อลวนรักหมอหญิงชิงลั่ว - ตอนที่ 358 การแข่งวรยุทธ์ของหนานหนาน
ตอนที่ 358 การแข่งวรยุทธ์ของหนานหนาน
ตอนที่ 358 การแข่งวรยุทธ์ของหนานหนาน
เดิมทีการแข่งขันใหญ่สี่อาณาจักรต้องสลับกันระหว่างการแข่งขันฝ่ายบุ๋นและฝ่ายบู๊ ช่วงบ่ายอากาศร้อนอบอ้าวยิ่งกว่าตอนเช้า
ทั้ง ๆ ที่หนานหนานยังต้องเข้าร่วมการแข่งขันวรยุทธ์ แต่เย่หลานเฉิงกลับนึกถึงคำพูดของมู่หรงเล่อผู้เข้าแข่งขันจากอาณาจักรจิงเหลยที่แอบกระซิบข้างหูเขาตอนที่ถอยออกจากสนาม คิ้วของเขาพลันขมวดมุ่นอย่างห้ามไม่อยู่
มู่หรงเล่อกล่าวว่า “เจ้าเองก็อย่าได้ภูมิใจให้มากนัก ชนะรอบแรกแล้วอย่างไร สนามแข่งขันรอบบ่ายก็อย่าได้พ่ายแพ้จนดูไม่จืด ด้วยกำลังของอาณาจักรจิงเหลยของเรา อาณาจักรเฟิงชางเล็ก ๆ ของพวกเจ้าจะเทียบชั้นได้รึ?”
เย่หลานเฉิงเม้มปากมองไปทางหนานหนาน คำพูดนั้นของมู่หรงเล่อช่างคลุมเครือ ราวกับวางอุบายบางสิ่งไว้ก็มิปาน
หนานหนานตบบ่าเคล้ารอยยิ้ม “อย่าได้กังวลใจ ข้ายังต้องสร้างชื่อเสียงให้ลือเลื่อง มีชื่อเสียงก้องไกลไปทั่วหล้า สร้างความหวาดกลัวขจรขจายทั่วสนาม และทำให้ทุกคนได้เห็นถึงความสามารถของข้า ไม่ว่าจะมีกันสักกี่คน ก็ไม่มีใครสู้ข้าได้หรอก”
เย่หลานเฉิงแอบถอนหายใจ ทำได้เพียงแค่กำชับเขาให้ระวังครั้งแล้วครั้งเล่า
การแข่งขันช่วงเช้าสิ้นสุดลงแล้ว คนที่เคยนั่งอยู่ก็ลุกขึ้นเดินออกไปอย่างเป็นระเบียบ เนื่องจากช่วงบ่ายยังมีการแข่งขันอีก ด้วยเหตุนี้ จึงรับประทานอาหารเที่ยงภายในห้องเหล่านี้ซึ่งตกแต่งอย่างวิจิตรตระการตารอบ ๆ สนามแข่งขัน หลังจากงีบนอนกลางวันแล้ว ทุกคนก็กลับเข้ามานั่งประจำที่อีกครั้ง
อวี้ชิงลั่วเงยหน้ามองพระอาทิตย์ หากคำนวณเวลาจากยุคปัจจุบัน ตอนนี้ก็น่าจะบ่ายสองโมงครึ่งแล้ว
ไม่แปลกใจที่เป็นการแข่งขันใหญ่สี่อาณาจักร ต้องจัดนานถึงหนึ่งเดือนกว่าจึงจะสิ้นสุดลง ซึ่งก็นับว่า…ค่อนข้างเร็วแล้ว
อวี้ชิงลั่วหรี่ตาลง มองไปยังผู้เข้าแข่งขันแปดคนภายใต้แสงอาทิตย์ที่ยังคงเจิดจ้า
บัดนี้มีผู้แข่งขันอาณาจักรละสองคนเช่นเดิม อวี้ชิงลั่วกวาดสายตามองอย่างละเอียด ค้นพบว่านอกจากหนานหนานแล้ว คนอื่น ๆ ต่างก็มีความสูงอันยอดเยี่ยม คาดว่าคงอายุสิบขวบทั้งหมด
ผู้ชมต่างพากันกระซิบกระซาบ แม้แต่เย่หว่านเยียนที่อยู่ข้าง ๆ ก็อดบุ้ยปากทำแก้มป่องไม่ได้ “เสด็จพ่อคิดอะไรอยู่ ให้เด็กอายุห้าขวบเข้าร่วมการแข่งวรยุทธ์เช่นนี้ คนพวกนั้นแค่เห็นก็รู้แล้วว่าเป็นยอดฝีมือที่ผ่านการฝึกยุทธ์มาหลายปี อีกอย่างก็เป็นเด็กอายุสิบขวบกันทั้งนั้น ไม่ใช่คนที่จะยั่วโทสะได้ง่าย ๆ หากเกิดอะไรขึ้นกับหนานหนานขึ้นมาจะทำอย่างไร”
อวี้ชิงลั่วกลับทำแค่เพียงยิ้มตาหยี สำหรับความสามารถของหนานหนาน อวี้ชิงลั่วมีความตั้งใจและตระเตรียมมาเป็นอย่างดี จึงมีความมั่นใจเป็นอย่างยิ่ง
การแข่งขันช่วงบ่ายตื่นเต้นยิ่งกว่าช่วงเช้ามาก แม้แต่บรรยากาศก็ตึงเครียดไม่น้อย ต่อให้เป็นฮ่องเต้ที่ประทับอยู่ในกลุ่มผู้ชมจากมุมสูง สายพระเนตรก็ฉายแววเป็นกังวลมากขึ้น การแข่งขันอื่นยังดี แต่นี่เป็นการแข่งวรยุทธ์ที่ไม่ได้สนใจว่าจะเป็นหรือตาย
หนานหนาน…จะไม่เป็นอะไรจริง ๆ รึ?
สายพระเนตรของฮ่องเต้เคลื่อนตำแหน่งเล็กน้อย จรดลงบนตัวของเย่ซิวตู๋ อีกฝ่ายช้อนสายตาขึ้นเล็กน้อย มองด้วยสายตาแฝงความหมายว่าอย่าเพิ่งรีบร้อน ให้อดทนรอดูเหตุการณ์ไปก่อน
“ท่านอ๋องซิว ได้ยินมาว่าเด็กอายุห้าขวบคนนั้นเป็นคนที่ท่านฝึกมากับมือ?” ซ่างกวนจิ่นเอ่ยยิ้มเยาะ ตวัดสายตามองเย่ซิวตู๋
เย่ซิวตู๋พยักหน้าด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ ตอบกลับหนึ่งพยางค์อย่างเย็นชา “อืม”
สิ้นสุดคำนี้ เขาไม่ได้มีความคิดจะพูดอะไรมากไปกว่านั้น
มือที่ทิ้งอยู่ข้างลำตัวของซ่างกวนจิ่นกำเข้าหากันจนแน่น เขายิ้มเยาะออกมา ก่อนจะหันมองไปทางสนามแข่ง
หนานหนานยืนอยู่ตรงกลาง เมื่อเทียบกับผู้เข้าแข่งขันอีกเจ็ดคนที่เหลือ ร่างกายของเขาดูเตี้ยกว่าคนอื่น ๆ อย่างเห็นได้ชัด กอปรกับอาหารที่กินเข้าไปเป็นจำนวนมากในแต่ละวัน ใบหน้าของเขาจึงดูกลมดิกราวลูกผิงกั๋ว เมื่อเทียบกับผู้เข้าแข่งขันคนอื่นที่มีความผอมเพรียวและจริงจัง ทำให้เขาดู…แตกต่างมากเป็นพิเศษ มีความเป็นเอกลักษณ์ โดดเด่นอย่างมาก
ทว่าสำหรับหนานหนาน นี่คือผลลัพธ์ที่เขาโปรดปรานและปรารถนามากที่สุด
รอบยิ้มประดับอยู่บนใบหน้าของหนานหนานตลอดเวลา นับตั้งแต่เข้ามาในสนาม ท่าทางตื่นเต้นนั้นดูไม่แผ่วลงเลย
ครั้นฮ่องเต้มีรับสั่ง เด็กทั้งแปดคนก็ทยอยขึ้นไปยืนบนลานประลองทรงกลมยกสูงที่ตั้งอยู่กลางสนาม นั่นเป็นสิ่งที่สร้างขึ้นสำหรับแข่งวรยุทธ์โดยเฉพาะ เส้นผ่านศูนย์กลางของวงกลมประมาณแปดหมี่ ไม่ใหญ่และไม่เล็ก เด็กทั้งแปดคนขึ้นไปยืนบนนั้น แต่ก็ยังดูโล่งมากอยู่ดี
รูปแบบการประลองยุทธ์คือ ใครตกลงมาจากลานประลองถือว่าเป็นอันพ่ายแพ้ ไม่มีสิทธิ์ที่จะขึ้นไปสู้อีก
เด็กทั้งเจ็ดคนดูเหมือนต้องการแสดงอำนาจให้คนอื่นเห็นก่อน ต่างคนต่างตีลังกากระโดดขึ้นไปบนแท่นสูงหนึ่งหมี่กว่า ๆ ก่อนจะยืนอยู่บนนั้นอย่างมั่นคง
มีเพียงหนานหนานคนเดียวเท่านั้นที่ยังยืนกะพริบตาปริบ ๆ ด้วยความประหลาดใจ พลางเอ่ยถามด้วยความฉงน “นี่ทำอะไรกัน? ฝั่งนั้นก็มีบันไดมิใช่รึ? มีบันไดให้เดินดี ๆ ไม่เดิน ดันตีลังกาขึ้นไป พวกเจ้าเป็นตลกหน้าโง่ที่ลิงเชิญมาหรืออย่างไรกัน?”
ครั้นกล่าวจบ ก็ยกมือไพล่หลังเหมือนชราน้อยเดินขึ้นบันไดไปด้านบนด้วยท่าทางเก้ ๆ กัง ๆ โดยไม่สนใจว่าสีหน้าของคนอื่น ๆ จะย่ำแย่เพียงใด
ขันทีที่อยู่ข้าง ๆ เบือนหน้าไปทางอื่นอย่างเงียบ ๆ ลอบถอนหายใจ รู้สึกจนปัญญาเหลือเกิน
ด้านบนอัฒจันทร์เกิดเสียงระเบิดหัวเราะดังลั่น โดยเฉพาะคณะทูตของสามอาณาจักรอื่นที่หัวเราะดังยิ่งกว่า ซ่างกวนจิ่นหันมามองเย่ซิวตู๋โดยไม่ลังเล “ท่านอ๋องซิว อย่าบอกนะว่าแม้แต่ทักษะตัวเบาก็ไม่เคยสอนให้เขา?”
เย่ซิวตู๋ยังคงนิ่งเฉย “เขามิได้เป็นตลกหน้าโง่ที่ลิงเชิญมา”
“…” ซ่างกวนจิ่นมีใบหน้าบิดเบี้ยวอย่างหนัก
ฮ่องเต้แย้มสรวลมิได้กรรแสงมิออก ท่าทางของหนานหนานแตกต่างจากคนอื่นจริง ๆ พระองค์ไม่ได้สนพระทัยเสียงซุบซิบนินทาที่ดังมาจากด้านหลัง ในเมื่อซิวเอ๋อร์มิได้เป็นกังวล เช่นนั้นพระองค์ก็ทำได้เพียงแค่วางพระทัยลงชั่วขณะหนึ่ง
พระองค์หันไปมองกรรมการคุมสอบปราดหนึ่ง บรรยากาศภายในสนามแข่งขันจึงตึงเครียดขึ้นทันใด
ไม่ใช่เรื่องง่ายกว่าหนานหนานจะเดินขึ้นไปถึงด้านบนของลานประลอง เขาแย้มยิ้มให้ผู้เข้าแข่งขันอีกคนหนึ่งของอาณาจักรเฟิงชางที่ยืนอยู่ข้าง ๆ ยื่นมือออกไป ออกแรงเขย่า “สวัสดี ๆๆ ข้าชื่อหนานหนาน ตอนนี้พวกเราเป็นตั๊กแตนลงเรือลำเดียวกันแล้ว เจ้าอย่าได้กังวล ข้าจะดูแลเจ้าอย่างดีเลย”
ผู้เข้าแข่งขันคนนั้นมุมปากกระตุกวูบ ทั้งยังรู้สึกได้ว่าการกระทำของหนานหนานเมื่อครู่ช่างน่าอับอายสิ้นดี จึงมองหนานหนานด้วยสีหน้าไม่เป็นมิตร สะบัดแขนกลับมา กล่าวเสียงเย็นว่า “เจ้าอย่าเป็นตัวถ่วงของข้าก็พอ หากเจ้าไม่มีความสามารถอะไร เช่นนั้นก็รั้งใครสักคนไว้จนตัวตาย ช่วยลดแรงกดดันให้ข้าก็พอแล้ว
หนานหนานรู้สึกได้ว่าคนคนนี้พูดจาไม่น่ารักเอาเสียเลย ทำตัวไร้มนุษยธรรมเกินไปแล้ว
“เหตุใดข้าต้องสู้จนตัวตายด้วย? ข้าไม่สู้จนตัวตายหรอก ข้าต้องสู้สุดชีวิต สู้ไม่ไหวก็วิ่ง เหตุผลแค่นี้เจ้ายังไม่เข้าใจอีกรึ?”
คนคนนั้นถึงกับหงุดหงิดเพราะคำพูดของหนานหนาน หันมาถลึงตาใส่โดยพลัน ทั้งยังกล่าวด้วยความโกรธขึ้งว่า “เจ้าไม่รู้กฎของการแข่งวรยุทธ์รึ? ในเมื่อเจ้าเลือกแข่งวรยุทธ์ เช่นนั้นก็ต้องเตรียมใจตายไว้แล้ว เหอะ หนีเอาตัวรอดบนสนามแข่งวรยุทธ์ ช่างไร้ยางอายสิ้นดี ต่อให้ต้องตายอยู่บนลานประลองนี้ ก็มิอาจวิ่งหนีหรือกระโดดลงจากลานประลองนี้ได้”
หนานหนานบุ้ยปาก รักษาระยะห่างจากเขาสองก้าว “ในเมื่อต่างอุดมการณ์ ก็อย่าได้มาคบค้าสมาคมกันเลย ข้ากับเจ้าอายุห่างกันห้าปี ย่อมเกิดความเหลื่อมล้ำระหว่างรุ่น”
“เจ้า…” คนคนนั้นขบฟันใส่หนานหนาน “ไสหัวออกไปให้ไกล ดูเหมือนว่าการแข่งวรยุทธ์วันนี้ ข้าคงต้องช่วยเหลือตัวเองแล้ว”
เขาจะแพ้ไม่ได้ หากทำให้อาณาจักรเฟิงชางต้องอับอาย เขายังจะเหลือจุดยืนอะไรในตระกูลอีก จะเชิดหน้าขึ้นมาได้อย่างไรกัน?
………………………………………………………………………………………………………………………
สารจากผู้แปล
หนานหนานสู้ ๆ นะคะ อย่าเพิ่งแตกคอกับสหายร่วมทีมล่ะ
ไหหม่า(海馬)