อลวนรักหมอหญิงชิงลั่ว - ตอนที่ 307 เขาเป็นคนบ้า
ตอนที่ 307 เขาเป็นคนบ้า
ตอนที่ 307 เขาเป็นคนบ้า
ฉีหานเทียนหันมามองด้วยความประหลาดใจ ฉีจ้านกลับดึงมือกลับไป พูดกับเขาอย่างนอบน้อมว่า “องค์ชายน้อย ข้าน้อยมีธุระต้องไปเจอรัชทายาท ขอตัวลา”
ไปหาท่านพี่รัชทายาท? ฉีหานเทียนบุ้ยปาก ทว่าเขาไม่กล้าทำตัวเหิมเกริมต่อหน้ารัชทายาท จึงพยักหน้าเบา ๆ เป็นการอนุญาตให้เขาออกไป
ฉีจ้านสาวเท้าด้วยความรีบร้อน นำทหารองครักษ์รีบมุ่งหน้าไปยังที่พักของรัชทายาท
โชคดีที่องค์รัชทายาทและองค์ชายสิบสามเป็นพี่น้องแท้ ๆ ความสัมพันธ์ของพวกเขาทั้งคู่จึงถือว่าไม่เลว ที่พักก็อยู่ติดกันด้วย ด้วยเหตุนี้ใช้เวลาเพียงครู่เดียว ฉีจ้านก็มายืนอยู่หน้าประตูห้องของฉีหานเว่ยแล้ว เขาพูดด้วยความนอบน้อมน้ำเสียงทุ้มต่ำว่า “รัชทายาท”
ฉีหานเว่ยกำลังครุ่นคิดเกี่ยวกับเรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้ของอาณาจักรจิงเหลยอยู่ เมื่อได้ยินเสียง จึงยกฝ่ามือขึ้นเล็กน้อยให้เขาเข้ามา
“มีธุระอะไร?”
“ฝ่าบาท แม่นางที่เคยช่วยรัชทายาทและองค์ชายสิบสามเมื่อหนึ่งเดือนก่อนปรากฏตัวแล้วขอรับ”
ฉีหานเว่ยชะงัก รีบลุกขึ้นมานั่งบนเบานุ่มมองฉีหานด้วยสายตาเป็นประกาย “นางอยู่ที่ใด?”
ฉีจ้านยื่นปายแผ่นนั้นออกไป “เมื่อครู่ทหารองครักษ์นำมาให้ คนที่นำมาให้แจ้งว่า นายท่านของพวกเขาต้องการพบหน้าองค์รัชทายาท ตอนนี้กำลังยืนรออยู่นอกประตูขอรับ”
“เราเพิ่งมาถึงอาณาจักรหลิวอวิ๋น นางก็มาทันที หรือว่านางมีเรื่องต้องการให้ช่วยเหลือ?” ฉีหานเว่ยหรี่ตาลง ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะลุกขึ้นยืน “ไป ออกไปดูสักหน่อย”
“ขอรับ” ฉีหานพยักหน้าเบา ๆ ก่อนจะเดินตามออกไป
เขารู้สึกประทับใจต่อแม่นางผู้นั้นเป็นอย่างมาก ทักษะทางการแพทย์ของนางไม่เหมือนใคร ฉลาดและซื่อตรง ระหว่างการสนทนาก็ยังแสดงให้เห็นถึงจิตวิญญาณ ตอนนั้นคิดไว้ว่าหากครั้งหน้าได้พบหน้ากันอีกครั้ง เขาจะต้องแสดงความขอบคุณอย่างดี คิดไม่ถึงเลย นี่เพิ่งจะผ่านไปแค่หนึ่งเดือนก็ได้เจอกันอีกครั้งแล้ว
ระหว่างที่ฉีจ้านกำลังครุ่นคิด เขาก็ค้นพบว่าฉีหานเว่ยที่เดินอยู่ด้านหน้าเพิ่มความเร็วฝีเท้าขึ้นแล้ว เขาจึงชะงักไปครู่หนึ่งและรีบเดินตามไป
ทั้งคู่เพิ่งจะเดินผ่านด้านนอกเรือนของฉีหานเทียน จู่ ๆ ก็ได้ยินเสียงดังออกมาจากด้านใน
ฉีหานเว่ยชะงัก รีบหมุนเท้าผลักประตูห้องของฉีหานเทียนในทันที ขมวดคิ้วถาม “เกิดอะไรขึ้น?”
“ใต้เท้าอวี้ ท่านกำลังทำอะไร? อยู่ดี ๆ กลับโยนขนมของเราทิ้งลงพื้นจนหมด ท่านตั้งใจสินะ” ภายในห้องมีเสียงอาละวาดของฉีหานเทียนดังลั่นราวกับอสนีบาต นิ้วมือสั่นระริกชี้ไปที่อวี้เจี้ยนต๋าที่คุกเข่าอยู่บนพื้น เดือดเป็นฟืนเป็นไฟ “แถมยังกล้าทำให้เสื้อผ้าของเราสกปรก ท่านกล้ามากนะ กล้าหาญนักนะ”
ร่างกายของอวี้เจี้ยนต๋าสั่นระริกอยู่สองหน สีหน้าเปลี่ยนเป็นขาวโพลนทันใด หน้าผากมีเหงื่อผุดออกมาไม่หยุดราวกับแช่น้ำ
แต่ถึงจะเป็นเช่นนี้ เขาก็ยังหันไปมองอวี้เป่าเอ๋อร์ที่กำลังนั่งคุดคู้อยู่ที่พื้นทางฝั่งนั้นเป็นครั้งคราวด้วยความตกใจ
“เกิดอะไรขึ้น?” ฉีหานเว่ยก้าวเท้าเข้ามาด้านในห้อง จ้องมองฉากที่อยู่ตรงหน้า น้ำเสียงก็เย็นชาขึ้นเล็กน้อย
ฉีหานเทียนถึงกับก้าวเท้าวิ่งเข้ามาตรงหน้าเขาและเริ่มร้องทุกข์ทันใด “ท่านพี่รัชทายาท ข้าว่าฮ่องเต้ของอาณาจักรเฟิงชางจงใจแน่ ๆ ถึงได้ส่งคนแบบนี้มาดูแลพวกเราภายในเรือนรับรอง สั่งให้เขาทำทุกอย่างให้มีปัญหา ท่านดูสิ ตอนนี้ยังกล้าทำถาดหล่นต่อหน้าข้าอีก”
อวี้เจี้ยนต๋ารีบคุกเข่าหันศีรษะ โขกศีรษะลงบนพื้นแรง ๆ ต่อหน้าฉีหานเว่ยที่ยืนอยู่ข้างประตู “รัชทายาทได้โปรดให้อภัยด้วย ข้าน้อย ข้าน้อยไม่ได้มีเจตนาทำให้องค์ชายสิบสามตกใจ เพียงแต่เด็กคนนี้คือบุตรชายของข้าน้อย ข้าน้อยก็เลย…เกิดอาการประหม่าชั่วขณะหนึ่ง จึงทำถาดพลิกคว่ำขอรับ”
“บุตรชายของท่าน?” องค์ชายสิบสามประหลาดใจ จ้องมองอวี้เจี้ยนต๋าตั้งแต่หัวจรดเท้าด้วยความตกตะลึง ก่อนจะชี้ไปที่อวี้เป่าเอ๋อร์พร้อมกับตะโกนเสียงดัง “ท่านพูดว่า…ท่านพูดว่าคนคนนี้ที่เป็นภัยต่อเราคือบุตรชายของท่านงั้นรึ?”
เป็นภัยต่อองค์ชายสิบสาม?
อวี้เจี้ยนต๋าลนลานจนหน้าขาวซีดยิ่งขึ้น รีบส่ายหน้าตอบ “องค์ชายสิบสามเข้าใจผิดแล้ว เป่าเอ๋อร์อายุยังน้อย เขาจะเป็นภัยต่อท่านได้อย่างไรกัน? เขาเพียงแค่ เพียงแค่…อ๋อ จริงด้วย เป่าเอ๋อร์รู้ว่าหลายวันมานี้ข้าน้อยทำงานยุ่งอยู่ที่เรือนรับรอง ก็เลยแวะมาหา เขาแค่มาหาข้าน้อยขอรับ”
อวี้เจี้ยนต๋าย่อมทราบดีว่าเมื่อครู่องค์ชายสิบสามจับตัวเด็กที่อยู่ด้านนอกประตูเข้ามา แต่คิดไม่ถึงเลยว่าเด็กคนนั้นจะเป็นลูกชายที่หายตัวไปติดต่อกันหลายวันของเขา
เขารู้สึกกังวลใจอย่างมาก แม้ว่าโดยปกติเขาจะไม่ค่อยใส่ใจอวี้เป่าเอ๋อร์เท่าไรนัก แต่ถึงอย่างไรเด็กคนนี้ก็เป็นผู้สืบสกุลเพียงหนึ่งเดียวของตระกูลอวี้ ไม่ว่าอย่างไรก็ปล่อยให้เกิดเรื่องอะไรขึ้นกับเขาไม่ได้
องค์ชายสิบสามแค่นเสียงเยาะเย้ย “มาหาท่าน?” เขากระชากตัวอวี้เป่าเอ๋อร์ให้ลุกขึ้น แค่นเสียงกล่าวว่า “ใต้เท้าอวี้ คำพูดนี้ของท่านคงผิดแล้วล่ะ ตอนที่เขาบีบคอเรา เขาบอกว่ามาหาเด็กอายุห้าขวบคนหนึ่ง หรือว่าใต้เท้าอวี้กลายเป็นเด็กอายุห้าขวบไปแล้ว?”
ฉีหานเว่ยขมวดคิ้ว ภายในใจรู้สึกไม่สบอารมณ์
อวี้เจี้ยนต๋ากลับสูดลมเย็นเข้าปากแรง ๆ บีบคอองค์ชายสิบสาม?
เขารีบก้าวเท้าไปด้านหน้าสองสามก้าว เรียกอวี้เป่าเอ๋อร์ “เป่าเอ๋อร์ รีบขอโทษองค์ชายสิบสามเร็วเข้า”
อวี้เป่าเอ๋อร์ถูกตบไปหลายครั้ง มุมปากจึงแตกเป็นแผล ทว่าเขากลับเม้มปากถลึงตาใส่องค์ชายสิบสาม ไม่ได้ฟังคำพูดของอวี้เจี้ยนต๋า เพียงแต่ถามอย่างไม่หยุดว่า “เจ้าพาตัวหนานหนานไปซ่อนไว้ที่ใด? นำตัวเขาออกมา”
“ใต้เท้าอวี้ ท่านได้ยินหรือยัง? เขาไม่ได้มาหาท่านด้วยซ้ำ ท่านไม่ต้องขอโทษแทนเขาหรอก เหอะ คิดไม่ถึงเลยว่าจะพ่นน้ำลายใส่เรา วันนี้หากไม่ฆ่าเขาให้ตาย ก็อย่ามาเรียกเราว่าฉีหานเทียน”
อวี้เจี้ยนต๋าดวงตาเบิกกว้างด้วยความตื่นตกใจ ร่างกายสั่นเทิ้มรีบส่ายหน้ากล่าวว่า “องค์ชายสิบสาม เป่าเอ๋อร์ป่วย จริง ๆ นะขอรับ เขาป่วยเป็นโรค ดังนั้นจึงพูดจาไม่ให้ความเคารพต่อองค์ชายสิบสาม เป็นเพราะข้าน้อยไม่ดี ข้าน้อยไม่ดูแลเขาให้ดี ปล่อยให้เขาออกมาวิ่งเพ่นพ่าน”
“ป่วย?”
“ขอรับ เรื่องนี้เพื่อนบ้านในละแวกนี้ต่างก็รู้ดี เขาสติไม่ดีตั้งแต่ยังเล็ก แม้ว่าหมอจะบอกว่าไม่ได้ร้ายแรงอะไร แต่ก็มีอาการกำเริบเป็นครั้งคราว หากอาการกำเริบขึ้นมาก็จะวิ่งออกมาเพ่นพ่านข้างนอก จริง ๆ นะขอรับ ข้าน้อยมิกล้าหลอกลวง หากองค์ชายสิบสามไม่เชื่อ จะส่งคนไปตรวจสอบก็ย่อมได้”
ฉีหานเทียนยิ้มเยาะ “ท่านคิดว่าเรื่องแค่นี้ ต้องให้เราส่งคนไปตรวจสอบเป็นพิเศษงั้นรึ?”
“พอได้แล้ว!” ฉีหานเว่ยตวาดเสียงเย็น เขารู้สึกได้ว่าเป็นเรื่องตลกเรื่องหนึ่ง เขาจึงไม่มีกะจิตกะใจที่จะเข้าร่วม
ทว่าฉีหานเทียนกลับยังคงพยายาม “ท่านพี่รัชทายาท พออะไรกันล่ะ? เขาบีบคอข้าเชียวนะ ข้าเติบโตมาขนาดนี้ เสด็จพ่อกับเสด็จแม่ยังไม่เคยบีบคอข้าเลย ไม่ได้ ในเมื่อใต้เท้าอวี้บอกว่าเขาสติไม่ดี เช่นนั้นข้าก็จะเรียกหมอของเรือนรับรองมาดูอาการว่าเขาป่วยจริง ๆ หรือไม่”
ฉีหานเว่ยแค่นเสียงเย็น มองดูอวี้เจี้ยนต๋าที่ใบหน้าเต็มไปด้วยความกังวล คิ้วขมวดเข้าหากันพลางกล่าวเสียงขรึม “เรากำลังจะออกไปเจอหมอที่มีทักษะทางการแพทย์ชั้นสูงพอดี ในเมื่อใต้เท้าอวี้บอกว่าคุณชายป่วยเป็นโรค เช่นนั้นก็เชิญหมอท่านนั้นเข้ามาตรวจดูอาการ หากเขาเป็นบ้าจริง ๆ เรื่องที่เขาสร้างความขุ่นเคืองให้สิบสาม โบยสักหนก็จบ ๆ กันไป แต่ถ้าเขาไม่ได้ป่วย…ใต้เท้าอวี้ การหลอกลวงองค์ชายไม่ใช่ความคิดที่ชาญฉลาดนัก”
อวี้เจี้ยนต๋าถึงกับตกใจ ใจเต้นรัวดังตีกลอง แม้เขาจะทราบดีว่าอวี้เป่าเอ๋อร์สติฟั่นเฟือน แต่ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด เมื่อได้ยินรัชทายาทกล่าวด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึมเช่นนี้ กลับทำให้เขาตกใจอย่างห้ามไม่อยู่
ฉีหานเว่ยแค่นเยาะหนึ่งเสียง ก่อนหมุนกายเดินไปที่ประตูใหญ่ของเรือนรับรอง
…………………………………………………………………………………………………… สารจากผู้แปล
ตัวตนของชิงลั่วจะแตกโพละตอนนี้ไหมนะ เกิดน้องเรียกว่าพี่ขึ้นมานี่จบเลย
ไหหม่า(海馬)