อลวนรักหมอหญิงชิงลั่ว - ตอนที่ 288 ช่วงเวลาแห่งความวุ่นวาย
ตอนที่ 288 ช่วงเวลาแห่งความวุ่นวาย
ตอนที่ 288 ช่วงเวลาแห่งความวุ่นวาย
เย่ซิวตู๋คาดการณ์ได้ถูกต้อง เมื่อคนเหล่านั้นค้นหากองซากปรักหักพังดูหนึ่งรอบ แต่ก็ไม่พบผู้ใด ทั้งหมดจึงสบตากัน จ้องตรงไปที่กองขยะอย่างพร้อมเพียง
เมื่อได้ยินเสียงฝีเท้า เด็กหนุ่มก็ขดตัวเข้าไปอีกครั้ง และด้วยการขดตัวนี้จึงทำให้ถุงกระสอบนั้นขยับไหวขึ้นมา
ในไม่ช้า ที่ซ่อนตัวของเขาก็ถูกพบเจอเข้า
หนานหนานลอบถอนหายใจ และรู้สึกเสียใจเป็นอย่างมาก
แต่กลุ่มคนเหล่านั้นกลับหัวเราะออกมา และใช้ตะบองเปิดถุงกระสอบออก และหัวเราะให้เด็กหนุ่มที่ซ่อนตัวอยู่ใต้กองขยะเน่าเหม็น “ออกมาเสียเถิด ข้าจะดูว่าเจ้านั้นจะหลบไปได้อีกนานเท่าไหร่”
“ออกไป พวกเจ้าออกไปซะ” เด็กหนุ่มยิ่งขดตัวเข้าไปอีก ใบหน้าของเขาแดงก่ำขณะตะโกนใส่พวกเขาด้วยความโกรธ
คนพวกนั้นถอนหายใจอย่างเย็นชา เห็นได้ชัดว่าหลังจากไล่ตามมานานพวกเขาก็เริ่มหมดความอดทน จึงเดินขึ้นไปข้างหน้าและลากเด็กหนุ่มผู้นั้นออกมาจากกองขยะ จนกระแทกกับพื้นอย่างแรง หลังจากนั้นจึงยกเท้าขึ้นเตะเข้าไปที่ท้องเขาอย่างแรง
“อ่อนหัดเสียจริง วิ่งมาตั้งนานยังหนีไม่พ้นอีก? คาดไม่ถึงเลยว่าจะทำให้พวกเราเสียเวลานานเช่นนี้ เหนื่อยจะตายอยู่แล้ว”
“มาหลบอยู่ในที่แบบนี้ เหอะ ๆ ช่างเหม็นเสียจริง ออกมาเร็วเข้า กลับไปหานายท่านกับพวกข้า ”
ทั้งสี่คนเตะเข้าไปที่ท้องของเด็กหนุ่มอย่างดุเดือด
เด็กหนุ่มขดตัวด้วยความเจ็บปวด เขากุมท้องเอาไว้และกลิ้งไปบนพื้น ร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด “อย่ามาแตะต้องตัวข้า ไส่หัวไปซะ ไส่หัวไป ”
“ไอ้สวะ รีบออกมาเร็วเข้า นายท่านรอเจ้าอยู่นะ”
“นายท่านอะไร” จู่ ๆ เด็กหนุ่มก็เงยหน้าขึ้นแล้วจ้องมองอย่างเคียดแค้น หลังจากนั้นจึงกุมท้องเอาไว้และกัดฟันเอ่ยปากขึ้น “วิปริตกันไปหมด ไม่เคยมองคนว่าเป็นคนมาตั้งแต่แรก ข้ามาที่อาณาจักรเฟิงชาง เพื่อมาเข้าร่วมการประลองของทั้งสี่อาณาจักร ไม่ได้มาเพื่อให้องค์ชายเหล่านั้นเหยียบย่ำศักดิ์ศรี”
“ฮ่า ศักดิ์ศรีหรือ?” ทั้งสี่คนมองหน้ากัน จู่ ๆ ก็หัวเราะออกมา และชี้ไปที่เด็กหนุ่มที่นอนอยู่บนพื้นด้วยความเกลียดชัง “เจ้าต้องการศักดิ์ศรีรึ เช่นนั้นก็จงเข้าร่วมการประลองเสีย นายท่านบอกเจ้าไปแล้วไม่ใช่หรือ เพียงเจ้าชนะการแข่งขัน เขาก็จะไม่ทำให้เจ้าลำบากใจอีก และยังจะมาขอโทษด้วยตัวของเขาเอง”
เด็กหนุ่มเมื่อได้ยินก็เงียบลงทันที ร่างกายของเขาสั่นเทิ้มด้วยความโกรธขณะกำหมัดแน่น
“ทำไม? พูดไม่ออกแล้วรึ? ในเมื่อไม่มีอะไรจะพูดแล้วก็ไปกับพวกข้า อย่าให้พวกข้าต้องเปลืองแรงเลย ข้าจะบอกเจ้าไว้ ที่เจ้าหนีออกมาเช่นนี้ ทำให้พวกข้านั้นลำบากเป็นอย่างมาก”
เด็กหนุ่มถูกกระชากตัวขึ้นมาอย่างรุนแรง ทว่าเพียงเดินไปได้ไม่กี่ก้าว เขาก็เริ่มออกแรงดิ้นขึ้นมา “เดิมทีข้าเข้าร่วมการแข่งขันบุ๋น ไม่ได้เข้าร่วมการแข่งขันบู๊ เป็นเพราะว่านายท่านของเจ้าปล่อยหมาป่าออกมาสังหารบุรุษที่เข้าร่วมการแข่งขันบู๊ผู้นั้น พอตอนนี้ไม่มีคนก็จะให้ข้าไปแทน พวกเจ้าทำเช่นนี้ไม่ได้ ข้าเป็นบัณฑิต ต่อสู้ไม่เป็น ข้าไม่สามารถชนะได้อยู่แล้ว”
เมื่อพูดเช่นนี้ออกไปก็เป็นการตัดหนทางสุดท้ายของเขาออกไป พวกองค์ชายที่เลวทรามต่ำช้ากว่าสัตว์เดรัจฉานเหล่านั้น ไม่มีทางที่จะปล่อยเขาไปตั้งแต่แรกอยู่แล้ว
ชายหนุ่มโกรธจนขบฟันแน่น ต้องการที่จะหันหลังแล้วหนีไปเสีย
เพียงแต่หลังจากเดินไปไม่กี่ก้าว ทั้งสี่คนก็หมดความอดทน หนึ่งในพวกเขาเตะเข้าไปที่แผ่นหลังของเด็กหนุ่มอย่างไร้ความปรานี
“ไม่เห็นโลงศพไม่หลั่งน้ำตา เจ้าอยากตายตอนนี้เลยใช่หรือไม่ เช่นนั้นก็ดี ข้าจะสนองเจ้าเอง” คนผู้นั้นกล่าวเสร็จก็ได้โผเข้าไปหาเด็กหนุ่ม
เพียงแต่เข้าไปได้ไม่กี่ก้าว กลับถูกอีกสามคนหยุดเอาไว้
โชคดีที่พวกเขานั้นยังมีสติอยู่บ้าง พวกเขารู้ดีว่าถ้าสังหารใครสักคนโดยไม่ได้รับอนุญาต จะต้องถูกนายท่านของพวกเขาถลกหนังเมื่อกลับไปถึง จึงได้รั้งชายผู้นั้นเอาไว้ เมื่อมองดูรอบ ๆ แล้วไม่พบผู้ใด จึงหามเขาขึ้นมาและเดินไป
ตรอกยาว ๆ นั้นได้สงบลง นอกจากเศษซากปรักหักพังที่ถูกค้นออกมาจนเละเทะไปหมดก็ดูราวกับว่าที่นี่ไม่เคยมีผู้ใดเคยผ่านมาก่อน
หนานหนานอยู่ในอ้อมแขนของเย่ซิวตู๋ อารมณ์ที่ดีของเด็กน้อยนั้นหายไปแล้ว เขาค่อย ๆ ถอนหายใจออกมา
เด็กน้อยค่อย ๆ ก้มหน้าลงไปเพื่อสงบอารมณ์ หลังจากนั้นจึงเอ่ยขึ้นมาเบา ๆ “ท่านพ่อ ไปกันเถอะ”
เย่ซิวตู๋มองดูด้วยความประหลาดใจ และอุ้มเขากระโดดลงจากหลังคา ก่อนพบว่าเด็กน้อยนั้นมีท่าทางที่ดูซึม ๆ จึงเอ่ยถามขึ้น “ในเมื่อเจ้าดูสงสารเขา เหตุใดจึงไม่ออกไปช่วยเด็กหนุ่มผู้นั้น”
หนานหนานหันหน้ากลับมา และเหลือบมองชายหนุ่มอย่างขุ่นเคือง แววตานั้นฉายความรู้สึกดูถูกไว้เล็กน้อย “ท่านคิดว่าข้าไม่อยากเข้าไปช่วยหรือ? เพียงแต่ว่านั่นไม่ใช่คนธรรมดา นั่นคือผู้เข้าร่วมการประลองนะ ท่านพ่อ ข้าจะแถลงไขให้ท่านทราบ แม้หนานหนานนั้นจะกล้าหาญ มีแผนการ และมีใจที่จะช่วยเหลือ แต่ข้าก็ไม่สามารถช่วยได้ทุกคน”
ว่าพลางเด็กชายก็ถอนหายใจออกมา “ท่านยายเก๋อเคยบอกกับข้าว่าเรื่องระดับอาณาจักรต้องใจเย็น ๆ นอกจากนี้ท่านปู่ของข้าเป็นถึงฮ่องเต้นะ ดูจากการที่พระองค์ปฏิบัติต่อข้าเป็นอย่างดี ข้าไม่อาจทำให้พระองค์เดือดร้อนได้ ข้านั้นเอาใจใส่มาก ๆ”
เย่ซิวตู๋หัวเราะ ก่อนจะยื่นมือไปลูบหัวเด็กน้อย
สิ่งที่เด็กน้อยกล่าวมานั้นก็นับว่าถูก หากพวกเขาออกไปช่วยเด็กหนุ่มคนนั้น คงจะกลายเป็นเรื่องยุ่งยาก อีกฝ่ายคืออาณาจักรจิงเหลยอันลึกลับ ชายหนุ่มจึงไม่อยากที่จะไปเผชิญหน้า
เพียงแต่ เขาได้รับรู้ความหมายบางอย่างจากการสนทนาเมื่อครู่นี้ ดูเหมือนว่าเด็กหนุ่มผู้นั้นจะถูกบังคับให้เข้าร่วมในการประลองฝ่ายบู๊ ฮ่องเต้ของแคว้นจิงเหลยดูท่าน่าจะโหดร้ายมาก
“อ่า…” หลังจากนั้นเดินไม่กี่ก้าว ทันใดนั้นหนานหนานก็ดูเหมือนจะคิดอะไรบางอย่างได้ จู่ ๆ เด็กชายก็ส่งเสียงขึ้นมาเบา ๆ หลังจากนั้นก็หันไปมองเย่ซิวตู๋
ชายหนุ่มขมวดคิ้วและเอ่ยถามขึ้น “อะไรหรือ?”
“เมื่อครู่คนผู้นั้นบอกว่า เขาถูกบังคับให้เข้าร่วมการประลองฝ่ายบู๊ นั่นไม่ใช่คู่ต่อสู้ของข้าหรอกรึ?”
เย่ซิวตู๋ส่ายหน้าอย่างช่วยไม่ได้ “หนานหนาน ท่าทางของเด็กหนุ่มผู้นั้นดูจะอายุมากกว่าสิบปีแล้ว”
“ใช่น่ะสิ เรื่องนี้ข้ารู้ แล้วมันจะเป็นอย่างไรเล่า?”
แล้วมันจะเป็นอย่างไร? นี่เขาเป็นผู้เข้าแข่งขันการประลองสี่อาณาจักรจริงหรือไม่? กฎสักข้อก็ไม่เข้าใจ? “หนานหนาน คู่ประลองของเจ้าคือเด็กอายุห้าปีถึงสิบปี คู่ต่อสู้ในแต่ละการประลองก็ต่างกัน ”
เย่ซิวตู๋มั่นใจเป็นอย่างมากว่าในเวลาที่เสด็จพ่อ เย่หลานเฉิง หรือแม้แต่ตัวเขาเองบอกกฎในการแข่งขัน หนานหนานต้องไม่ฟังแน่ ๆ
หนานหนานเกาศีรษะตนเองด้วยท่าทางงุนงงเล็กน้อย หลังจากนั้นไม่นานเขาก็หัวเราะออกมาดัง ๆ ภายใต้ดวงตาของเย่ซิวตู๋ที่จับจ้องมา “อ่อ ที่แท้แล้วเป็นเช่นนี้เอง ข้าเข้าใจแล้ว”
เด็กน้อยหัวเราะด้วยความเขินอาย ในขณะที่เขาเงยหน้าขึ้นมา จู่ ๆ เขาก็ตกตะลึง
“เอ๊ะ พวกเราอยู่ที่กลางถนนเส้นหลักแล้วหรือ?”
“อ่า…” เย่ซิวตู๋เห็นว่าเด็กน้อยไม่ได้ฉุกคิดเรื่องของเด็กหนุ่มผู้นั้นแล้ว จึงสบายใจขึ้นมา และชี้ไปฝูงชนที่กำลังเคลื่อนที่อยู่ข้างหน้า “นั่นก็คือกลุ่มผู้เข้าแข่งขันจากแคว้นจิงเหลย”
เมื่อชายหนุ่มเอ่ยจบ ทันใดนั้นด้านหน้าก็เกิดความโกลาหล ก่อนจะมีเสียงกรีดร้องจากฝูงชน
……………………………………………………………………………………………………
สารจากผู้แปล
สงสารเด็กคนนั้นจัง เหมือนถูกส่งมาตายแท้ๆ ต้องไปแข่งในเรื่องที่ตัวเองไม่ได้ถนัด
ไหหม่า(海馬)