อลวนรักหมอหญิงชิงลั่ว - ตอนที่ 337 ลูกยินดีแต่งงานพ่ะย่ะค่ะ
ตอนที่ 337 ลูกยินดีแต่งงานพ่ะย่ะค่ะ
ตอนที่ 337 ลูกยินดีแต่งงานพ่ะย่ะค่ะ
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ทำให้ผู้คนรู้สึกประหลาดใจก็คือทิศทางที่เขากระแทกลงพื้น ซึ่งเป็นตำแหน่งของเสนาบดีฝั่งขวาหลีจื่อฟานพอดี
มุมปากของซ่างกวนจิ่นแอบเจือด้วยรอยยิ้มเยาะ เขารู้ว่าฝีมือของเย่ซิวตู๋ไม่เลว หากเขาเตะอวี๋จั้วหลินไปหาเย่ซิวตู๋ ย่อมมิอาจทำให้อีกฝ่ายได้รับบาดเจ็บ
ทว่าเสนาบดีฝั่งขวางั้นรึ ก็แค่บัณฑิตคนหนึ่ง มิได้มีพละกำลังแม้แต่น้อย เมื่อครู่นี้หลีจื่อฟานก็ชอบทำตัวโดดเด่นนักมิใช่รึ? เช่นนั้นก็ให้หลีจื่อฟานได้เจอกับจุดจบที่คิดตั้งตัวเป็นศัตรูกับเขาก็แล้วกัน
เสียง ‘โครม’ ดังขึ้น ร่างของอวี๋จั้วหลินกระแทกลงบนพื้นอย่างแรง ชนเข้ากับโต๊ะผลไม้และอาหารจนคว่ำ บนร่างกายได้รับบาดเจ็บอีกครั้ง ใบหน้าแข็งทื่อถึงกับกระอักเลือดสด ๆ ออกมาหนึ่งคำ เห็นได้ชัดว่าน้ำหนักเท้าของซ่างกวนจิ่นรุนแรงมาก
เพียงแต่สิ่งที่อยู่เหนือความคาดหมายของซ่างกวนจิ่นก็คือ เมื่ออวี๋จั้วหลินลอยพุ่งไปด้านนั้น หลี่จื่อฟานกลับเบี่ยงตัวไปทางขวาได้อย่างเหมาะเจาะ ทำให้เขาหลบหลีกร่างที่กำลังลอยข้ามศีรษะของตนเองได้อย่างฉับพลัน
แม้จะมีจานอาหารกระแทกใส่ตนเอง แต่เมื่อเทียบกับการถูกกระแทกเข้าใส่ตรง ๆ ก็ถือว่าโชคดีแล้ว อย่างน้อยก็ไม่ถูกอีกฝ่ายกระแทกใส่ศีรษะ มิเช่นนั้นเกรงว่าหากไม่ตายก็คงเลี้ยงไม่โต
ซ่างกวนจิ่นขมวดคิ้วมุ่น การเคลื่อนไหวเมื่อครู่ของเขารวดเร็วมาก จากความสามารถของเสนาบดีฝั่งขวา ย่อมมิอาจไหวตัวได้ทัน และไม่มีความสามารถที่จะหลบหลีกด้วย
ซ่างกวนจิ่นเม้มปากแน่น หันมองเย่ซิวตู๋ที่อยู่ห่างออกไปไม่ไกล
เย่ซิวตู๋ยิ้มเยาะ ทว่ากลับเงยหน้ามองฟ้าราวกับไม่รู้ไม่เห็นอะไรทั้งสิ้น
“ทหาร นำตัวรองเจ้ากรมอวี๋ออกไปให้หมอหลวงดูอาการ” ฮ่องเต้ตรัสเสียงสูง สีพระพักตร์ดูย่ำแย่อย่างมาก
เมื่อครู่พระองค์ตรัสไว้อย่างชัดเจนว่าแค่ศึกษาซึ่งกันและกัน ซ่างกวนจิ่นกลับลงไม้ลงมือกับขุนนางของพระองค์อย่างหนัก ทั้งยังคิดจะจัดการกับเสนาบดีฝั่งขวา ยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัวเชียวหรือ?
“เสนาบดีฝั่งขวา ท่านไปเปลี่ยนชุดเถิด”
หลีจื่อฟานลุกขึ้นยืน ค้อมกายคารวะอย่างนอบน้อม แล้วกล่าวเสียงเบาว่า “กระหม่อมน้อมรับพระบัญชา” กล่าวจบ จึงตวัดสายตามองซ่างกวนจิ่น ก่อนหมุนกายเดินออกจากอุทยานอวี้ฮวาด้วยท่าทีนิ่งสงบและอ่อนโยน
ทว่าเมื่อเดินผ่านข้างกายอวี้ชิงลั่ว เขาก็จงใจลดเสียงกระซิบใส่ว่า “ระวังตัวด้วย”
อวี้ชิงลั่วถึงกับตกใจ มุมปากกระตุกยิ้มแห้งหนึ่งเสียง
หลีจื่อฟานจึงก้าวเท้าเดินไปอย่างเงียบ ๆ ครั้นเดินเลี้ยวตรงหัวมุม จึงยื่นมือออกมาลูบข้างเอวตนเอง เพราะเมื่อครู่จู่ ๆ เขาก็รู้สึกเจ็บแปลบขึ้นมา ราวกับมีบางอย่างกระแทกเข้าใส่
ของชิ้นนั้นน่าจะเป็นหินก้อนเล็ก ๆ กระมัง ดูเหมือนว่าเขาคงถูกเย่ซิวตู๋ช่วยไว้
หลีจื่อฟานยิ้มด้วยรอยยิ้มขมขื่น ก่อนจะก้าวเท้าเดินต่อไปด้านหน้า
บรรยากาศภายในอุทยานอวี้ฮวาตึงเครียดขึ้นภายในพริบตาเดียว ทุกคนต่างรู้ดีว่าซ่างกวนจิ่นคิดจะหักพระพักตร์ของฮ่องเต้ ทว่าเมื่อเห็นบทสรุปของอวี๋จั้วหลิน ต่างคนต่างพากันเงียบกริบราวอยู่ในป่าช้า ไม่กล้าพูดอะไรแม้แต่ประโยคเดียว
ซ่างกวนจิ่นดึงสายตากลับมาจากเย่ซิวตู๋ ยกมือคารวะกล่าวกับฮ่องเต้ว่า “ฝ่าบาทอย่าได้ถือโทษโกรธกริ้ว เรามิได้ตั้งใจทำให้ใต้เท้าอวี๋ได้รับบาดเจ็บ เพียงแต่ได้เห็นใต้เท้าอวี๋มีทักษะการต่อสู้ขั้นสูง เราจึงรู้สึกตื่นเต้นขึ้นมา ลืมยั้งคิดถึงความพอดี ลงมือหนักไปหน่อย แต่ได้ศึกษาซึ่งกันและกันในครานี้ ทำให้เรารับรู้ว่าอาณาจักรเฟิงชางมีผู้มีความสามารถปรากฏขึ้นมาอย่างไม่ขาดสายจริง ๆ ใต้เท้าอวี๋เป็นรองเจ้ากรมฝ่ายการทหารคนหนึ่งกลับมีฝีมือเช่นนี้ เราชื่นชมนัก”
ซ่างกวนจิ่นไม่ได้คิดจะอาฆาตพยาบาทกับอาณาจักรเฟิงชาง และไม่คิดจะยั่วโทสะฮ่องเต้ในช่วงเวลาหัวเลี้ยวหัวต่อเช่นนี้ ถึงอย่างไรเขาก็เตะอวี๋จั้วหลินไปแล้ว ความโกรธนั้นก็ถือว่าได้ระบายออกไปแล้ว พูดจาดี ๆ สองประโยคก็มิได้เหลือบ่ากว่าแรงอะไร
ฮ่องเต้แอบแค่นเสียงเยาะภายในพระทัย เพียงแต่พระองค์ก็ตรัสสิ่งใดมิได้ แม้ว่าซ่างกวนจิ่นจะลงมือกับอวี๋จั้วหลินจนได้รับบาดเจ็บ ถึงอย่างไรพระองค์ก็มิอาจใช้วิธีตาต่อตาฟันต่อฟันสั่งคนให้ทำร้ายร่างกายอีกฝ่ายจนบาดเจ็บสาหัส
คิดเช่นนี้ ฮ่องเต้ก็รู้สึกอึดอัดขึ้นมา ทว่าพระโอษฐ์กลับตรัสด้วยถ้อยคำที่มิได้มีความถ่อมตนแต่อย่างใด “อุปราชถ่อมตนเกินไปแล้ว แต่เรื่องที่บอกว่าอาณาจักรเฟิงชางมีผู้มีความสามารถปรากฏขึ้นมาอย่างไม่ขาดสายก็เป็นความจริง การแข่งขันสี่อาณาจักรหลังจากนี้ ชายชาตรีของอาณาจักรเฟิงชางก็มีไม่น้อย ถึงเวลานั้นหากอุปราชได้เห็นและถูกใจผู้มีความสามารถของอาณาจักรเฟิงชาง ก็อย่าได้คิดอยากได้เหมือนตอนที่อยากได้ขันทีตัวเล็ก ๆ ผู้นั้นเชียว”
ซ่างกวนจิ่นจ้องมองฮ่องเต้ด้วยนัยน์ตาและรอยยิ้มแสนเย็นชา
บรรยากาศตึงเครียดมากยิ่งขึ้น ผ่านไปครู่หนึ่ง จู่ ๆ องค์ชายรองของอาณาจักรเทียนอวี่ก็หัวเราะออกมา ร่างกายเอนตัวไปครึ่งหนึ่งก่อนจะกลับมายืดตรง
เขาตวัดสายตามองซ่างกวนจิ่นที่กลับไปนั่งประจำตำแหน่ง ก่อนจะมองฮ่องเต้ปราดหนึ่งด้วยนัยน์ตาลึกล้ำ แย้มยิ้มเดินออกมาจากที่นั่งของตนเอง กล่าวอย่างนาบเนิบว่า “กระหม่อมเองก็รู้สึกได้ว่าคนของอาณาจักรเฟิงชางมีพรสวรรค์นัก ฮ่องเต้ แม้ว่ากระหม่อมจะไม่ได้ชอบขันทีตัวเล็ก ๆ เหมือนอุปราช แต่กระหม่อมก็อยากได้ผู้มีความสามารถพิเศษจากฮ่องเต้เช่นกัน”
ฮ่องเต้ชะงัก ทว่าเมื่อองค์ชายรองขัดจังหวะเช่นนี้ บรรยากาศที่ตึงเครียดจึงผ่อนคลายลงไม่น้อย
ฮ่องเต้สะบัดแขนฉลองพระองค์ ตรัสกับองค์ชายรองเคล้ารอยยิ้มว่า “อ๋อ องค์ชายรองอยากขอผู้มีความสามารถสักคนงั้นรึ? องค์ชายรองถูกใจคนใด? แต่ถ้าเป็นผู้เข้าแข่งขันในการแข่งขันสี่อาณาจักรใหญ่ เราคงให้ท่านไม่ได้”
“ฝ่าบาทตรัสขบขันแล้ว กระหม่อมจะกล้าขอผู้เข้าแข่งขันในการแข่งขันสี่อาณาจักรใหญ่ได้อย่างไรกัน แต่…” องค์ชายรองหรี่ตาลง ทว่าจู่ ๆ กลับชะงักไป เงยหน้ามองอวี้ชิงลั่วปราดหนึ่ง และมองไปที่เย่ซิวตู๋อีกปราดหนึ่ง
สายตานั้นทำให้อวี้ชิงลั่วหนังตากระตุก แอบรู้สึกได้ถึงลางสังหรณ์ไม่ดี
รอยยิ้มขององค์ชายรองยังคงดูเกียจคร้าน “ฝ่าบาท อันที่จริงก็ไม่ถึงกับขอเสียทีเดียว ที่กระหม่อมมาอาณาจักรเฟิงชางในครั้งนี้ นอกจากเข้าร่วมการแข่งขันสี่อาณาจักรใหญ่แล้ว เสด็จพ่อยังฝากให้กระหม่อมจัดการอีกเรื่องหนึ่งด้วย”
ฮ่องเต้ชะงัก ก่อนจะตั้งพระทัยฟังด้วยท่าทีเคารพนับถือ
“อาณาจักรเทียนอวี่ตั้งใจสร้างสัมพันธไมตรีกับอาณาจักรเฟิงชาง กระหม่อมมีพระกนิษฐาองค์เล็กหนึ่งคน เสด็จพ่อเพิ่งแต่งตั้งนางเป็นองค์หญิงเทียนฝูเมื่อไม่นานมานี้ ครั้งนี้นางก็เข้าเมืองหลวงมาพร้อมกับเราด้วย…”
ครั้นกล่าวถึงตรงนี้ ทุกคนต่างก็เข้าใจได้
พระเนตรของฮ่องเต้เป็นประกาย ตอนนี้อาณาจักรเทียนอวี่ออกตัวแสดงท่าทีเป็นมิตร ทั้งยังนำตัวองค์หญิงมาถึงที่นี่ องค์หญิงผู้นั้นถูกแต่งตั้งเป็นองค์หญิงผู้มีเกียรติสูงสุดของอาณาจักรเทียนอวี่ พระองค์ย่อมเต็มพระทัยเกี่ยวดองด้วยการสมรส
โดยเฉพาะตอนที่ยังมีซ่างกวนจิ่นอยู่ที่นี่ อาณาจักรจิงเหลยมักจะแอบเคลื่อนไหวอยู่ตลอด ทั้งยังมีทัศนคติแสดงออกถึงความทะเยอทะยาน หากทำให้เขารับรู้ถึงสัมพันธไมตรีระหว่างอาณาจักรเทียนอวี่และอาณาจักรเฟิงชาง เช่นนั้นเขาก็อาจจะหยุดได้บ้าง
เมื่อฮ่องเต้หันไปทอดพระเนตร สีหน้าของซ่างกวนจิ่นก็ดูย่ำแย่ถึงขีดสุด ทั้งยังจ้องมององค์ชายรองด้วยรอยยิ้มเย็นชา
ฮ่องเต้รู้สึกเบิกบานพระทัยภายในพริบตา ก่อนจะเปล่งเสียงสรวลร่าออกมา “องค์ชายรอง ราชวงศ์ของอาณาจักรเฟิงชางของเราต่างก็เป็นคนที่เพียบพร้อมด้วยความรู้คู่คุณธรรม เราเองก็มิได้โอ้อวดอะไรหรอก แต่องค์ชายเจ็ดและองค์ชายแปดของเรา ต่างก็เป็นผู้มีพรสวรรค์ทั้งบู๊และบุ๋น ทั้งยังเป็นองค์ชายที่เราพึ่งพาได้เป็นอย่างมาก”
มีองค์ชายในราชวงศ์เพียงสองพระองค์เท่านั้นที่อายุเหมาะสมและยังไม่แต่งงาน ฮ่องเต้ย่อมแนะนำพวกเขาก่อน
องค์ชายเจ็ดมีสีหน้าเรียบเฉย มิได้สะทกสะท้านแต่อย่างใด
ทว่าองค์ชายแปดเย่ฮ่าวหรานกลับขมวดคิ้วเล็กน้อย
พูดเป็นเล่น ภายในใจของเขามีแค่หลีเอ๋อร์เพียงคนเดียว เขาไม่มีทางแต่งงานกับองค์หญิงอะไรนั่นเป็นอันขาด
องค์ชายรองแย้มยิ้ม ทว่าสายตากลับมองข้ามองค์ชายเจ็ดและองค์ชายแปด ก่อนจะจรดลงที่เย่ซิวตู๋ “ฝ่าบาท กระหม่อมได้ยินมาว่าท่านอ๋องซิวยังไม่แต่งงาน หากองค์หญิงเทียนฝูของอาณาจักรเทียนอวี่ได้ครองคู่กับท่านอ๋องซิวของอาณาจักรเฟิงชาง นี่มิใช่สวรรค์ส่งมาให้คู่กันหรอกหรือ?”
“…” ฮ่องเต้ชะงัก ก่อนจะหันมาทอดพระเนตรที่เย่ซิวตู๋
เย่ซิวตู๋แย้มยิ้มเล็กน้อย จากนั้นจึงลุกขึ้นยืนแล้วตอบ “ลูกยินดีพ่ะย่ะค่ะ”
………………………………………………………………………………………………………………………
สารจากผู้แปล
ท่านอ๋องซิวคิดจะทำอะไรคะ ตอบรับแต่งงานกับองค์หญิงอาณาจักรอื่นเฉย รับผิดชอบชิงลั่วกับหนานหนานก่อนนน
ไหหม่า(海馬)