อลวนรักหมอหญิงชิงลั่ว - ตอนที่ 357 คว้าชัย
ตอนที่ 357 คว้าชัย
ตอนที่ 357 คว้าชัย
ตำแหน่งที่พวกนางนั่งอยู่ค่อนไปทางด้านหน้า กลอนท่อนหลังที่แขวนอยู่ด้านบนกระดานไม้จึงปรากฏสู่สายตาของพวกนางอย่างแจ่มชัด
อวี้ชิงลั่วไม่ค่อยถนัดเกี่ยวกับบทกวีของคนสมัยโบราณ หากให้นางพูดถึงชื่อยาคงมีน้อยคนที่จะเอาชนะนางได้ แต่หากเป็นเรื่องกลอนคู่น่ะหรือ… นางเขียนจับคู่ด้วยตัวอักษรบรรจงได้ก็นับว่าไม่เลวแล้ว
ทว่าเย่หว่านเยียนคือองค์หญิงของราชวงศ์ ปกติคงเล่าเรียนบทกวีมาไม่น้อย ย่อมเข้าใจว่าสิ่งใดดีหรือไม่ดี
“นี่เป็นวิธีหนึ่งที่ทุกคนเข้าใจซึ่งกันและกันโดยไม่จำเป็นต้องพูดเอื้อนเอ่ยออกมาก็เท่านั้น”
เย่หว่านเยียนคิดไม่ถึงว่าอวี้ชิงลั่วจะตอบคำถามนาง จึงหันกลับมาด้วยความตระหนก เอ่ยถามอย่างฉงนสงสัยว่า “หมายความว่าอย่างไร? เข้าใจซึ่งกันและกันโดยไม่จำเป็นต้องเอื้อนเอ่ยออกมา? เจ้าหมายความว่า การจัดอันดับของการแข่งขันประเภทนี้ ถูกกำหนดไว้ตั้งแต่แรกแล้วงั้นรึ?”
“จะพูดแบบนี้ก็ไม่ถูก การแข่งขันประเภทนี้ เดิมทีต้องการแค่สามอันดับแรกก็เพียงพอแล้ว ดังนั้นคนอื่น ๆ ที่อยู่รั้งท้ายจึงไม่ได้มีความสำคัญอะไรเลย สี่อาณาจักรต่างก็รักษาหน้าตากันทั้งนั้น คงไม่มีใครยินดีหากผู้เข้าแข่งขันทั้งสองคนของตนเองตกรอบตั้งแต่รอบแรก หากทั้งสองคนถูกปัดตก ภายในใจย่อมรู้สึกไม่สมดุล รอดูเถิด การแข่งขันที่แท้จริงเพิ่งจะเริ่มต้นขึ้น”
เย่หว่านเยียนได้ยินนางกล่าวจบ ท่าทางดูเหมือนจะเข้าใจแต่ก็ไม่เข้าใจ ครั้นได้ยินนางบอกว่าการแข่งขันเพิ่งเริ่มต้นขึ้น ดวงตาของนางพลันสว่างวาบขึ้นอีกหน ขณะหันกลับไปมองที่สนามแข่งขันต่อ
ตอนที่เหลือผู้เข้าแข่งขันภายในสนามเพียงสี่คน บรรยากาศก็ตึงเครียดขึ้นภายในชั่วพริบตา
กรรมการคุมสอบกระซิบข้างหูอยู่ครู่หนึ่ง หัวข้อก็ยากขึ้นอีกระดับ
เชือกสีแดงที่อยู่บนม้วนกระดาษถูกดึง ทุกคนพลันได้เห็นกลอนท่อนแรกที่ยาวกว่าก่อนหน้านี้ ‘เอ่ยปากเคล้ารอยยิ้ม แย้มยิ้มต่ออดีตและปัจจุบัน ยิ้มให้ไม่ครั่นคร้าม’
เย่หลานเฉิงยังคงเงียบขรึมเพียงชั่วครู่ ก่อนสะบัดหัวพู่กันเขียน ไม่นาน ก็ยื่นกลอนท่อนหลังไปที่มือของกรรมการคุมสอบ ‘พระสังกัจจายน์ยังปลงได้ นภาปฐพียังปลงไหว จะมีสิ่งใดมิอาจปลง’
กรรมการคุมสอบทั้งห้าพยักหน้าอีกหน ดูเหมือนจะพึงพอใจอย่างยิ่ง
อีกสามคนที่เหลือช้ากว่าเพียงเล็กน้อย คำกลอนครึ่งหลังของเจี่ยงเซิงแห่งอาณาจักรหลิวอวิ๋น แม้จะคล้องจอง ทว่าบนม้วนกระดาษกลับมีคราบหมึกจุดใหญ่เพิ่มเข้ามา ทำให้ตัวอักษรตัวสุดท้ายเปลี่ยนเป็นคลุมเครือ ตัวอักษรก็ดูแย่ลงอย่างมากในชั่วพริบตา
เป็นเช่นนั้นจริง ๆ เจี่ยงเซิงถูกปัดตกในรอบนี้
ส่วนที่เหลือ ครั้งนี้เป็นการต่อกลอนสามอันดับแรกแล้ว
กรรมการคุมสอบแขวนม้วนกระดาษม้วนสุดท้ายลงบนกระดาน ยื่นมือดึงเพื่อเปิดม้วนกระดาษ
‘ตะวันซางไห่ รุ่งอรุณชี่เฉิง หิมะอี๋เหมย เมฆาวูเสีย ดวงจันทราต้งถิง หมอกทะเลสาบเผิงหลี่ พิรุณเซียวเซียง ยอดเขาอู่อี๋ น้ำตกหลูซาน มหัศจรรย์ทั่วเอกภพ วาดประจักษ์แก่ข้าบนผนัง’ ครั้นกลอนท่อนแรกปรากฏขึ้น ไม่เพียงแค่เย่หลานเฉิงและอีกสองคนที่ชะงัก แม้แต่เหล่าผู้สูงศักดิ์ที่นั่งอยู่บนที่นั่งก็ประหลาดใจเช่นกัน
กลอนคู่นี้ ถือว่ายากสำหรับเด็กอายุต่ำกว่าสิบขวบ
เย่หว่านเยียนเริ่มขมวดคิ้วบุ้ยปาก “กลอนครึ่งแรกนี้ใครเป็นคนคิดกัน หยิบมาผิดกระมัง เหตุใดนำมาให้หลานเฉิงกับเด็กสองคนนั้นจับคู่กลอนเสียได้?”
แม้อวี้ชิงลั่วจะไม่เข้าใจ แต่นางก็รู้สึกได้ว่าตัวอักษรที่อยู่ด้านบนเหล่านั้นคงมิได้ง่ายดายขนาดนั้น
เย่หลานเฉิงขมวดคิ้วหลุบสายตา ดูเหมือนจะเกิดความลังเลขึ้นมาแล้ว ส่วนเด็กอีกสองคนที่เหลือเม้มปากแน่นไม่เอ่ยวาจาใด แม้แต่พู่กันก็มิได้หยิบยกขึ้นมา
“เสี่ยวเฉิงเฉิง สู้ ๆ นะ เสี่ยวเฉิงเฉิง เจ้าเก่งที่สุดเลย สู้เขา ๆๆ!!!”
ภายในสนามแข่งขันใหญ่โตโอ่อ่า จู่ ๆ กลับมีเสียงตะโกนของเด็กวัยละอ่อนดังขึ้น
อวี้ชิงลั่วได้ยินเสียงนี้ก็ถึงกับต้องลอบก่ายหน้าผาก เงยหน้ามองท้องฟ้าอย่างจนปัญญา นางนึกเสียดายขึ้นมาเสียแล้วสิที่ปล่อยให้หนานหนานเข้าร่วมการแข่งขัน ทำตัวไร้กฎเกณฑ์ใด ๆ เช่นนี้ ย่อมสร้างความขุ่นเคืองให้คนไม่น้อย
เป็นเช่นนั้นจริง ๆ ขุนนางใหญ่ฝั่งนั้นเริ่มแอบกระซิบกระซาบ พากันชี้ไปหาหนานหนานที่ไม่ควรตะโกนโหวกเหวกภายในสถานที่เช่นนี้ นอกจากนี้ยังมีคนกล่าวเสียงดังขึ้นเล็กน้อย ห้ามไม่ให้หนานหนานตะโกนส่งเสียงดังเพราะจะส่งผลกระทบต่อผู้เข้าแข่งขัน
เทียบกับเสียงอื้ออึงของขุนนางทางฝั่งนั้น อิสตรีทางฝั่งนี้กลับเปลี่ยนเป็นเงียบกริบไร้สิ้นเสียง เพราะเรื่องของฮูหยินเฉียนและคนอื่น ๆ เมื่อครู่นี้ ไม่มีใครกล้าพูดถึงหนานหนานแม้แต่ครึ่งประโยค
มีเพียงเหมิงกุ้ยเฟยที่ยกมุมปากขึ้นเล็กน้อย หัวเราะด้วยท่าทีดูหมิ่น “น่าสนใจดีจริง ๆ ที่แท้เฉิงซื่อจื่อก็มีชื่อเล่นกับเขาด้วย”
ไทเฮามีสีพระพักตร์ไม่สู้ดี ถลึงพระเนตรเหลือบมองนาง แค่นเสียงเย็นตรัสว่า “ตั้งใจดูการแข่งขัน พูดมากขนาดนั้นไปไย นี่เป็นเรื่องที่ส่งผลต่อเกียรติยศของอาณาจักรเฟิงชาง หรือเจ้าไม่อยากให้หลานเฉิงชนะ? หนานหนานก็แค่ให้กำลังใจเขาเท่านั้น เราไม่คิดว่าเป็นเรื่องไม่เหมาะสม”
นัยน์ตาของเหมิงกุ้ยเฟยอึมครึมลง ทว่ากลับมิได้พูดสิ่งใด ในโอกาสเช่นนี้ นางไม่อยากขัดแย้งกับไทเฮาแบบซึ่ง ๆ หน้า
ทว่าหลังจากเย่หลานเฉิงเงยหน้ามองหนานหนานปราดหนึ่ง จู่ ๆ เขาก็แย้มยิ้มออกมา
หลังจากนั้นจึงตวัดพู่กันเขียนอย่างขะมักเขม้น เพียงไม่นานกลอนครึ่งหลังก็ถูกเขียนจนเสร็จสิ้น
ผู้เข้าแข่งขันสองคนที่เหลือเห็นเช่นนี้ เหงื่อเย็นเยียบก็ถึงกับไหลออกมาจากหน้าผาก มือที่กำพู่กันก็เริ่มไม่เป็นธรรมชาติขึ้นมา
ผ่านไปเนิ่นนาน ก็พบว่าทั้งสองคนขยับพู่กันแล้ว เพียงไม่นานก็ถึงเวลาที่กำหนดไว้ แม้ว่าเกาหลิ่วของอาณาจักรเทียนอวี่จะพูดว่าเขียนกลอนคู่ออกมาทั้งหมดแล้ว แต่ตัวอักษรกลับไม่ค่อยมีความบรรจงเท่าไรนัก ส่วนมู่หรงเล่อของอาณาจักรจิงเหลยกลับเขียนไปได้เพียงครึ่งหนึ่ง เนื่องจากท่ามกลางสถานการณ์ตื่นเต้นจนเหงื่อเย็นไหลโชก ทำให้อีกครึ่งหลังที่เหลือนั้นเขามิอาจคิดออกมาได้
หากมองดูกลอนครึ่งหลังของเย่หลานเฉิงอีกครั้ง ‘บทกวีเส้าหลิง ภาพวาดหมัวจี๋ อักษรจั่วเฉวียน พงศาวดารซือหม่า กระดาษเซวียเทา เทียบเชิญโหย่วจวิน คัมภีร์หนานหัว กวีเซียงหรู กวีร้อยกรองชวีจื่อหลี รวบรวมศิลปะโบราณจวบจนปัจจุบัน ดั่งตั้งหน้าต่างบนเขาแก่ข้า’ กลอนเขียนได้อย่างบรรจงและเข้าใจได้ชัดแจ้ง
ท่ามกลางสายตาของทุกคน นัยน์ตาปรากฏประกายแห่งความดีใจขึ้น รู้สึกได้ว่าเป็นกลอนคู่ที่ยอดเยี่ยมที่สุดแล้ว
หนานหนานดีใจจนเกือบจะกระโดดขึ้นมาจากที่นั่ง หากมิใช่เพราะขันทีตัวเล็กที่อยู่ข้าง ๆ นั้นตาไวมือไวดึงเขาไว้ เกรงว่าเด็กน้อยคงได้กลายเป็นจุดสนใจของทุกคนอีกหน
“ผู้ชนะในการแข่งขันครั้งนี้ ได้แก่ผู้เข้าแข่งขันวัยเจ็ดขวบแห่งอาณาจักรเฟิงชาง…เย่หลานเฉิง” กรรมการคุมสอบประกาศผลการแข่งขันเสียงสูง แม้ว่าผู้เข้าแข่งขันของอาณาจักรเฟิงชางต้องรักษาความสงบเสงี่ยมไว้ แต่เมื่อได้รับชัยชนะอันดับหนึ่ง ย่อมเป็นเรื่องที่ตื่นเต้นมากที่สุด จึงมีคนส่งเสียงร้องอุทานออกมาทันใด
บนพระพักตร์ของฮ่องเต้เต็มไปด้วยรอยสรวล โบกพระหัตถ์ถี่ ๆ “ดี…ดี…หลานเฉิง สมกับที่เป็นหลานชายคนเก่งของเรา ช่างน่าชื่นชมนัก”
รัชทายาทก็รู้สึกตื่นเต้นเช่นกัน นี่เป็นครั้งแรกที่เขารู้สึกภาคภูมิใจในตัวของพระโอรสคนนี้ ซื่อจื่อคนเก่งของเขา
เย่หลานเฉิงถอนหายใจอย่างโล่งอก คุกเข่าลงตรงหน้าพลางส่งเสียงถวายพระพรทันใด จากนั้นก็ถอยออกจากสนามพร้อมกับเกาหลิ่วซึ่งเป็นผู้เข้าแข่งขันแห่งอาณาจักรเทียนอวี่ที่ได้อันดับสอง และมู่หรงเล่อผู้เข้าแข่งขันอาณาจักรจิงเหลยที่ได้อันดับสาม เพื่อกลับไปนั่งประจำตำแหน่งตนเอง
หนานหนานดิ้นออกจากมือของขันทีตัวเล็กผู้นั้น แอบมุดเข้าไปข้าง ๆ เย่หลานเฉิง “เสี่ยวเฉิงเฉิง เจ้ามีพรสวรรค์จริง ๆ สุดยอดไปเลย”
“หนานหนาน การแข่งขันของข้าสิ้นสุดลงแล้ว การแข่งขันช่วงบ่ายเป็นการแข่งวรยุทธ์แล้ว เจ้า…เจ้าต้องระวังตัวด้วยนะ” เย่หลานเฉิงรู้สึกโล่งกับเรื่องของตนเอง ทว่าเขากลับเป็นกังวลใจเรื่องของหนานหนาน
เพราะหนานหนานผู้นี้ มักทำเรื่องเหนือความคาดหมายอยู่ร่ำไป…
……………………………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
หลานเฉิงเก่งมาก ต่อกลอนยากขนาดนี้นับว่าสุดยอดแล้ว ขนาดตอนแปลช่วงที่เป็นกลอน ผู้แปลยังคิดหนักเลยค่ะว่าจะแปลยังไงให้เป็นร้อยกรองแบบสละสลวย
หนานหนานจะทำเรื่องน่าหวาดเสียวอะไรอีกไหมเนี่ย
ไหหม่า(海馬)