อลวนรักหมอหญิงชิงลั่ว - ตอนที่ 336 อวี๋จั้วหลินถูกเตะจนกระอัก
ตอนที่ 336 อวี๋จั้วหลินถูกเตะจนกระอัก
ตอนที่ 336 อวี๋จั้วหลินถูกเตะจนกระอัก
อวี๋จั้วหลินเงยหน้าขึ้น สายตาของเขาประสานเข้ากับสายตาให้กำลังใจของเย่ซิวตู๋พอดี เขาจึงไม่สนใจสถานะอันต้อยต่ำของตนเองอีกต่อไป จึงได้แค่นเสียงเย็นกล่าวว่า “อุปราชบอกว่า ไม่ว่าขันทีผู้นี้จะทำอะไรผิดก็จะไม่ตำหนิเขา เช่นนั้นหากเขาลอบสังหารอุปราชเล่า? ก็จะไม่ลงโทษเขาเช่นกันรึ?”
ครั้นอวี๋จั้วหลินเอ่ยปากถามดังนั้น อวี้ชิงลั่วก็ถึงกับมุมปากกระตุกวูบ
สายตาเฉียบคมของซ่างกวนจิ่นมองมาที่เขาทันใด พลางยิ้มเยาะติดต่อกัน “เจ้าเป็นใคร คนอย่างเจ้ามีสิทธิ์อะไรมาสนทนากับเรา?”
แม้ภายในใจของอวี๋จั้วหลินจะรู้สึกหวาดหวั่น ทว่าเมื่อได้ยินคำพูดนี้ ความโกรธก็พลันปะทุขึ้นอย่างมหาศาล เดิมทีสถานะของเขาไม่ได้ต้อยต่ำอะไร เพียงแต่ช่วงนี้เขาถูกลดตำแหน่งก็เท่านั้น การวางท่าทางเป็นทางการนั้น ก่อนหน้านี้เขาก็เคยทำจนชินแล้ว นอกจากนี้ ตอนนี้ไม่ว่าจะพูดอะไรก็จะปล่อยให้เสียหน้าไม่ได้ มิเช่นนั้นท่านอ๋องซิวคงได้ดูถูกเขาเป็นแน่
เขาจึงกล่าวอย่างเกรี้ยวโกรธว่า “กระหม่อมก็แค่พูดความจริง อุปราชคิดจะใช้อำนาจเพื่อข่มเหงคนอื่นงั้นรึ?”
เดิมทีซ่างกวนจิ่นเป็นผู้ที่อยู่สูงสุดเสมอ แม้แต่องค์ชายภายในอาณาจักรจิงเหลยเหล่านั้นก็ยังไม่กล้าพูดเช่นนี้กับเขา ครานี้มาถึงอาณาจักรเฟิงชางแล้ว แค่ถามถึงขันทีตัวเล็ก ๆ คนหนึ่ง กลับมีคนต่อต้านเขามากเช่นนี้ เขาอับอายจนไม่รู้จะเอาหน้าไปซุกไว้ที่ไหนแล้ว
หากเป็นเย่ซิวตู๋ หลีจื่อฟาน หรือองค์ชายรองของอาณาจักรเทียนอวี่ยังพอทน ดูจากสถานะของพวกเขาที่ไม่ได้ต่ำต้อยและไม่ใช่แค่คนธรรมดา เขาจึงไม่คิดเล็กคิดน้อย แต่ตอนนี้ คนอื่น ๆ ยังไม่เปิดปากพูดอะไร ขุนนางตัวเล็ก ๆ ที่นั่งอยู่ปลายแถวเช่นนี้กลับกล้าพูดจาเสียงดังใส่เขา แล้วจะให้อุปราชของอาณาจักรจิงเหลยอย่างเขาเอาหน้าไปไว้ที่ใด?
ซ่างกวนจิ่นยิ้มเยาะ เขาอยู่ห่างจากอวี้ชิงลั่วสองก้าว กวาดสายตาสำรวจอวี๋จั้วหลิน แล้วกล่าวด้วยท่าทีหยิ่งผยองว่า “ดี ในเมื่อใต้เท้าอวี๋กล่าวว่าเราใช้อำนาจกดขี่ข่มเหงผู้อื่น เช่นนั้นเราก็จะเปลี่ยนวิธีใหม่ ดูซิว่าใต้เท้าอวี๋ยังมีสิทธิ์มาพูดกับเราอีกหรือไม่ ได้ยินว่าใต้เท้าอวี๋เคยมีชื่อเสียงด้านจอหงวนฝ่ายบู๊ ทั้งยังเป็นแม่ทัพหนุ่ม ฝีไม้ลายมือย่อมไม่เลว เช่นนั้นใต้เท้าอวี๋ก็มาประลองกับเราดีหรือไม่ เพื่อป้องกันมิให้ใต้เท้าอวี๋กล่าวหาว่าเรามีดีแค่ใช้อำนาจกดขี่ข่มเหงผู้อื่น แต่มิอาจทำให้ผู้คนเลื่อมใสจากใจจริงได้”
อวี๋จั้วหลินชะงัก หัวคิ้วขมวดเข้าหากันเล็กน้อย
ภายในพระทัยของฮ่องเต้แอบเกิดความลังเล พระองค์คิดไม่ถึงว่าอวี๋จั้วหลินจะพูดโพล่งออกมา ทั้งยังสร้างความขุ่นเคืองให้อุปราชอย่างตรงไปตรงมา ก่อนหน้านี้อวี๋จั้วหลินก็เป็นคนที่ทำตัวนิ่งสงบ เหตุใดมาวันนี้กลับทำตัวประมาทเช่นนี้
“อะไรกัน ใต้เท้าอวี๋ไม่กล้ารึ? จอหงวนฝ่ายบู๊ของอาณาจักรเฟิงชาง มีความกล้าแค่นี้เองรึ?” ซ่างกวนจิ่นมองเขาด้วยสายตาเย้ยหยัน
เห็นได้ชัดว่าคำพูดนี้กำลังยั่วยุ หากอวี๋จั้วหลินไม่ตอบตกลง เช่นนั้นคนที่ต้องเสียหน้าคงไม่ได้มีแค่เขาเพียงคนเดียว
ฮ่องเต้ที่ประทับอยู่ด้านบนลอบกำนิ้วพระหัตถ์เงียบ ๆ แม้ว่าภายในพระทัยจะรู้สึกไร้ความสุข ทว่าสีพระพักตร์กลับเจือด้วยรอยยิ้ม “รองเจ้ากรมอวี๋ ท่านและอุปราชก็แลกเปลี่ยนความรู้ดูเถิด แต่อย่าได้ทำร้ายร่างกายให้อันตรายถึงชีวิต”
“กระหม่อมน้อมรับพระบัญชาพ่ะย่ะค่ะ” อวี๋จั้วหลินเป็นถึงแม่ทัพ เขาย่อมรู้ดีว่าทักษะการต่อสู้ของตนเองมิได้ต่ำเตี้ยเรี่ยดิน การรับมือกับอุปราชเช่นนี้ เขาเองก็มีความคิดอยากแข่งขันอยู่บ้าง
ยิ่งไปกว่านั้น ในคราก่อนตอนที่มีการประลองของหมอปีศาจ เขาถูกนักฆ่าที่เวยเยวี่ยนโหวส่งมาทำร้ายร่างกาย ทั้งยังรบกวนให้ท่านอ๋องซิวช่วยเหลือแม่นางชิงอีก เรื่องนั้นทำให้อวี๋จั้วหลินแอบกังวลใจ เพราะเขามักจะรู้สึกเสียหน้า ทั้งยังมีความคิดอยากอวดศิลปะการต่อสู้ต่อหน้าท่านอ๋องซิวให้ได้ประจักษ์ เพื่อจะได้บอกให้อีกฝ่ายรับรู้ว่าเขาเองก็เป็นคนมีความสามารถ
ตอนนี้ถือเป็นโอกาสที่หาได้ยากยิ่ง เมื่อเป็นเช่นนี้ ก็น้อมรับพระบัญชาอย่างนอบน้อมยังจะดีเสียกว่า
อวี๋จั้วหลินเดินออกมาจากที่นั่งของตนเอง ก่อนจะมายืนตรงกลางลานกว้าง
แม้ว่าจะเป็นการศึกษาแลกเปลี่ยนความรู้ซึ่งกันและกัน แต่คนที่นั่งอยู่ที่นี่ต่างก็เป็นผู้มีสถานะสูงส่ง ดาบกระบี่ไม้ตะบองจะนำมาใช้ไม่ได้ เพื่อป้องกันไม่ให้อีกฝ่ายได้รับบาดเจ็บโดยไม่ทันได้ระวัง จึงต้องใช้เพียงหมัดและเท้า
เย่ซิวตู๋เหลือบมองอวี้ชิงลั่วปราดหนึ่งแล้วแย้มยิ้ม ก่อนจะยกแก้วสุราขึ้นมาจิบหนึ่งคำ
จู่ ๆ อวี้ชิงลั่วกลับเกิดความคิดอยากดูเรื่องสนุกขึ้นมา ซ่างกวนจิ่นและอวี๋จั้วหลินงั้นหรือ นี่เป็นสิ่งที่พบเห็นได้ยากเชียวนะ
อวี๋จั้วหลินอาจไม่รู้ว่าฝีมือของซ่างกวนจิ่นเป็นเช่นไร แต่อวี้ชิงลั่วเคยเห็นด้วยตามาก่อน ตอนที่เขาลักพาตัวนางตอนนั้น ฝีมือนั่น…จุ๊ ๆ คนที่อยู่ในงานเกรงว่าคงมีแค่เย่ซิวตู๋เพียงคนเดียวที่เป็นคู่ต่อสู้ของเขาได้
อวี้ชิงลั่วเดินไปข้าง ๆ อย่างถ่อมตน พยายามทำให้ตนเองเป็นอากาศที่ไม่มีใครสนใจให้มากที่สุด ทว่าภายในใจกลับเริ่มตื่นเต้นขึ้นมาแล้ว อวี๋จั้วหลินผู้นั้นเป็นคนอวดดี หลังจากตนเองได้รับจอหงวนฝ่ายบู๊ก็คิดว่าใต้หล้านี้ไม่มีใครสู้ตนเองได้ หลายปีมานี้จึงไม่ได้ขยันขันแข็งฝึกซ้อมเหมือนสมัยตอนที่ยังเป็นวัยละอ่อน
จริง ๆ เลย…แค่คิดภาพนั้น อวี้ชิงลั่วก็ตื่นเต้นจนตัวสั่นแล้ว
เย่ซิวตู๋ยิ้มอย่างจนปัญญา สตรีผู้นี้ ต่อให้ดีใจก็อย่าได้แสดงออกมาด้วยท่าทีประเจิดประเจ้อเช่นนี้ เพราะยังมีสายตาอีกไม่น้อยที่กำลังจับจ้องมาที่นาง
หลีจื่อฟานขมวดคิ้วเล็กน้อย จากนั้นจึงยิ้มเยาะออกมา อวี๋จั้วหลินผู้นี้ถึงตายก็ไม่สาสมกับความผิดบาปที่ทำลงไป ต่อให้เขาพ่ายแพ้จนทำให้อาณาจักรเฟิงชางเสียหน้า เขาก็อยากรอดูอวี๋จั้วหลินถูกซ่างกวนจิ่นอัดให้หนักสักยกหนึ่ง
ฉีหานเว่ยเลิกคิ้วขึ้น ครั้นนึกถึงข้อมูลเหล่านั้นที่ฉีจ้านบอกไว้ เขาจึงทำได้แค่เพียงเป็นผู้ชมด้วยสายตาที่แสนเย็นชา
องค์ชายรองยังคงทำท่าทีเกียจคร้าน ท่าทางของเขายังไม่เปลี่ยนตั้งแต่เมื่อครู่แล้ว
“อุปราชโปรดช่วยชี้แนะด้วยพ่ะย่ะค่ะ” ครั้นเดินมาที่กลางลาน อวี๋จั้วหลินจึงยกมือคารวะเล็กน้อย มารยาทยังถือว่ามีความรอบคอบอย่างมาก
ซ่างกวนจิ่นหัวเราะพรืดหนึ่งเสียง “ชี้แนะเจ้า…เรามีให้เจ้าถมเถอยู่แล้ว”
อวี๋จั้วหลินได้ยินเช่นนั้นก็ยิ่งโกรธ สีหน้าอึมครึมลง ตั้งท่าเพื่อเริ่มต่อสู้โดยไม่ได้พูดอะไรมากไปกว่านั้น
ทว่าซ่างกวนจิ่นกลับไม่ได้ตั้งท่าแม้แต่น้อย เขาโจมตีเข้าใส่อีกฝ่ายทันที
การลงมือของเขา ใช้กระบวนท่าที่ดุร้ายอย่างมาก
อวี๋จั้วหลินถึงกับตกใจ รีบก้มหน้าเบี่ยงตัวออกไป นัยน์ตามืดหม่นลง ไม่กล้าอยู่ในท่าทีประมาทเลินเล่ออีกต่อไป มือทั้งสองข้างกลายเป็นกรงเล็บที่ปรี่ตัวเข้าใส่ซ่างกวนจิ่น
ดวงตาของอวี้ชิงลั่วที่กำลังจับจ้องมองนั้นเป็นประกายแวววาว ถึงอย่างไรทั้งสองคนนี้ก็เป็นคนที่นางเกลียดทั้งคู่ ไม่ว่าใครจะได้รับบาดเจ็บก็ถือเป็นเรื่องที่ดีทั้งหมด
นัยน์ตาของซ่างกวนจิ่นลอบมีประกายแสงประหลาด จากนั้นจึงแย้มยิ้มออกมา ดูเหมือนว่าจอหงวนฝ่ายบู๊ของอาณาจักรเฟิงชางจะไม่ใช่พวกอ่อนหัดเสียด้วยสิ
ระหว่างที่ครุ่นคิด ท่าทีของเขาก็ดูเหมือนจะจริงจังขึ้นมา
ไม่นานนัก ทั้งคู่ที่อยู่ในสนามก็เข้าตะลุมบอนจนคนดูแทบแยกออกจากกันไม่ได้ เพียงพริบตาเดียวก็ผ่านไปหลายสิบกระบวนท่าแล้ว
ขุนนางฝ่ายบุ๋นที่อยู่ในเหตุการณ์ได้แต่มองด้วยความงุนงง รู้สึกละลานตาจนดวงตาพร่ามัว รับรู้เพียงว่าเงาสองเงากวัดแกว่งเคลื่อนย้ายไปมารวดเร็วมาก จึงมองเห็นช่วงเวลาในการประมือของพวกเขาได้ไม่ชัดเจน มองได้ไม่ทันใดพวกเขาก็เริ่มกระบวนท่าใหม่แล้ว
ขุนนางฝ่ายบู๊ที่ได้ดูกลับเกิดอาการเลือดร้อนพลุ่งพล่าน หลังจากผ่านไปครู่หนึ่ง ต่างคนต่างเริ่มขมวดคิ้วเข้าหากัน
พวกเขาเริ่มมองออกแล้วว่าการหลบเลี่ยงของอวี๋จั้วหลินค่อนข้างกินแรง เม็ดเหงื่อบนหน้าผากก็เริ่มผุดออกมาทีละน้อย ทว่าซ่างกวนจิ่นกลับต้อนทีละก้าวด้วยท่วงท่าสง่างาม
มีบางคนลอบถอนหายใจ ดูเหมือนว่าการประลองสนามนี้ อุปราชคงชนะแล้ว
เพิ่งจะคิดได้เช่นนี้ จู่ ๆ ก็ได้ยินเสียงอุทานดังขึ้น ครั้นเงยหน้ามองก็พบว่าขาของซ่างกวนจิ่นเตะกระแทกเข้าที่กลางอกของอวี๋จั้วหลินอย่างแรง
อวี๋จั้วหลินมาถึงขีดจำกัดแล้ว เขาถึงกับกระอักเลือดออกมาหนึ่งคำพร้อมกับร่างที่กระเด็นลอยออกไปด้านหลัง
……………………………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
กะจั๊วโดนอัดซะแล้วค่ะ กระดูกมันคนละเบอร์ ท้าประลองไปก็เสียหน้าเปล่า ๆ
ไหหม่า(海馬)