อลวนรักหมอหญิงชิงลั่ว - ตอนที่ 356 คนที่ถูกปัดตก
ตอนที่ 356 คนที่ถูกปัดตก
ตอนที่ 356 คนที่ถูกปัดตก
อวี้ชิงลั่วมิได้พูดคุยกับเย่หว่านเยียนอีก สายตาของนางจับจ้องไปยังผู้เข้าร่วมการแข่งขันเหล่านั้นโดยไม่รู้ตัว
การแข่งขันจะเริ่มจากการแข่งขันฝ่ายบุ๋นสลับกับการแข่งขันฝ่ายบู๊ การแข่งขันรอบแรกสุดคือการแข่งขันฝ่ายบุ๋นรุ่นห้าขวบถึงสิบขวบ
คนที่เข้าแข่งขันสนามแรกคือเย่หลานเฉิง
ผู้เข้าร่วมการแข่งขันมีทั้งหมดแปดคนจากสี่อาณาจักร เมื่อเด็กทั้งแปดคนออกมา ผู้เข้าการแข่งขันคนอื่น ๆ ก็ทยอยเดินขึ้นบนอัฒจันทร์ นั่งตัวตรงอยู่ฝั่งตรงกันข้ามกับที่นั่งของอวี้ชิงลั่ว
การแข่งขันฝ่ายบุ๋นมีทั้งหมดหกรายการ ได้แก่ ต่อกลอน หมากรุก บรรเลงดนตรี วาดภาพ บทกวี คำนวณ
ส่วนการแข่งขันฝ่ายบู๊มีรายการมากกว่าเล็กน้อย รายการที่ไร้ขีดจำกัดมากที่สุดก็คือการแข่งวรยุทธ นอกจากนี้ยังมีการขี่ม้า ยิงธนู ชู่จวี[1] วิ่ง รำดาบ วิ่งตีลูกหนัง[2] ลูกหนังน้ำ[3] และงัดข้อ
ผู้เข้าแข่งขันแต่ละคน สามารถเข้าร่วมการแข่งขันได้มากสุดเพียงสองรายการเท่านั้น
จำนวนคนที่เข้าร่วมการแข่งขันฝ่ายบุ๋นมีจำนวนมากเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ด้วยเหตุนี้ แค่คนละหนึ่งรายการก็นับว่าเพียงพอ เย่หลานเฉิงเข้าร่วมเพียงการต่อกลอนคู่เท่านั้น ส่วนหนานหนานนั้นนอกจากแข่งวรยุทธแล้ว ยังตัดสินใจแอบไปปรึกษากับฮ่องเต้โดยพลการ เพื่อเข้าร่วมชู่จวีอีกหนึ่งรายการด้วย
คนชอบเข้าร่วมสนุกอย่างเขาจะปล่อยกิจกรรมเช่นนี้ไปได้อย่างไรกัน?
การแข่งขันเริ่มขึ้นอย่างเป็นทางการ เย่หลานเฉิงและผู้เข้าร่วมการแข่งขันคนอื่น ๆ อีกเจ็ดคนกำลังยืนอยู่ตรงกลาง สายตาฉายแววระมัดระวังและเข้มงวด ฮ่องเต้ทรงลุกขึ้นยืน ยกพระหัตถ์ขึ้น ทหารองครักษ์ที่ยืนอยู่ข้างสนามแข่งขันต่างตีกลองที่ตั้งอยู่ข้าง ๆ จนเกิดเสียงดัง ‘ตึง ๆ’ เซ็งแซ่อื้ออึง
โต๊ะทั้งแปดตัวจัดเรียงหนึ่งแถวหน้ากระดาน เด็กน้อยทั้งแปดที่ดูเหมือน ๆ กันนั่งลงบนตำแหน่งของตนเอง เพื่อรอตั้งรับกับคำถาม
“น่าเบื่อจริง ๆ” ระหว่างที่อวี้ชิงลั่วกำลังจ้องมองไปยังเย่หลานเฉิงด้วยสายตาแผดเผา ก็ได้ยินเสียงที่แสนเบื่อหน่ายดังขึ้นจากด้านข้าง
นางชะงักไปเล็กน้อย คิ้วพลันขมวดมุ่น
เย่หว่านเยียนเห็นอวี้ชิงลั่วไม่กล่าวสิ่งใด จึงถอนหายใจแรง ๆ อีกหน แล้วกล่าวว่า “การแข่งขันของเด็กอายุต่ำกว่าสิบขวบ ไม่มีอะไรน่าดูหรอก แม่นางชิง เหตุใดเจ้าดูตื่นเต้นนัก เจ้าดูทุกคนสิ ไม่มีใครสนใจสักคน”
อวี้ชิงลั่วช้อนสายตาขึ้น มองไปยังสตรีที่อยู่ด้านหลัง ก่อนจะมองไปยังตำแหน่งทางฝั่งฮ่องเต้
เป็นอย่างที่เย่หว่านเยียนพูดไว้จริง ๆ ดูเหมือนว่าทุกคนจะไม่ได้ตื่นเต้นมากมายนัก มีบางคนกำลังบ่นพึมพำพูดคุยบางอย่าง ท่าทางดูเลื่อนลอย
อวี้ชิงลั่วเม้มปาก นางเข้าใจได้แล้วว่าสำหรับคนจำนวนมาก ผู้เข้าแข่งขันที่มีอายุต่ำกว่าสิบขวบ ทั้งยังเป็นเด็กที่ไม่รู้อะไรนอกจากเล่นสนุก ต่อให้ประสบความสำเร็จมากกว่านี้ หรือต่อคำกลอนได้ดีกว่านี้ ในสายตาของพวกเขาก็เป็นแค่เพียงของเล่นเด็กเท่านั้น
เว้นเสียแต่ว่าในกลุ่มเด็กเหล่านี้ จะมีผู้เข้าแข่งขันที่ทำให้คนขนานนามว่าเป็นเด็กอัจฉริยะปรากฏตัวขึ้นมา
“แม่นางชิง เจ้าคิดว่าในบรรดาพวกเขาใครจะชนะรึ?” เย่หว่านเยียนดูเหมือนจะช่างเจรจาเสียเหลือเกิน ต่อให้อวี้ชิงลั่วไม่พูดอะไร นางก็สามารถพูดเองเออเองต่อไปได้ ไม่ได้รู้สึกเคอะเขินแม้แต่น้อย
สายตาของอวี้ชิงลั่วจรดลงที่เย่หลานเฉิง มองเห็นท่าทางใจเย็นของเขา นางก็เบาใจ จากนั้นจึงหันกลับมามองเย่หว่านเยียน เอ่ยถามด้วยท่าทีจริงจังว่า “ท่านอยากให้ใครชนะ?”
“ข้าย่อมหวังให้เย่หลานเฉิงชนะอยู่แล้ว” เย่หว่านเยียนกลอกตาใส่ ราวกับอวี้ชิงลั่วได้ถามอะไรไร้สาระ “หลานเฉิงไม่เพียงแต่เป็นผู้เข้าแข่งขันของอาณาจักรเฟิงชาง แต่ยังเป็นหลานชายของข้าด้วย ต่อให้ข้าจะไม่ชอบท่านพี่รัชทายาท และรู้สึกว่าเขาโง่เขลาเบาปัญญาเกินไป แต่หลานเฉิงกลับเอาอย่างไท่จื่อเฟยพระเชษฐภคินี (พี่สะใภ้) ของข้า จึงทำให้เขาเป็นเด็กที่มีความฉลาดปราดเปรื่องยิ่งนัก เพียงแต่ สองปีมานี้เขาถูกทอดทิ้งให้อยู่ในวังมาโดยตลอด ไม่มีอาจารย์คอยชี้นำ ข้าจึงรู้สึกเป็นห่วงเขาไม่น้อย”
อวี้ชิงลั่วแย้มยิ้ม เย่หว่านเยียนช่างกล้าพูดจริง ๆ แม้แต่คำว่ารัชทายาทโง่เขลาเบาปัญญาก็กล้าพูดออกมาต่อหน้านาง ไร้ความหวาดกลัวว่ารัชทายาทมาได้ยินแล้วจะรู้สึกไม่พอใจหรือไม่
“เอ๋ จริงสิ แม่นางชิง ข้าได้ยินมาว่าช่วงนี้หลานเฉิงไปค้างแรมอยู่ที่ตำหนักอ๋องซิว เจ้าและเย่หลานเฉิงก็น่าจะรู้จักกัน เย่หลานเฉิงเป็นเช่นไรเจ้าก็น่าจะทราบดี เจ้าคิดว่า เขามีความมั่นใจที่จะได้รับชัยชนะหรือไม่?”
“ชนะหรือไม่ข้าไม่กล้าพูดหรอก แต่อย่างน้อย ๆ ในเวลานี้ ในบรรดาเด็กทั้งแปดคนในสนามแข่งขัน มีเพียงเย่หลานเฉิงเพียงคนเดียวเท่านั้นที่มีท่าทีมั่นใจในตนเองมากที่สุด ใจเย็น และไม่ได้มีความขี้ขลาดแม้แต่น้อย”
เย่หว่านเยียนชะงัก รีบหันกลับไปมอง ท่าทางของเย่หลานเฉิงแตกต่างจากเด็กอีกเจ็ดคนที่เหลืออย่างสมบูรณ์จริง ๆ
อายุของผู้เข้าแข่งขันทั้งแปดคนไล่เลี่ยกัน แต่เด็กคนอื่น ๆ นั้นเมื่อต้องแสดงความสามารถต่อหน้าผู้สูงศักดิ์จำนวนมาก ในใจย่อมเกิดความประหม่าไม่มากก็น้อย ต่อให้ภายนอกจะดูใจเย็นมากกว่านี้ แต่ท่าทางกำมือเล็ก ๆ จนแน่น ก็แสดงออกให้เห็นถึงความคิด พวกเขาแล้ว
เย่หว่านเยียนแย้มยิ้มขึ้นทันใด หันมาหาอวี้ชิงลั่วแล้วกล่าวว่า “ดูเหมือนว่าพอได้ยินเจ้าพูดเช่นนี้ ข้าก็เริ่มสนใจการแข่งขันของพวกเขาขึ้นมาแล้วสิ”
เสียงพูดของนางสิ้นสุดลง กรรมการคุมสอบผู้ถามคำถามก็ยืนอยู่ด้านหน้ากระดาน บนกระดานไม้นั้นมีม้วนกระดาษแขวนอยู่หนึ่งม้วน
ครั้นเห็นกรรมการคุมสอบยกมือขึ้น ก็ดึงเชือกสีแดงที่อยู่ข้าง ๆ ม้วนกระดาษ ม้วนกระดาษจึงถูกกางออกทันใด เผยให้เห็นกลอนท่อนแรกที่มีความงดงามดั่งหงส์ร่อนมังกรรำ
‘กลางหอระฆังกลอง กังสดาลก้องไม่รู้สิ้นทั้งราตรี’
ทั่วทั้งสนามเงียบสงัดลงทันใด กรรมการคุมสอบผู้นั้นลูบเคราด้วยท่าทางเย่อหยิ่งไม่แยแส “เชิญผู้เข้าแข่งขัน จับคู่กลอนท่อนหลัง”
เย่หลานเฉิงหลุบสายตาครุ่นคิดเพียงครู่หนึ่ง ก่อนจะยกมือขึ้นจับพู่กันในมือ ค่อย ๆ จุ่มหมึกอย่างเนิบช้า ตวัดพู่กันราวบินเหิน เพียงไม่นานบนกระดาษก็ปรากฏกลอนท่อนหลังขึ้น
กลอนคู่นี้ไม่ยาก สำหรับพวกเขาแล้วสามารถจับคู่กลอนได้อย่างง่ายดาย
ความยากอยู่ที่ผู้เข้าแข่งขันทั้งแปดคนต้องเขียนกลอนท่อนหลังที่คิดได้ออกมาให้เร็วที่สุด นอกจากนี้ ตัวอักษรต้องเป็นระเบียบเรียบร้อยสะอาดสะอ้านด้วย กล่าวอีกนัยหนึ่ง การแข่งขันรายการนี้ไม่เพียงแต่จับคู่กลอน แต่ยังเปรียบเทียบลายมือด้วย
เย่หลานเฉิงมิใช่คนแรกที่เขียนกลอนท่อนหลังเสร็จ แต่ก็ไม่ได้รั้งอยู่สองอันดับหลัง เพียงไม่นานก็ส่งกลอนท่อนหลังให้กรรมการคุมสอบทั้งห้าคนที่นั่งอยู่ด้านข้าง
ทุกคนได้เห็นลายมือที่ตวัดทว่ากลับเฉียบคมนั้น นัยน์ตาพลันเป็นประกายสว่างวาบ หลังหันสบตากันปราดหนึ่ง แล้วจึงพยักหน้ารัว ๆ “ดี…เขียนได้ดี”
จากนั้นจึงมองที่กลอนท่อนหลังของเย่หลานเฉิงอีกหน ‘ภายในสนามจินเคอ ขอให้วันนี้สอบผ่านด้วยดี’ สีหน้าของพวกเขาฉายแววพึงพอใจมากยิ่งขึ้น
คนอื่น ๆ ทยอยส่งกลอนท่อนหลัง กรรมการคุมสอบทั้งห้าคนคำนวณรวมกัน จากนั้นก็เลือกกลอนสี่แผ่นที่มีความพิเศษออกมาวางข้าง ๆ
ประธานกรรมการคุมสอบลุกขึ้นยืน ค้อมกายคารวะฮ่องเต้อย่างพินอบพิเทา กล่าวเสียงใสว่า “ฝ่าบาท หลังจากผ่านการรวบรวมคะแนนของใต้เท้าทุกท่านแล้ว ผู้ชนะทั้งสี่ท่านในการแข่งขันครานี้ได้แก่ เจี่ยงเซิงแห่งอาณาจักรหลิวอวิ๋น เย่หลานเฉิงแห่งอาณาจักรเฟิงชาง มู่หรงเล่อแห่งอาณาจักรจิงเหลย และเกาหลิ่วแห่งอาณาจักรเทียนอวี่พ่ะย่ะค่ะ”
ครั้นกล่าวจบ ก็นำกลอนท่อนหลังของทั้งสี่คนลงมาจากกระดาน ส่งมอบให้เหมียวกงกงด้วยสองมือ
เหมียวเชียนชิวก้าวเท้านำกลอนของพวกเขาขึ้นไปถวายยังเบื้องพระพักตร์ของฮ่องเต้
ครั้นทุกคนได้อ่าน ต่างพากันพยักหน้าไม่หยุด เป็นอันเห็นด้วยกับผลลัพธ์นี้
“มีอะไรผิดพลาดหรือไม่ กลอนของเจี่ยงเซิงแห่งอาณาจักรหลิวอวิ๋นนั่น ยังสู้ผู้แข่งขันอีกคนของอาณาจักรเทียนอวี่ไม่ได้เลย เหตุใดคนคนนั้นจึงไม่ถูกเลือก กลับมอบตำแหน่งนี้ให้อาณาจักรหลิวอวิ๋นเสียได้?” จู่ ๆ เย่หว่านเยียนก็พูดโพล่งออกมา น้ำเสียงโกรธขึ้งนั้น ทำให้อวี้ชิงลั่วที่นั่งอยู่ข้าง ๆ ถึงกับตกใจ
……………………………………………………………………………………………………………………….
[1] ชู่จวี (蹴鞠) เป็นการละเล่นหรือกีฬาชนิดหนึ่งของจีนโบราณ ที่มีลักษณะการเล่นคล้ายกับกีฬาตะกร้อในยุคปัจจุบัน (ภาพจาก https://baike.baidu.hk/item/%E8%B9%B4%E9%9E%A0/344001)
[2] วิ่งตีลูกหนัง (步打球) เป็นกิจกรรมที่ดัดแปลงมาจากกีฬาหม่าฉิว ในสมัยราชวงศ์ถัง กีฬาหม่าฉิวได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก แต่ก็นับว่าเป็นกีฬาที่อันตรายและสามารถบาดเจ็บได้ง่าย นอกจากนี้ค่าม้าและค่าอุปกรณ์การเล่นก็มีราคาสูงเกินไป ทำให้กีฬาชนิดนี้เป็นกีฬาเฉพาะกลุ่มชนชั้นสูง แต่มีสาวใช้ในวังนางหนึ่งรู้สึกอิจฉาที่ตนเองไม่สามารถเล่นกีฬาแบบนั้นได้ จึงได้เกิดความคิดนำกีฬาหม่าฉิวมาปรับเปลี่ยนเป็นการเดินหรือวิ่งแทนการขี่ม้าเพื่อหลีกเลี่ยงการบาดเจ็บจากการตกม้า ภายหลังก็กลายเป็นการละเล่นที่สามารถเล่นได้ทุกเพศทุกวัย การเล่นคล้ายกับกีฬาฮอกกี้ในปัจจุบัน (ภาพจาก https://baike.sogou.com/v21792.htm)
[3] ลูกหนังน้ำ (水球) คือการเล่นโปโลน้ำ (ภาพจาก https://zh.wikipedia.org/wiki/1900%E5%B9%B4%E5%A4%8F%E5%AD%A3%E5%A5%A7%E6%9E%97%E5%8C%B9%E5%85%8B%E9%81%8B%E5%8B%95%E6%9C%83%E6%B0%B4%E7%90%83%E6%AF%94%E8%B3%BD)
สารจากผู้แปล
ยากเหมือนกันนะเนี่ย ต่อกลอนให้เร็วแล้วยังต้องเขียนให้สวยอีก ใช้ทั้งไหวพริบปฏิภาณและสมาธิอันมั่นคงเลยแหละ
ไหหม่า(海馬)