อลวนรักหมอหญิงชิงลั่ว - ตอนที่ 339 ได้รับบาดเจ็บ
ตอนที่ 339 ได้รับบาดเจ็บ
ตอนที่ 339 ได้รับบาดเจ็บ
งานเลี้ยงของอุทยานอวี้ฮวายังคงครึกครื้น ทว่าความคิดของคนจำนวนมากกลับไม่ได้อยู่ที่นี่แล้ว
ไม่เพียงแต่เย่ซิวตู๋ที่ค้นพบว่าอวี้ชิงลั่วหายตัวไป ซ่างกวนจิ่น ฉีหานเว่ยและคนอื่น ๆ ที่กำลังตกตะลึงเรื่องที่เย่ซิวตู๋จะแต่งงานกับองค์หญิงของอาณาจักรเทียนอวี่ ก็ค้นพบว่าสตรีผู้นั้นออกจากอุทยานอวี้ฮวาไปแล้ว
เย่ฮ่าวหรานหน้าตาบูดบึ้งเมื่อเห็นเย่ซิวตู๋กลับไปนั่งประจำตำแหน่งตนเอง เขาหันกลับไปถลึงตาใส่อีกฝ่ายด้วยท่าทีดุดัน แต่เย่ซิวตู๋ไม่สนใจ ภายในใจยังคงคิดเล็กคิดน้อยกับความไม่แยแสของอวี้ชิงลั่ว
สตรีผู้นั้นไม่มีมโนธรรมเอาเสียเลย เขาอยู่กับนางมานานขนาดนั้น นางกลับไม่รู้สึกอะไรกับเขาแม้แต่นิดเดียว
เย่ซิวตู๋รู้สึกหงุดหงิดและหดหู่ จึงดื่มสุราเพิ่มอีกสองแก้ว เย่ฮ่าวหรานถลึงตามองเขาอยู่ครู่หนึ่งแต่กลับไม่เห็นอีกฝ่ายโต้ตอบ จึงเบือนสายตาไปทางอื่น ครั้นหันมากลับพบว่าเสนาบดีฝั่งขวากำลังถลึงตาใส่เย่ซิวตู๋ด้วยท่าทีดุร้าย สายตาคู่นั้นเฉียบคมคล้ายกับจะกลืนกินเย่ซิวตู๋เข้าไปอย่างไรอย่างนั้น
เย่ฮ่าวหรานหดคอ ส่ายหน้าก้มหน้าก้มตากินอาหารของตนเอง
ฮ่องเต้ยังคิดไม่ตก ทว่าก็ยังต้อนรับทุกคนอย่างครึกครื้น
หลังจากนั้นเหมียวเชียนชิวก็เข้ามากระซิบข้างพระกรรณของพระองค์สองประโยค ว่าจับตัวขันทีผู้นั้นได้แล้ว ตอนนี้ถูกขังไว้ที่ห้องขังภายในวัง
ฮ่องเต้ให้ความสำคัญกับความปลอดภัยของเมืองหลวงและราชวงศ์มากที่สุด โดยเฉพาะก่อนที่จะเริ่มการแข่งขันสี่อาณาจักร เรื่องเพียงเล็กน้อยอาจทำให้บานปลายใหญ่โตได้ ตอนนี้ภายในวังมีขันทีที่ไม่รู้ประวัติความเป็นมาเข้ามา พระองค์ยิ่งต้องสนพระทัย
“ได้ความว่าอย่างไร?”
เหมียวเชียนชิวกระซิบเสียงทุ้มต่ำ “กระหม่อมให้ก่วนกงกงสอบปากคำอย่างละเอียดแล้วพ่ะย่ะค่ะ ต้องตรวจสอบสถานะของเขาได้อย่างละเอียดเป็นแน่”
“อืม” จักรพรรดิพยักพระพักตร์ ก่อนจะหันไปคุยกับซ่างกวนจิ่น ฉีหานเว่ย และคนอื่น ๆ อีกสองสามประโยค งานเลี้ยงค่อย ๆ เข้าสู่ช่วงท้าย เพียงไม่นานก็แยกย้ายกันกลับ
ฮ่องเต้เองก็เหนื่อยล้าพระวรกายไม่น้อย เพิ่งเสด็จเข้าตำหนักของพระองค์ทางฝั่งนี้ ห่างออกไปก็พบขันทีตัวเล็ก ๆ คนหนึ่งเดินเข้ามา ก่อนจะคุกเข่าดัง ‘ตุบ’ ลงข้าง ๆ
“ฝ่า…ฝ่าบาท แย่แล้วพ่ะย่ะค่ะ”
“มีเรื่องอะไรถึงได้รีบร้อนเช่นนี้ ตื่นตระหนกอะไรของเจ้า?” เหมียวเชียนชิวก้าวเท้ามาด้านหน้าพลางตำหนิอีกฝ่ายด้วยท่าทีเหี้ยมโหด
จักรพรรดิโบกพระหัตถ์ หยุดการก้าวพระบาททอดสายพระเนตรมองไปยังขันทีที่คุกเข่าอยู่บนพื้น “เกิดเรื่องอะไรขึ้น?”
“กราบ…กราบทูลฝ่าบาท บ่าวคือเสี่ยวจี้จื่อผู้ติดตามข้างกายก่วนกงกง เมื่อครู่ก่วนกงกงนำคนไปสอบปากคำเสี่ยวลั่วจื่อที่ทำตัวลับ ๆ ล่อ ๆ ภายในอุทยานอวี้ฮวาวันนี้ แต่เพิ่งหยิบแส้โบยเสี่ยวลั่วจื่อผู้นั้นไปสองหน ก่วนกงกงก็ถูกเสี่ยวลั่วจื่อเตะจนหงายหลัง เสี่ยวลั่วจื่อผู้นั้นมีฝีมือเก่งกาจมาก บ่าวและคนอื่น ๆ ไม่สามารถเข้าใกล้เขาได้เลยพ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้ขมวดพระขนง เหมียวเชียนชิวก็มีสีหน้ารีบร้อน “จับมัดแล้วมิใช่รึ? เหตุใดยังถูกทุบตีอีก?”
ก่วนกงกงผู้นี้ไร้ประโยชน์เกินไปแล้วกระมัง อีกฝ่ายหมดสติและส่งไปถึงมือของเขาแล้ว มือทั้งสองข้างก็ถูกมัดไว้กับเสา คนมากมายเช่นนั้นกลับคุมคนคนนั้นเพียงคนเดียวมิได้?
เสี่ยวจี้จื่อถึงกับเหงื่อท่วมหน้าผาก “ในปากของเสี่ยวลั่วจื่อผู้นั้นมีอาวุธลับซ่อนอยู่ ใครก้าวเท้าไปด้านหน้า อาวุธลับก็จะพุ่งเป้ามาบนร่างกาย ภายหลัง บ่าวและคนอื่น ๆ ไปตามผู้คุ้มกันมา ผู้คุ้มกันกลับเอาแต่หลบอาวุธลับของเขาผู้นั้น จู่ ๆ เสี่ยวลั่วจื่อผู้นั้นก็บอก…บอก…บอกว่าอยากพบท่านอ๋องซิวพ่ะย่ะค่ะ…”
อยากพบซิวเอ๋อร์? พระขนงของจักรพรรดิถึงกับขมวดมุ่น หรือว่าขันทีผู้นั้นรู้จักซิวเอ๋อร์?
จู่ ๆ พระองค์ก็นึกถึงท่าทางของซิวเอ๋อร์ที่ช่วยพูดแทนขันทีผู้นั้นในวันนี้ พระทัยจึงเกิดอาการเต้นตุ้ม ๆ ต่อม ๆ อย่าบอกนะว่าขันทีผู้นั้นเป็นคนที่ซิวเอ๋อร์พาตัวเข้ามาในวัง
บัดซบ…
พระองค์คิดมาโดยตลอดว่าที่ซิวเอ๋อร์ช่วยพูดแทนขันทีผู้นั้น เป็นเพราะอยากสู้กับซ่างกวนจิ่นก็เท่านั้น ตอนนี้ดูเหมือนว่าทั้งหมดจะไม่ได้เป็นเช่นนั้น
“เชียนชิว ไปเรียกซิวเอ๋อร์มา”
“พ่ะย่ะค่ะ” เหมียวเชียนชิวใบหน้าขาวซีด รีบก้าวเท้าเดินออกไป
ฮ่องเต้พ่นพระปัสสาสะออก สั่งให้เสี่ยวจี้จื่อนำทางเพื่อทอดพระเนตรด้วยพระองค์เอง
เพียงแต่ตอนที่เพิ่งจะมาถึงหน้าประตูห้องขังนั้น ก็พบว่าขันทีจำนวนไม่น้อยนอนระเกะระกะอยู่ด้านนอก ท่าทางของพวกเขาดูไร้สติ
จู่ ๆ ด้านในก็มีเสียงกระหืดกระหอบของก่วนกงกงดังขึ้น “เจ้ามันสัตว์ร้ายไม่รู้จักผิดชอบชั่วดี กล้าเข้ามาทำตัวหยาบคายบ้าบิ่นถึงในวัง พวกเราจะจับเจ้าถลกหนัง ไม่เชื่อก็ลองดู”
“เหอะ จับข้าถลกหนัง? ข้าจะบอกอะไรให้ หากเจ้ากล้าทำอะไรข้าแม้เพียงเส้นขน ข้าจะให้คนหั่นเจ้าด้วยมีดหมื่นเล่ม ทำให้เจ้าตายโดยไม่เหลือแม้กระทั่งศพ”
ฮ่องเต้สูดพระอัสสาสะแรง ๆ เฮือกหนึ่ง
ส่งสายพระเนตรให้เสี่ยวจี้จื่อ เสี่ยวจี้จื่อรีบเปล่งเสียงแหลมสูง “ฝ่าบาทเสด็จแล้ว”
และนั่นทำให้เสียงด้านในหยุดลงทันใด ฮ่องเต้ยกพระบาทก้าวเข้าไป ก่วนกงกงทางฝั่งนั้นรีบค้อมกายเข้ามา “กระหม่อมถวายบังคมฝ่าบาท”
ภายในห้องขังมีผู้คุ้มกันสองคนและขันทีอีกสองคน ครั้นเห็นสถานการณ์เช่นนี้จึงรีบคุกเข่าด้วย
ฮ่องเต้โบกพระพักตร์ให้พวกเขาลุกขึ้นยืน ก่อนจะก้าวพระบาทเข้ามาด้านในสองสามก้าว
ก่วนกงกงรีบเปิดทางด้านหน้า โขกศีรษะลงบนพื้นพร้อมอธิบายอยู่ข้าง ๆ “ฝ่าบาท บ่าวรับใช้ผู้นี้ปากแข็งมาก ไม่ยอมพูดอะไรเลยพ่ะย่ะค่ะ”
จักรพรรดิตอบ ‘อืม’ หนึ่งเสียง ก่อนจะหันมองขันทีที่ถูกมัดตัวไว้
หมวกบนศีรษะของอวี้ชิงลั่วถูกถอดออกแล้ว แม้เครื่องอำพรางโฉมที่อยู่บนใบหน้ายังคงอยู่ ทว่านางกลับมีท่าทางกระอักกระอ่วน เสริมให้ภาพลักษณ์โดยรวมดูหล่อเหลาไม่น้อย
ฮ่องเต้ขมวดพระขนงทอดพระเนตรมาที่นาง ตรัสว่า “ความกล้าของเจ้ามีไม่น้อย เจ้าว่ามาสิ เจ้าจะทำให้ก่วนกงกงตายโดยไม่เหลือแม้กระทั่งศพได้อย่างไร?”
“ฝ่าบาท กระหม่อมเป็นคนที่ท่านอ๋องซิวพาเข้ามาในวัง ไม่ใช่คนชั่วร้ายอะไร ตอนนี้ก่วนกงกงกลับเฆี่ยนตีกระหม่อมด้วยแส้โดยไม่แยกผิดชอบชั่วดี ทั้งยังต่อว่ากระหม่อมว่าเป็นผู้สอดแนม ยืนกรานให้กระหม่อมบอกให้ได้ว่าใครเป็นคนสั่ง ความหมายของเขา ไม่เท่ากับกำลังบอกว่าคนที่พากระหม่อมเข้ามาในวังคือผู้สอดแนมหรอกหรือ? มิใช่ว่ากำลังด่าว่าท่านอ๋องซิวเป็นผู้บงการหรอกหรือ? ดูหมิ่นท่านอ๋องก็ต้องตายโดยไม่เหลือศพมิใช่รึ?”
ฮ่องเต้หรี่พระเนตร คิดไม่ถึงว่าจะเป็นคนปากคอเราะราย
“ในเมื่อซิวเอ๋อร์พาเจ้าเข้ามาในวัง เช่นนั้นเจ้าก็ควรเป็นเด็กรับใช้อารักขาที่เข้ามาพร้อมกับเขาถึงจะถูก แต่ดูจากการแต่งกายเช่นนี้ของเจ้า ทั้งยังแอบเข้ามาที่วังหลังของเรา มีวัตถุประสงค์อะไร? หรือการที่เจ้าปลอมตัวเป็นขันทีก็เป็นความต้องการของซิวเอ๋อร์ด้วย?”
อวี้ชิงลั่วเม้มปาก ดูเหมือนว่าฮ่องเต้ผู้นี้ก็ไม่ได้สับสนถึงขั้นที่จะปล่อยผ่านทุกเรื่องที่เป็นเรื่องของเย่ซิวตู๋สินะ
ความประมาททำให้นางติดกับดัก ถูกคนทุบจนสลบไป ทั้งยังถูกแส้ฟาดอีกสองหน มารดาเถอะ เจ็บเจียนตายแล้ว
ทั้งหมดนี้ต้องโทษเย่ซิวตู๋ ตาบ้านั่น กล้าไปแต่งงานกับองค์หญิงอะไรนั่น? หากนางปล่อยให้เขาทำตามปรารถนา ก็ต้องใช้แซ่เขาด้วย
“ฝ่าบาท ที่กระหม่อมปลอมตัวเป็นขันทีก็เป็นเจตนาของท่านอ๋องซิวพ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้ขมวดพระขนง แค่นเสียงยิ้มเยาะ “ดูเหมือนว่าเจ้าจะไม่ยอมพูดความจริงสินะ ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เราก็ไม่จำเป็นต้องเกรงใจแล้ว เราจะเก็บกวาดสิ่งไม่ดีแทนซิวเอ๋อร์เอง เพื่อป้องกันมิให้บ่าวรับใช้ความคิดคดเคี้ยวเช่นเจ้าต้องทำลายชื่อเสียงของซิวเอ๋อร์…ก่วนกงกง”
“พ่ะย่ะค่ะ” ก่วนกงกงถูกอวี้ชิงลั่วยกเท้าถีบไปครั้งหนึ่ง จนถึงตอนนี้ยังเจ็บไม่หาย ครั้นได้ยินฮ่องเต้เรียกเช่นนี้ จึงก้าวเท้ามาด้านหน้าด้วยความกระตือรือร้น ทั้งยังจ้องมองอวี้ชิงลั่วด้วยสีหน้าเหี้ยมเกรียม
……………………………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
ความจะแตกไหมหนอ ฮ่องเต้ลงมาสอบปากคำเองเลย
ไหหม่า(海馬)