อลวนรักหมอหญิงชิงลั่ว - ตอนที่ 340 ความคิดของอวี้ชิงลั่ว
ตอนที่ 340 ความคิดของอวี้ชิงลั่ว
ตอนที่ 340 ความคิดของอวี้ชิงลั่ว
อวี้ชิงลั่วตวัดสายตาเหลือบมองก่วนกงกงผู้นั้นปราดหนึ่ง ขณะที่กำลังจะพูดอะไรบางอย่าง จู่ ๆ ด้านนอกก็มีเสียงฝีเท้าดังขึ้นอย่างรีบร้อน
จากนั้นก็พบว่าเย่ซิวตู๋กำลังสาวเท้าเข้ามาด้านใน
ครั้นแลเห็นอวี้ชิงลั่วถูกมัดมือทั้งสองข้าง เขาก็ปรี่ตัวเข้าไปตรงหน้านาง ลืมแม้กระทั่งทำความเคารพฮ่องเต้ “เหตุใดเจ้าจึงมาอยู่ที่นี่?”
เมื่ออวี้ชิงลั่วเห็นเขา น้ำเสียงหนักแน่นของเขาภายในอุทยาทอวี้ฮวาเมื่อไม่นานมานี้ก็ดังขึ้น สีหน้าของนางเปลี่ยนเป็นเหยเกในบัดดล นางจึงเมินเฉยใส่เขา
“ซิวเอ๋อร์ เขาเป็นคนของเจ้าจริงรึ?” ครั้นฮ่องเต้ได้เห็นก็แปลกพระทัยเล็กน้อย ได้เห็นท่าทางประหม่าเช่นนี้ของเย่ซิวตู๋ทำให้พระองค์นึกฉงนพระทัย ก็แค่เด็กรับใช้คนหนึ่ง เหตุใดสีหน้าจึงได้ดูย่ำแย่ขนาดนี้?
เย่ซิวตู๋หมุนกายกลับมา ก้มศีรษะให้ฮ่องเต้เบา ๆ ถือว่าเป็นการคารวะพระองค์แล้ว
ใครจะไปคิดว่าตอนที่หันกลับมา เขาก็พบว่าบนตัวของอวี้ชิงลั่วมีรอยแส้สองเส้น รูม่านตาพลันหดเล็กลง เขาสูดหายใจเข้าเฮือกใหญ่ แล้วถามขึ้นด้วยน้ำเสียงเย็นชา “ใครเป็นคนเฆี่ยนตี?”
อวี้ชิงลั่วแค่นเสียงเย็น ทว่าสายตากลับมองไปที่ก่วนกงกงซึ่งยืนอยู่ข้างฮ่องเต้
เย่ซิวตู๋หมุนกายกลับมา ยกเท้าขวาถีบเข้าที่กลางอกของก่วนกงกงอย่างแรง สายตาฉายแววเดือดดาล “สุนัขรับใช้อย่างเจ้า กลับกล้าลงมือกับนางรุนแรงถึงเพียงนี้”
ร่างของก่วนกงกงกระเด็นลอยออกไปด้านนอกทันที ก่อนจะกระแทกเข้าใส่กำแพงที่อยู่ด้านหลังอย่างจัง
เสียง “ตึง” ดังขึ้นหนึ่งเสียง เหมียวเชียนชิวที่วิ่งกระหืดกระหอบเข้ามาด้านในประตูด้วยความตื่นตระหนกเข่าอ่อนจนเกือบทรุดลงกับพื้น
สีพระพักตร์ของฮ่องเต้อึมครึมลง พระองค์ไม่คาดคิดว่าเย่ซิวตู๋จะลงไม้ลงมือ อีกทั้งยังลงมือกับคนของพระองค์ แม้ว่าจะเป็นพระโอรสที่พระองค์รักมากที่สุด แต่ก็ต้องตำหนิสั่งสอน “ซิวเอ๋อร์ เจ้าทำตัวเหิมเกริมเกินไปแล้ว ก่วนกงกงก็แค่ทำตามหน้าที่ บ่าวรับใช้ผู้นี้แต่งกายปลอมตัวเป็นขันที ทั้งยังบอกว่าเป็นคำสั่งของเจ้า ย่อมต้องมีความคิดคดเคี้ยวเป็นแน่ เจ้ากลับ…”
“เสด็จพ่อ นางแต่งกายปลอมตัวเป็นขันทีเพราะเป็นคำสั่งของลูกจริง ๆ” เย่ซิวตู๋เห็นรอยแส้สองเส้นบนเรือนกายของนางก็รู้สึกปวดใจขึ้นมา
คิดไม่ถึงเลย แค่พานางเข้ามาในวัง กลับทำให้นางต้องทุกข์ทรมานเช่นนี้
เสียง ‘เคล้ง’ ดังขึ้นสองครั้ง เย่ซิวตู๋กระชากมีดที่แขวนอยู่ข้างเอวองครักษ์ตัดโซ่เหล็กที่จองจำอวี้ชิงลั่วไว้ ก่อนจะปล่อยตัวนางลงมา
ขาทั้งสองข้างของอวี้ชิงลั่วอ่อนยวบ เย่ซิวตู๋รีบยื่นมือออกไปโอบประคองนาง
ครั้นมือทั้งสองข้างสัมผัสเรือนร่าง เขาก็ได้ยินเสียงอวี้ชิงลั่วซู้ดปาก
เย่ซิวตู๋ทราบดีว่าคงสัมผัสโดนบาดแผลของนางเข้าแล้ว จึงเกิดความประหม่าขึ้นในทันที “เป็นเช่นไรบ้าง? เจ็บมากใช่หรือไม่?”
“เหอะ นี่ก็ตรงตามที่ท่านซิวอ๋องต้องการอย่างพอเหมาะพอเจาะมิใช่รึ? หากข้าตายไป ท่านเองก็จะได้แต่งงานกับองค์หญิงอาณาจักรเทียนอวี่” อวี้ชิงลั่วยังคงโกรธเคือง จึงแค่นเสียงเย็นหนึ่งเสียง ขยับมือผลักเขาออกไป
เพียงแต่นางผลักเขาออกไปถึงสองครั้ง แต่เขากลับไม่ขยับออกไปแม้แต่น้อย
คิ้วของเย่ซิวตู๋ขมวดเข้าหากัน “พูดจาเหลวไหลอะไรของเจ้า ข้าจะรอคอยให้เจ้าตายได้อย่างไรกัน? เจ้าบอกข้ามา นอกจากตรงนี้แล้ว ยังบาดเจ็บตรงไหนอีกหรือไม่? ไม่ได้ ข้ารีบเรียกหมอหลวงให้มาดูเจ้าจะดีกว่า ข้า…”
“เรียกหมอหลวงอะไร ข้ารักษาเองได้ ท่านปล่อยมือ ไปหาองค์หญิงอาณาจักรเทียนอวี่ของท่านซะ ข้าจะเป็นตายร้ายดีอย่างไรท่านไม่ต้องมาสนใจหรอก” อวี้ชิงลั่วแอบรู้สึกน้อยใจ โดยเฉพาะตอนที่เห็นท่าทางเช่นนั้นของเขา ความรู้สึกที่ยากเกินกว่าจะบรรยายก็ปะทุขึ้นมาอีกหน
นางรู้สึกเกลียดตัวเองที่ทำตัวเกเรเกตุงไปชั่วขณะหนึ่ง ทั้ง ๆ ที่ไม่อยากข้องเกี่ยวกับราชวงศ์ ทั้ง ๆ ที่อยากรักษาระยะห่างจากเย่ซิวตู๋
แต่เมื่อได้ยินเขาพูดว่าจะแต่งงานกับสตรีอื่น ดวงใจของนางกลับบีบรัดเป็นเกลียว หึงหวงจนทรมานไปหมด
ความรู้สึกนี้ ต่อให้อวี้ชิงลั่วพยายามอย่างมากที่จะปฏิเสธ แต่ท้ายที่สุดนางก็ทราบดีว่าตนเองคิดอย่างไร
ฮ่องเต้ยืนอยู่ด้านข้าง แรกเริ่มพระองค์รู้สึกกริ้วเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะเย่ซิวตู๋ที่ทำท่าทางไม่สนใจคำพูดของพระองค์แม้แต่น้อย ทว่าเมื่อได้ยินบทสนทนาของพวกเขาทั้งคู่ จู่ ๆ พระองค์ก็นึกแปลกพระทัยขึ้นมา จึงโบกพระหัตถ์ให้คนในห้องขังออกไปข้างนอก เหมียวกงกงก็ประคองก่วนกงกงที่นอนกระอักเลือดอยู่บนพื้นออกไปด้วย
เย่ซิวตู๋รู้สึกกังวลใจ เขารู้สึกสะเทือนใจที่ได้เห็นบาดแผลสองเส้นนี้ แค่เห็นก็รู้แล้วว่าคนที่ลงมือโหดเหี้ยมขนาดไหน เขารู้สึกหงุดหงิดมากที่ตนเองไม่ได้ปกป้องนางให้ดี
ทว่าเมื่อหันกลับมาได้ยินคำพูดเหล่านั้นของนาง เขากลับอารมณ์ดีขึ้นอย่างบอกไม่ถูก
สตรีผู้นี้ เห็นได้ชัดว่าสนใจเรื่องที่เขาจะแต่งงานเป็นอย่างมาก นางไม่มีความสุข ไม่พอใจ ดูเหมือนว่านางจะไม่ได้เฉยเมยต่อเขาเหมือนที่นางแสดงออกมาให้เห็น
นึกได้เช่นนี้ เย่ซิวตู๋ก็รู้สึกร้อนใจระคนมีความสุข เขาโค้งกายอุ้มนางขึ้นมา “ไปเถอะ กลับตำหนัก”
อวี้ชิงลั่วถลึงตาโตใส่เขา ส่งเสียงแหลม “ท่านปล่อยข้า เย่ซิวตู๋ ข้าบอกไปแล้วไง ข้าจะเป็นตายร้ายดีเช่นไรท่านก็ไม่ต้องมาสนใจ”
เสียงสูงของนางทำให้ฮ่องเต้รู้สึกได้ถึงสิ่งผิดปกติ นี่มันเสียงของขันทีที่ไหนกัน เสียงของสตรีชัด ๆ
ฮ่องเต้หรี่พระเนตรลงเล็กน้อย หันมองอวี้ชิงลั่ว ก็พบว่านางไม่มีลูกกระเดือกจริง ๆ และไม่ใช่เด็กรับใช้อะไรทั้งนั้น ท่าทีของซิวเอ๋อร์เหมือนคนที่ปฏิบัติต่อบุรุษที่ไหนกัน?
เย่ซิวตู๋ไม่สนใจอวี้ชิงลั่ว คิ้วของเขายังคงขมวดเป็นปม กล่าวเสียงทุ้มต่ำว่า “อย่าดื้อ มิเช่นนั้นบาดแผลคงปริ คนที่เจ็บตัวก็คือเจ้าเอง มีความขุ่นเคืองใจอะไร กลับไปค่อยให้เจ้าระบายออกมา”
อวี้ชิงลั่วเม้มปาก แค่นเสียงเย็นหนึ่งเสียง
เย่ซิวตู๋จึงหันกลับมา ทว่าคิดไม่ถึงเลยว่าตอนที่หันกลับมา ฮ่องเต้กลับกำลังหรี่พระเนตรมองเขาอยู่ เย่ซิวตู๋ชะงักไปครู่หนึ่ง ราวกับนึกขึ้นได้ว่าฮ่องเต้ก็อยู่ที่นี่
“เสด็จพ่อ เรื่องนี้ลูกจะกลับมาอธิบายอีกครั้ง ลูกขอตัวพานางกลับตำหนักก่อนพ่ะย่ะค่ะ”
“อืม” ฮ่องเต้ทอดมองเขา ก่อนจะหันมองอวี้ชิงลั่ว ผ่านไปครู่หนึ่งจึงตอบเสียงทุ้มต่ำหนึ่งเสียง
หรือว่าสตรีผู้นี้คือแม่ของหนานหนาน?
และหากเป็นเช่นนี้ คำพูดเหล่านั้นที่องค์ชายรองของอาณาจักรเทียนอวี่พูดในอุทยานอวี้ฮวาเมื่อครู่ นางก็คงได้ยินหมดแล้ว
แต่พระองค์ก็ยังคงสับสนว่าซิวเอ๋อร์กำลังคิดอะไรอยู่กันแน่ ทั้ง ๆ ที่เป็นห่วงสตรีผู้นี้มาก ทว่ากลับเสนอตัวเอ่ยปากขอองค์หญิงเทียนฝูแห่งอาณาจักรเทียนอวี่
แม้ว่า พระองค์อยากให้ซิวเอ๋อร์แต่งงานกับองค์หญิงมากกว่า เพราะถึงอย่างไรองค์หญิงเทียนฝูก็คงช่วยเหลือซิวเอ๋อร์ได้มากกว่าสตรีที่ไม่รู้ประวัติความเป็นมา
เพียงแต่ไม่รู้ว่าหนานหนาน…จะโกรธหรือไม่
ฮ่องเต้โบกพระหัตถ์ให้พวกเขากลับไปก่อน
เย่ซิวตู๋อุ้มอวี้ชิงลั่วออกจากห้องขังอย่างรีบร้อน ก้าวเดินเพียงไม่กี่ก้าวก็ไปหยุดข้างรถม้า
อวี้ชิงลั่วปล่อยมือ นางมุดตัวเข้าไปด้านในรถม้าพร้อมหลับตาลงเพื่อพักสายตา โดยไม่เปล่งวาจาพูดกับเขาแม้แต่ประโยคเดียว
เย่ซิวตู๋เห็นแผลจากแส้สองเส้นบนเรือนกายของนาง เขาก็เกิดความรู้สึกปวดใจระคนหงุดหงิด ทว่ากลับไม่กล้าเอื้อมมือไปสัมผัสแม้แต่ปลายเล็บ
จนกระทั่งรถม้าเคลื่อนตัวออกจากวังหลัง เขาจึงกระซิบถามว่า “ยาของเจ้าล่ะ? ทาไว้สักหน่อยเถิด”
“…” อวี้ชิงลั่วไม่สนใจเขา เอี้ยวตัวอย่างระมัดระวัง ทว่าต่อให้ระวังตัวมากกว่านี้ การเคลื่อนไหวตัวเช่นนี้ก็ทำให้บาดแผลตึงอยู่ดี นางขมวดคิ้วเข้าหากันเล็กน้อย พร้อมสูดลมหายใจแผ่วเบา
เย่ซิวตู๋รู้สึกร้อนใจมาก “เจ้าอย่าขยับตัวสิ”
อวี้ชิงลั่วยังคงไม่สนใจเขา ภายในรถม้าเกิดความเงียบสงัดลงทันใด เย่ซิวตู๋ยังอยากพูดอะไรบางอย่าง ทว่าก็กลัวว่าจะทำให้นางเคลื่อนไหวตัวตามอำเภอใจจนบาดแผลรุนแรงยิ่งกว่าเดิม จึงทำได้เพียงแค่มองนางด้วยความเป็นกังวล
รถม้าแล่นมาหยุดที่ตำหนักอ๋องซิวอย่างรวดเร็ว เย่ซิวตู๋อุ้มอวี้ชิงลั่วลงจากรถม้าโดยไม่สนใจท่าทีต่อต้านของนาง
เพิ่งจะเดินเข้าประตูตำหนัก ก็พบหนานหนานวิ่งเข้ามาด้วยความรีบร้อน ทว่าตอนที่ดวงตาอันเต็มไปด้วยความสุขระคนเจ้าเล่ห์คู่นั้นเห็นรอยแส้บนตัวอวี้ชิงลั่ว สีหน้ากลับอึมครึมลงในบัดดล
………………………………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
โป๊ะแล้วแหละ เสด็จพ่อรู้ตั้งนานแล้ว
ท่านอ๋องเตรียมง้อเมียกับลูกได้เลยนะคะ
ไหหม่า(海馬)