อลวนรักหมอหญิงชิงลั่ว - ตอนที่ 354 คำพูดประโยคเดียว เกี่ยวโยงถึงสามฝ่าย
ตอนที่ 354 คำพูดประโยคเดียว เกี่ยวโยงถึงสามฝ่าย
ตอนที่ 354 คำพูดประโยคเดียว เกี่ยวโยงถึงสามฝ่าย
อวี้ชิงลั่วจ้องมองสตรีที่ชี้นิ้วอันสั่นระริกมาด้วยความโกรธขึ้ง ทว่าปากกลับพูดอย่างไร้ความปรานีว่า “แล้วเจ้าคิดว่าตัวเองเป็นใคร ถึงได้บังอาจมาชี้หน้าข้า?”
ระหว่างที่พูด อวี้ชิงลั่วก็คว้านิ้วของคนผู้นั้นมาและหักเบา ๆ ขึ้นไปด้านบน
ต่อให้สตรีสูงศักดิ์ผู้นั้นคิดจะรักษาภาพลักษณ์ แต่บัดนี้นางกลับกรีดร้องด้วยความเจ็บปวด เสียงนั้นมิต่างอันใดกับสุกรถูกเชือด ดึงดูดสายตาของคนอื่นให้หันมองมาอย่างรวดเร็ว
วินาทีที่เสียงของนางดังขึ้น อวี้ชิงลั่วก็รีบปล่อยมือนาง ตวัดสายตาเหลือบมองนางด้วยรอยยิ้ม
“เจ้า…เจ้าหักมือข้า…เจ้า…สตรีอย่างเจ้ามัน…” เสียงของนางขาด ๆ หาย ๆ ท้ายที่สุดก็ดึงดูดสายตาของคนที่นั่งอยู่ฝั่งเดียวกัน
ไทเฮา ฮองเฮา และเหมิงกุ้ยเฟยที่นั่งอยู่ตรงกลางพากันหันมามองเหตุการณ์เหล่านี้ทันที
สีพระพักตร์ของไทเฮาดูไม่สบอารมณ์เล็กน้อย มุมพระโอษฐ์คว่ำลง ส่วนฮองเฮากลับมีสีพระพักตร์เรียบเฉย ราวกับมิได้สนพระทัยการเคลื่อนไหวเหล่านี้เท่าใดนัก
เดิมทีเหมิงกุ้ยเฟยแค่อยากส่งคนมาทางนี้ เพื่อทำให้พวกนางเงียบเสียงลงสักหน่อย
ทว่าคิดไม่ถึงเลยว่าตอนที่นางมองมาทางนี้ กลับพบอวี้ชิงลั่วที่มีผ้าสีขาวปิดบังใบหน้ายืนอยู่มุมหนึ่งด้วยท่าทีน่าเกรงขาม
“แม่นางชิงรึ?” เหมิงกุ้ยเฟยหรี่ตาลง เอ่ยถามเคล้ารอยยิ้ม
อวี้ชิงลั่วค้อมกายให้นางเล็กน้อย แย้มยิ้มตอบว่า “เพคะ ถวายบังคมกุ้ยเฟยเหนียงเหนียงเพคะ”
เมื่อไทเฮาเห็นเหมิงกุ้ยเฟยเอ่ยวาจา จึงปรายพระเนตรมาทางนี้
ไทเฮาคือพระมาตุจฉาของฮองเฮา ทั้งยังเป็นคนใกล้ชิดที่สุดของฮองเฮา ทว่าภายหลังฮองเฮากลับพ่ายแพ้เหมิงกุ้ยเฟยจากการแก่งแย่งความโปรดปรานจากฮ่องเต้ ชีวิตของพระนางจึงคล้ายกับอยู่ในตำหนักเย็นก็มิปาน ไทเฮาเห็นเหมิงกุ้ยเฟยแล้วย่อมรู้สึกขัดหูขัดตาจึงชักสีหน้าใส่
พระนางและเหมิงกุ้ยเฟยนั้นไม่ลงรอยกัน จึงย่อมไม่ชอบสตรีที่เหมิงกุ้ยเฟยใกล้ชิดสนิทสนม ยิ่งไปกว่านั้น แม่นางชิงที่เหมิงกุ้ยเฟยเอ่ยถึง…คือหมอปีศาจที่ช่วยชีวิตองค์ชายเจ็ดของเหมิงกุ้ยเฟย และอาศัยอยู่ในตำหนักของเย่ซิวตู๋ซึ่งเป็นองค์ชายห้ามิใช่รึ?
ด้วยเหตุนี้ ก็ยิ่งตอกย้ำความไม่โปรดปรานของพระนางเข้าไปใหญ่
พระนางจึงแค่นเสียงเย็น พลังบนเรือนกายมิได้โกรธขึ้งทว่าเย่อหยิ่ง สายพระเนตรกวาดสำรวจบนร่างกายของอวี้ชิงลั่ว แล้วกล่าวกับนางอย่างดูหมิ่นว่า “เอะอะโวยวายจนกลายเป็นเช่นไรไปแล้ว? ไม่หัดดูเสียบ้างว่าที่นี่คือที่ใด ยังเห็นฮ่องเต้กับเราอยู่ในสายตาหรือไม่?”
“ไทเฮา โปรดไทเฮาให้ความเป็นธรรมกับหม่อมฉันด้วยเพคะ” สตรีที่เสียเปรียบให้อวี้ชิงลั่วรีบก้าวไปด้านหน้า คุกเข่าลงเบื้องพระพักตร์ไทเฮา จนฮูหยินคนอื่น ๆ ที่อยู่กับนางนั้นถลึงตามองมาที่อวี้ชิงลั่ว ก่อนจะคุกเข่าลงบนพื้นตามสตรีผู้นั้นด้วย
หากเป็นคนที่อยู่วงในต่างก็ทราบดีว่าความสัมพันธ์ระหว่างไทเฮาและเหมิงกุ้ยเฟยนั้น ไทเฮาย่อมรู้สึกขัดหูขัดตาคนจากฝั่งเหมิงกุ้ยเฟย เช่นเดียวกับตอนนี้ คำพูดของไทเฮาก็หันปลายหอกชี้ไปทางอวี้ชิงลั่วเช่นกัน พวกนางมั่นใจว่าครั้งนี้อวี้ชิงลั่วคงได้รับกรรมเป็นแน่ หากออกตัวร้องทุกข์ต่อเบื้องพระพักตร์ไทเฮาก่อนย่อมได้เปรียบ
“ไทเฮา หม่อมฉันคือฮูหยินของใต้เท้าเฉียนเจ้ากรมขุนนางเพคะ เมื่อครู่หม่อมฉันกำลังพูดคุยกับฮูหยินท่านอื่น ๆ คิดไม่ถึงเลยว่าผู้นี้…แม่นางชิงผู้นี้ไม่รู้เกิดอะไรขึ้นกับนาง จู่ ๆ ก็หันมาต่อว่าหม่อมฉัน ทั้งยังลงมือกับหม่อมฉันอย่างหยาบคาย หักนิ้วมือของหม่อมฉันด้วยเพคะ”
ฮูหยินเฉียนพูดขึ้น ฮูหยินคนอื่น ๆ ก็พยักหน้าตาม
สายพระเนตรดุร้ายของไทเฮามองมาที่อวี้ชิงลั่ว ก่อนจะเปล่งน้ำเสียงเย็นยะเยือก “แม่นางชิง เรารู้สึกขอบคุณที่เจ้าเคยช่วยชีวิตองค์ชายเจ็ดไว้ วันนี้เจ้าได้มานั่งชมการแข่งขันใหญ่สี่อาณาจักรถึงที่นี่ ก็นับว่าฮ่องเต้ทรงมีเมตตาแล้ว เจ้าไม่สำนึกบุญคุณก็เอาเถิด แต่เจ้ากลับสร้างความวุ่นวายเช่นนี้ ไม่รู้ถึงโทษเลยหรือ?”
อวี้ชิงลั่วทราบดี ไทเฮาไม่ได้คิดจะเล่นงานนาง คนที่ไทเฮาคิดจะเล่นงานมีแค่เหมิงกุ้ยเฟยเท่านั้น
ส่วนเหมิงกุ้ยเฟย หลังจากค้นพบสถานะของนางแล้ว จึงนั่งมองอยู่ข้าง ๆ ด้วยท่าทางสง่างามสูงส่ง มิได้เอ่ยสิ่งใด และไม่คิดจะแก้ต่างแทนนาง
อวี้ชิงลั่วแอบยิ้มเยาะในใจ ก้าวเท้ามาด้านหน้าเพื่อทำความเคารพไทเฮา แล้วเอ่ยเสียงใส
“ไทเฮา หม่อมฉันมิกล้าดูหมิ่นต่อพระมหากรุณาธิคุณ เมื่อครู่เป็นเพราะหม่อมฉันผลีผลามเอง เพียงแต่หม่อมฉันได้ยินฮูหยินเฉียนและคนอื่น ๆ พูดจาไม่รู้จักกาลเทศะ ดูหมิ่นเสาหลักของอาณาจักรเฟิงชาง ความโกรธภายในใจของหม่อมฉันจึงปะทุขึ้นมา ทำให้ลืมตัวขาดสติ โปรดไทเฮาอภัยโทษให้หม่อมฉันด้วยเพคะ”
ฮูหยินเฉียนขมวดคิ้วมุ่น พูดออกมาโดยไม่ไตร่ตรองว่า “ข้าดูหมิ่นเสาหลักของอาณาจักรตั้งแต่เมื่อใดกัน?”
อวี้ชิงลั่วรอนางเอ่ยประโยคนี้จบ ไม่รอให้ไทเฮาได้ตรัสสิ่งใด นางก็กล่าวออกไปว่า “เมื่อครู่ฮูหยินเฉียนกล่าวว่า ในกลุ่มขบวนผู้เข้าแข่งขันฝ่ายบู๊ มีคนไร้ซึ่งการอบรมสั่งสอน สมควรตาย ๆ ไปเสียเพื่อมิให้อาณาจักรต้องอับอายขายขี้หน้า จริงหรือไม่?”
ฮูหยินเฉียนชะงัก คิ้วขมวดมุ่น พวกนางเคยพูดเช่นนี้ แล้วจะทำไม?
“ฮูหยินเฉียน ผู้เข้าแข่งขันในสนามล้วนแล้วแต่ผ่านช่วงเวลาแห่งความยากลำบากในการฝึกฝนกันทั้งสิ้น ทั้งหมดนี้ก็เพื่อความรุ่งโรจน์ของอาณาจักร ทุกคนล้วนมีปณิธานที่ยิ่งใหญ่ เป็นบุรุษผู้มีความเที่ยงตรงแน่วแน่ของอาณาจักรเฟิงชาง ทั้งยังเป็นเด็กผู้มีคุณสมบัติมายืนอยู่ในสนามที่ผ่านการคัดสรรโดยฮ่องเต้ เมื่อครู่ท่านด่าทอดูหมิ่นเด็กคนนั้น เขาเป็นถึงสหายพระโอรสขององค์รัชทายาท ผู้ที่เขายกย่อง ให้ความเคารพและเลื่อมใส รวมถึงคอยติดตามก็คือเฉิงซื่อจื่อ ท่านดูหมิ่นเขา มิเท่ากับกำลังกล่าวหาว่าเฉิงซื่อจื่อไม่อบรมสั่งสอนเขาหรอกหรือ? ยิ่งไปกว่านั้น ตลอดระยะเวลาครึ่งเดือนมานี้ เขาได้ฝึกฝนทักษะการต่อสู้กับท่านอ๋องซิวที่ตำหนักอ๋องซิวมาโดยตลอด นั่นก็เป็นพระบัญชาจากฮ่องเต้ ฟังความหมายที่อยู่ในคำพูดของท่าน มิเท่ากับกำลังกล่าวว่าฮ่องเต้สายพระเนตรไร้แวว ท่านอ๋องซิวมิอาจอบรมสั่งสอนคนได้หรอกหรือ?
ฮูหยินเฉียนสูดลมเย็นเข้าปอด มองอวี้ชิงลั่วด้วยความตกตะลึง
สีพระพักตร์ของไทเฮา ฮองเฮา และเหมิงกุ้ยเฟย เปลี่ยนเป็นความซับซ้อนในพริบตาเดียว
อวี้ชิงลั่วยังอยู่ในท่าทีเด็ดเดี่ยวและองอาจผึ่งผาย ทว่าในใจกลับลอบยิ้ม นางรู้มาจากหนานหนานก่อนหน้านี้แล้ว ไทเฮาโปรดปรานเด็กน้อยคนนั้นมาก ให้รางวัลชิ้นแล้วชิ้นเล่า ทั้งยังชื่นชมผงไข่มุกของหนานหนานไม่หยุดหย่อน
ตอนที่หนานหนานถูกเลือกเป็นผู้เข้าแข่งขันวรยุทธ์ช่วงแรก ไทเฮาแทบจะวิ่งไปหาฮ่องเต้ถึงที่ เพื่อเปลี่ยนตัวผู้เข้าแข่งขัน เพียงแต่ถูกหนานหนานโน้มน้าวพระทัย ภายหลังหนานหนานต้องไปฝึกซ้อมวรยุทธ์กับเย่ซิวตู๋ที่ตำหนักอ๋องซิว ทำให้ไทเฮารู้สึกอาลัยอาวรณ์ยิ่งนัก
ดังนั้น หากมีใครดูหมิ่นหนานหนาน ภายในพระทัยของไทเฮาย่อมไม่โปรดปราน
ฮองเฮา…แม้ว่าจะนั่งเป็นผู้ชมด้วยสายพระเนตรเย็นชาโดยมิได้เปล่งวาจาใดออกมา ทว่าเย่หลานเฉิงเป็นหลานชายแท้ ๆ ของพระนาง เมื่อดึงเย่หลานเฉิงไปเกี่ยวข้อง พระนางย่อมไม่เห็นด้วยกับคำพูดของฮูหยินเฉียน
ส่วนเหมิงกุ้ยเฟย อวี้ชิงลั่วลอบยิ้มเยาะอยู่ภายในใจ เหมิงกุ้ยเฟยผู้นี้แม้จะต่อต้านเย่ซิวตู๋ แต่นั่นก็เป็นการต่อสู้ภายในเท่านั้น หากพระนางยอมรับว่าเย่ซิวตู๋ไม่มีปัญญาอบรมสั่งสอนเด็กได้ในเวลานี้ มิเท่ากับกำลังยอมรับว่าตนเองเป็นแม่ที่ล้มเหลวรึ? นั่นมิเท่ากับเป็นการตบหน้าตนเองหรอกหรือ?
คำพูดของอวี้ชิงลั่ว กลับทำให้สตรีทั้งสามที่มีตำแหน่งสูงส่งที่สุดภายในงานถูกดึงเข้ามาเกี่ยวข้องทั้งหมด ทำให้พวกนางต้องย้ายมายืนฝั่งเดียวกับอวี้ชิงลั่วในชั่วพริบตา
ฮูหยินเฉียนเข้าใจแล้วว่าคนที่นางดูหมิ่นเมื่อครู่เป็นใครกันแน่ ส่วนการร้องทุกข์ของตนเอง คาดว่าไม่เพียงแต่มิได้ประโยชน์อันใดแล้ว แต่กลับทำให้นางมาถึงจุดที่ตกอยู่ในหายนะที่มิอาจแก้ไขอะไรได้
น่าเสียดายที่อวี้ชิงลั่วยังรู้สึกไม่สาแก่ใจ จึงหัวเราะใส่นางด้วยสีหน้ามืดหม่น
……………………………………………………………………………………………………………………..
สารจากผู้แปล
อย่ามาปากแจ๋วแข่งกับชิงลั่วนะนังฮูหยินเฉียน โดนโต้กลับไปทีคือเตรียมขุดหลุมฝังศพตัวเองได้เลย
ไหหม่า(海馬)