อลวนรักหมอหญิงชิงลั่ว - ตอนที่ 302 สมบัติของประชาชนต้องเป็นของประชาชนของหนานหนาน
ตอนที่ 302 สมบัติของประชาชนต้องเป็นของประชาชนของหนานหนาน
ตอนที่ 302 สมบัติของประชาชนต้องเป็นของประชาชนของหนานหนาน
หนานหนานนั่งโยกเยกอยู่บนรถม้าสักพัก เมื่อรู้สึกว่าไม่มีผู้ใดตามมาแล้ว จึงสั่งคนขับรถให้ไปที่เรือนรับรองของอาณาจักรหลิวอวิ๋น
เรือนรับรองแขกบ้านแขกเมืองในเมืองหลวงนั้นมีทั้งหมดสามแห่ง สร้างขึ้นเป็นพิเศษเพื่อการประลองของสี่อาณาจักร ซึ่งประกอบไปด้วยอาณาจักรหลิวอวิ๋น อาณาจักรจิงเหลย และอาณาจักรเทียนอวี่ที่อีกหนึ่งคืนจะเดินทางมาถึง ทั้งสามอาณาจักรล้วนได้อยู่ในเรือนรับรองที่ต่างกัน
ทั้งสามอาณาจักรมีกองกำลังมากมาย และแต่ละอาณาจักรต่างก็มีการป้องกันแน่นหนา จึงเป็นสาเหตุที่ไม่อาจจัดเตรียมให้พวกเขาพักอาศัยในที่เดียวกันได้
และเรือนรับรองของอาณาจักรหลิวอวิ๋นตั้งอยู่ในทิศตะวันออกเฉียงใต้ ห่างจากโรงเตี๊ยมที่หนานหนานอยู่ค่อนข้างไกล
เมื่อถึงที่หมาย ก็ใช้เวลาไปกว่าหนึ่งก้านธูปแล้ว
เด็กน้อยกำชับคนขับรถม้าให้ออกไป และแอบเดินเข้าไปสำรวจในตรอกที่อยู่ตรงข้ามของเรือนรับรองด้วยตัวคนเดียว
ผลปรากฏว่าเรือนรับรองแห่งนั้นได้รับการป้องกันจากทหารอย่างแน่นหนากว่าวันปกติ มากไปกว่านั้นในเรือนรับรองตอนนี้ยังมีคนขององค์รัชทายาทแห่งอาณาจักรหลิวอวิ๋น เช่นนั้นแล้วพวกเขาจึงไม่กล้าที่จะประมาท ทั้งประตูหน้าและประตูหลังต่างเต็มไปด้วยผู้คนมากมายคอยเฝ้ามอง เกรงว่าจะเข้ายากกว่าขึ้นสวรรค์เสียอีก
หนานหนานนั่งลงตรงบริเวณหน้าบันได ก่อนจะเอามือกุมศีรษะพลางครุ่นคิด ดวงตาของเด็กชายค่อย ๆ หรี่ลงมองดูผู้คนที่เฝ้าระวังอยู่ ครุ่นคิดอยู่เป็นเวลานานก็คิดไม่ออกแม้แต่น้อย จึงทำได้เพียงถอนหายใจเท่านั้น
เวลาผ่านไปหนึ่งเค่อ ในฝั่งของเรือนรับรอง จู่ ๆ ก็มีความเคลื่อนไหวเกิดขึ้น
ดวงตาของหนานหนานเป็นประกาย หลังจากนั้นเขาก็เงยหน้าขึ้นไปมอง จึงพบว่ามีเด็กท่าทางคล้ายกับตนถูกคนจับโยนออกมาจากบริเวณด้านใน ดูเหมือนว่าเด็กผู้นั้นจะตกที่นั่งลำบากเสียมาก ๆ ร่างกายอ่อนแอเต็มไปด้วยเลือด ราวกับว่าถูกคนทารุณมานานหลายวันอย่างไรอย่างนั้น
หนานหนานลุกขึ้นยืนทันที คิ้วเล็ก ๆ ของเด็กชายขมวดแน่นขณะจ้องมองเด็กผู้นั้น
ผู้ที่โยนเขาออกมาเป็นทหารท่าทางโหดร้ายสองคน และผู้ที่เดินตามหลังพวกเขาออกมาก็คือชายอายุห้าสิบกว่าปีที่สวมใส่ชุดขุนนางของอาณาจักรเฟิงชาง คิดดูแล้วก็น่าจะเป็นขุนนางที่คอยต้อนรับอยู่ที่เรือนรับรองแห่งนี้
ชายผู้นั้นจ้องมองเด็กชายอย่างดูหมิ่น หลังจากนั้นจึงขมวดคิ้วและเอ่ยขึ้น “เจ้ากล้าหาญไม่น้อยเลยนะที่มาขโมยของจากเรือนรับรองแห่งนี้ ช่างไม่รู้จักความเป็นความตายเสียแล้ว เด็กอย่างเจ้าน่าจะถูกทุบให้ตายตั้งแต่เกิดมา ถ้าไม่ใช่เพราะความเมตตาขององค์รัชทายาท ชีวิตน้อย ๆ ของเจ้าก็คงจะจบลงที่นี่ รีบ ๆ ออกไปซะ และอย่ากลับมาที่แห่งนี้อีก ไม่เช่นนั้นเจ้าได้ตายจริง ๆ แน่ ครอบครัวเจ้าก็เช่นกัน ”
เด็กน้อยที่ฟุบอยู่บนพื้นค่อย ๆ ขยับยันตัวขึ้น ตามร่างกายยังคงมีเลือดไหลออกมา มองดูแล้วน่าเวทนายิ่งนัก เขาถูกทุบตีจนแทบจะลุกขึ้นมาไม่ไหวด้วยซ้ำ ขุนนางวัยกลางคนขมวดคิ้วและโบกมือ เพื่อให้คนข้างกายของเขานั้นจับเด็กผู้นั้นโยนออกไปอีก ไม่ให้อยู่แม้กระทั่งบริเวณด้านหน้าของเรือนรับรอง
หนานหนานพองแก้มและรู้สึกไม่สบายใจเป็นอย่างมาก เด็กน้อยวิ่งเข้าไปโดยที่ไม่รอให้ทหารสองนายนั้นลงมือ และประคองเด็กน้อยขึ้นมาด้วยความระมัดระวัง
หลังจากนั้นจึงจ้องเขม็งไปที่ขุนนางวัยกลางคนผู้นั้น และเอ่ยขึ้นอย่างเย็นชา “เจ้าไม่ต้องโยนเขาอีกครั้ง ข้าจะประคองเขาออกไปเอง ส่วนเจ้าก็รีบใสหัวไปซะ”
“เจ้า…” ขุนนางวัยกลางคนผู้นั้นตกตะลึง และแววตาก็เปี่ยมไปด้วยโทสะ เด็กตัวเล็กแค่นี้กล้าดีอย่างไรจึงมาหยาบคายกับเขาได้ถึงเพียงนี้
ชายวัยกลางคนต้องการที่จะก้าวออกไปสั่งสอนเด็กน้อยสักหน่อย แต่ด้านในจู่ ๆ ก็มีคนที่ท่าทางดูเหมือนขันทีวิ่งออกมา และเอ่ยเรียกชายผู้นั้น “ใต้เท้าอวี้ ใต้เท้าอวี้ องค์ชายสิบสามบอกว่าอยากรับประทานอาหารเลิศรสของเมืองหลวงแห่งนี้ ท่านรีบให้คนไปซื้อเสียเถิด”
หนานหนานตกตะลึง ฝีเท้าที่จะก้าวไปข้างหน้าก็หยุดลงอย่างกะทันหัน
ขุนนางผู้นั้นสกุลอวี้เช่นกันหรือ? เหตุใจจึงบังเอิญเช่นนี้ หรือว่าสกุล ‘อวี้’ ในเหมืองหลวงแห่งนี้เป็นตระกูลใหญ่ และมีคนมากมาย?
หนานหนานยังคงสับสนว่าเหตุใดทหารและขุนนางของเรือนรับรองแห่งนี้จึงขับไล่ผู้คน อีกทั้งขุนนางวัยกลางคนผู้นั้นยังถูกเรียกว่าใต้เท้าอวี้ซึ่งเป็นแซ่เดี๋ยวกับท่านแม่ แต่เหตุใดจึงได้ประพฤติตนเช่นนี้เล่า? เมื่อครุ่นคิดเสร็จ หนานหนานจึงได้รีบวิ่งเข้าไปข้างใน เพราะต้องการจะมองดูว่าผู้ใดคือองค์ชายสิบสาม
หนานหนานถอนหายใจอย่างเย็นชา และค่อย ๆ ประคองเด็กน้อยที่ดวงตากำลังจะปิดลงเข้าไปในตรอก
เมื่อรอให้มองไม่เห็นทหารประจำเรือนรับรองเล้ว หนานหนานจึงค่อย ๆ ประคองเด็กผู้นั้นลงด้วยความระมัดระวัง ก่อนจะเอ่ยถามเบา ๆ “นี่ เจ้าเป็นเช่นไรบ้าง?”
“ขอบ…ขอบคุณมาก ๆ ” และเด็กชายผู้นั้นก็ได้ตื่นขึ้น เขาเหลือบตามองหนานหนาน และฝืนยิ้มออกมา
หนานหนานถอนหายใจ ก่อนจะหันกลับไปหยิบขวดยาจากกระเป๋าของตนที่พกมา ไม่นานนักเด็กชายก็หยิบขวดกระเบื้องเคลือบออกมาสองใบ อันหนึ่งเป็นยาเม็ด และอีกอันเป็นยาขี้ผึ้ง
“อันนี้คือยากินที่แม่ของข้าคิดค้น เจ้ากินลงไปแล้วชีวิตนี้ของเจ้าก็จะไม่สิ้นไป แต่ยาทาอันนี้ รอให้บาดแผลของเจ้านั้นล้างน้ำสะอาดเสียก่อนจึงค่อยทายา อ้อ บ้านของเจ้าอยู่แห่งใดกัน?”
เด็กชายผู้นั้นตกตะลึง ร่างกายเล็ก ๆ ก็สั่นเทาขึ้นมา ก่อนรับเม็ดยาที่หนานหนานส่งให้และกินลงไปด้วยความสับสน
ผ่านไปสักพัก เด็กชายจึงค่อย ๆ เอ่ยขึ้นเบา ๆ “ข้าไม่มีบ้าน ข้าเป็นขอทาน สองวันมานี้ข้าหิวเป็นอย่างมาก และช่วงนี้เรือนรับรองนั้นคึกคักมาก มีของดี ๆ มากมาย ข้าจึงแอบเข้าไปขโมยของ คาดไม่ถึงว่าจะโดนจับได้”
ไม่มีบ้าน? หนานหนานรู้สึกลำบากใจเล็กน้อย เด็กน้อยเกาหัวและเริ่มครุ่นคิด เช่นนั้นแล้วควรจะไปส่งเขาที่ไหนดี?
เมื่อกำลังคิดอยู่ เรือนรับรองข้างหน้าก็มีการเคลื่อนไหวเล้กน้อย
ใต้เท้าอวี้คนเมื่อครู่ได้เดินออกมาอีกครั้ง และอธิบายกับองครักษ์ที่อยู่ข้าง ๆ ไม่กี่ประโยค ก่อนที่องครักษ์ผู้นั้นจะจากไป
หนานหนานตกตะลึง และนึกถึงคำพูดของขันทีผู้นั้นก่อนที่จะจากไปได้ทันที หรือว่าองครักษ์ผู้นั้นจะออกไปซื้ออาหารให้อะไรสักอย่าง อะไรนะ องค์ชายสิบสามงั้นหรือ?
ดวงตาของเด็กน้อยเป็นประกาย หลังจากนั้นจึงก้มศีรษะเอ่ยกับเด็กชายที่ค่อย ๆ เอนกายพิงเข้ากับกำแพง “ร่างกายเจ้าบาดเจ็บค่อนข้างหนัก ตรงนี้ห่างจากโรงหมอไม่กี่ร้อยหมี่ ข้าคนเดียวไม่สามารถพาเจ้าไปได้ เอาแบบนี้ เจ้ารอตรงนี้ก่อน ข้าจะไปหาหมอที่โรงหมอให้มาช่วยเจ้า และถือโอกาสซื้อของกินเล็กน้อยมาให้เจ้าเป็นอย่างไร?”
เด็กน้อยค่อย ๆ เงยหน้าขึ้นอย่างตกตะลึง ก่อนจะพบเข้ากับหนานหนานที่ดวงตาเป็นประกาย ราวกับว่ากำลังรอคอยอยู่
ดูเหมือนว่าเด็กน้อยไม่มีอำนาจที่จะปฏิเสธ เขาได้รับบาดเจ็บสาหัสขนาดนี้ จะสามารถทำอะไรได้อีก?
“ก็ได้” เด็กชายทำได้เพียงพยักหน้าตอบรับเบา ๆ และไม่ได้เอ่ยอะไรออกมา เขามีสติสัมปชัญญะดี หนานหนานไม่มีเหตุผลที่จะไปตามหมอให้เขาหรอก ดังนั้นจึงไม่ได้คาดหวังสิ่งใด ปรารถนาเพียงจะพักสักประเดี๋ยว แล้วค่อยจากไปอย่างเงียบ ๆ
หนานหนานหัวเราะออกมา ก่อนที่จะหันหลังวิ่งจากไป
หลังจากวิ่งไปได้ไม่กี่ก้าว เด็กน้อยก็เดินตามองครักษ์อย่างเงียบ ๆ และค่อยเฝ้าดูเขาจากที่หนึ่งไปอีกที่หนึ่ง เพื่อซื้ออาหารเลิศรสแห่งอาณาจักรเฟิงชาง
เมื่อองครักษ์พร้อมที่จะกลับ ในขณะที่ไม่ทันได้ตั้งตัวนั้น อาหารเหล่านั้นก็ถูกหนานหนานขโมยไป
นี่เป็นทรัพย์สมบัติที่ได้มาโดยมิชอบ นี่เป็นสมบัติของประชาชนที่ต้องเป็นของประชาชน หนานหนานคิดอย่างนั้น
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่หนานหนานไม่รู้ก็คือ อวี้เป่าเอ๋อร์ที่ไปไกลแล้วรู้สึกเป็นห่วงหนานหนานมาก หลังจากที่แยกจากผู้พิทักษ์ทมิฬ เด็กชายก็ขอให้คนควบคุมรถม้ากลับรถม้าเพื่อตรงไปยังเรือนรับรองทันที
……………………………………………………………………………………………………
สารจากผู้แปล
เจอกับท่านตาแล้วหรือเปล่านะหนานหนาน
ไม่ใช่ว่าคนตระกูลอวี้มาเจอกันหมดเลยนะ
ไหหม่า(海馬)