” อวี้เป่าเอ๋อร์พิจารณาอยู่สักพักถึงวิ่งมาที่โต๊ะเพื่อลากอวี้ชิงลั่วมาที่หน้าต่างที่อยู่บริเวณด้านข้าง หลังจากนั้นจึงชี้ไปที่รถม้าหลากหลายคันด้านล่าง และเอ่ยถามขึ้น “ท่านพี่ ท่านคิดว่าคนผู้นั้นจะอยู่ในรถคันไหน?”
อวี้ชิงลั่วอดไม่ไหวที่จะกลอกตา หรือว่าคำถามนี้จะลึกซึ้งเกินไป รถม้าแต่ละคันมีลักษณะไม่ต่างกัน นอกจากบริเวณด้านหน้าที่สวยงามจะมีตรงไหนอีกเล่าที่สามารถมองออก?
อย่างไรก็ตาม ว่ากันว่าไม่มีอาณาจักรใดในสี่อาณาจักรที่จะส่งลูกหลานของราชวงศ์เข้าร่วมในการประลองการต่อสู้ กล่าวคือ ผู้เข้าร่วมการประลองนั้นควรอยู่ในรถม้าที่ดูธรรมดา
อวี้ชิงลั่วชี้ออกไป เพียงแต่เมื่อชี้ออกไปได้ไม่นาน นางก็ต้องตะลึงกับบุรุษที่อยู่ตรงหน้ากลุ่มผู้เข้าแข็งขัน
……………………………………………………………………………………………………
สารจากผู้แปล
หนานหนานอย่าให้เสด็จปู่ดีพระทัยเก้อนะ สู้ๆ เจ้าเด็ก
บุรุษแห่งอาณาจักรหลิวอวิ๋นคนนั้นคือใครกัน ชิงลั่วเคยรู้จักงั้นหรือ
ไหหม่า(海馬)