อลวนรักหมอหญิงชิงลั่ว - ตอนที่ 372 เข้าเรือนหอก่อน
ตอนที่ 372 เข้าเรือนหอก่อน
ตอนที่ 372 เข้าเรือนหอก่อน
หนานหนานหันกลับมาด้วยความฉงน ครั้นแลเห็นสภาพของเย่หลานเฉิงที่ศีรษะชุ่มไปด้วยเหงื่อ จึงรีบก้าวเท้าไปหาอีกฝ่าย
“มีเรื่องสำคัญอันใดที่ยังไม่บอกข้าหรือ?” หางตาของหนานหนานยังคงเหลือบมองไปหาอวี้ชิงลั่วเป็นครั้งคราว ในใจยังคงกังวลถึงเงินสี่พันตำลึงนั่น
เย่หลานเฉิงจับศีรษะของเขาไว้ สีหน้าดูเป็นกังวลอย่างยิ่ง “การแข่งขันการละเล่นชู่จวีในวันพรุ่ง เย่หลานเวยก็เข้าร่วมด้วย”
“เย่หลานเวยคือใคร?” หนานหนานยังใจจดใจจ่ออยู่กับเงิน การพูดการจาจึงพูดแบบขอไปที
“เวยซื่อจื่อที่ถูกเจ้าเตะไปหลายหนตอนที่อยู่ในจวนข้าคราวก่อนอย่างไรเล่า” เย่หลานเฉิงค้นพบว่าหนานหนานเอาแต่ใจลอยมองไปทางฝั่งน้าชิง จึงถอนหายใจด้วยความหงุดหงิด ก่อนจะดึงเขากลับมาพูดด้วยสีหน้าจริงจัง “เย่หลานเวยเป็นพวกเจ้าคิดเจ้าแค้น เจ้ากับเขาแข่งขันร่วมกัน ข้าเป็นกังวลว่าเขาจะแอบเล่นงานเจ้า”
ในที่สุดหนานหนานก็ได้สติกลับมา เขาได้ยินคำพูดประโยคสุดท้ายของเย่หลานเฉิงแล้ว
“ข้าเองก็เจ้าคิดเจ้าแค้นเช่นกัน ใครคิดเล่นงานข้า ข้าก็จะเล่นงานกลับไป”
เห็นท่าทางเช่นนี้ของหนานหนาน เย่หลานเฉิงถึงกับกระทืบเท้า ทำได้เพียงแค่เงยหน้ามองอวี้ชิงลั่ว “ท่านน้าชิง…”
อวี้ชิงลั่วรู้มาก่อนแล้วว่าในทีมของอาณาจักรเฟิงชางมีผู้เข้าแข่งขันคนใดบ้าง นางย่อมไม่รู้สึกแปลกใจกับเย่หลานเวย แต่ที่เย่หลานเฉิงเป็นกังวลใจก็มิใช่เรื่องไร้เหตุผล แม้จะพูดว่าเป็นการแข่งขันใหญ่ของสี่อาณาจักร ทว่าเย่หลานเวยเองก็เป็นแค่เด็ก เกรงว่าคงมิใช่เรื่องง่ายสำหรับเขาที่จะละทิ้งความคับข้องใจส่วนตัว และคงให้ความสำคัญกับผลประโยชน์ของอาณาจักรเป็นอันดับแรก
นอกจากนั้น เขายังเป็นพระโอรสขององค์ชายสาม หากดูจากความใจแคบขององค์ชายสามแล้ว พระโอรสที่เขาอบรมสั่งสอนมา เกรงว่าลูกไม้คงหล่นไม่ไกลต้น
ทว่าหนานหนานกลับไม่สนใจ เขาทำตัวหยิ่งมาโดยตลอดจนเคยชินแล้ว ฝีมือชั้นยอดของเขาก็หาได้ยากนัก คิดจะรับมือกับเด็กเหล่านั้นมิใช่ปัญหาอะไร
ดังนั้นสำหรับหนานหนานแล้ว คู่ต่อสู้จะเป็นใครก็ไม่สำคัญ
“โอ๊ย เหตุใดพวกท่านแต่ละคนถึงได้ทำหน้าตาตึงเครียดกันนัก แม้แต่คนพวกนั้นที่แอบใช้งูพิษ ข้ายังรับมือได้เลย กลัวอะไรกับคนขี้แพ้คนหนึ่ง? ปล่อยเย่หลานเวยมาเถอะ ข้ารับรองว่าเขาจะได้รับประสบการณ์ที่ไม่รู้ลืมไปชั่วชีวิต”
ครั้นกล่าวจบ ก็ยื่นมือออกไปหยิกแก้มของเย่หลานเฉิง “มา ยิ้มหน่อย เสี่ยวเฉิงเฉิง เจ้าต้องเชื่อมั่นในความแข็งแกร่งของข้านะ ไป ข้าหิวแล้ว ไปกินข้าวกันเถอะ”
หนานหนานกล่าวจบก็โอบคอของเย่หลานเฉิงเดินออกไปด้านนอก
ด้วยความที่หนานหนานตัวเล็กกว่าเล็กน้อย ตอนที่ยกมือโอบคอของเย่หลานเฉิงจึงต้องเขย่งปลายเท้า ท่าเดินโซเซนั้นทำให้เสิ่นอิงที่ยืนมองอยู่ข้าง ๆ ถึงกับเปลือกตากระตุก แม้ว่าเขาจะรู้ดีว่าหนานหนานมีฝีมือไม่เลว แต่เขาก็ยังต้องเดินตามออกไปเพื่อไม่ให้พวกเขาล้มหรือกระแทกเข้ากับสิ่งอื่น
ภายในห้องจึงเหลือเพียงอวี้ชิงลั่วและเย่ซิวตู๋ตามลำพัง
เมื่อเห็นนางกำลังครุ่นคิดเกี่ยวกับเรื่องของเย่หลานเวย เย่ซิวตู๋ก็อดยิ้มออกมาไม่ได้ “หากเจ้าเป็นกังวลว่าเขาจะแอบทำเรื่องเลวร้าย ก็นำยามาให้ข้าสองเม็ด วันพรุ่งข้าจะให้เผิงอิงนำไปใส่ในอาหารของเย่หลานเวย หากท้องเสียตลอดทั้งวันย่อมมิอาจลงแข่งได้”
อวี้ชิงลั่วได้ฟังก็ถึงกับชะงัก “ท่านนี่มันร้ายกาจเกินไปแล้ว”
เย่ซิวตู๋หรี่ตาลง ก่อนจะโอบนางเข้ามาใกล้ “ร้ายกาจ?”
“…ท่านฟังผิดแล้ว ความหมายของข้าคือ ท่านฉลาดเกินไปแล้ว ยาอยู่นี่ ท่านเอาไปให้เผิงอิงเถอะ”
ครั้งนี้กลับกลายเป็นเย่ซิวตู๋ที่ชะงักไป เขาหลุดยิ้มออกมาทันใด ที่แท้นางก็เตรียมไว้ตั้งแต่แรกแล้วนี่เอง
เห็นได้ชัดว่าสตรีผู้นี้มีความละเอียดอ่อนนัก ทว่ากลับแสร้งทำเป็นอับจนหนทางเพื่อให้เขาเสนอความคิดเช่นนี้ จริง ๆ เลย นับวันก็ยิ่งไร้ยางอายมากขึ้นเรื่อย ๆ แล้ว
อวี้ชิงลั่วกระหยิ่มยิ้มย่อง แกว่งยาสองเม็ดไปมาด้วยแววตาสว่างไสว เย่ซิวตู๋ได้เห็นก็เกิดอาการชะงักงันไปชั่วขณะหนึ่ง ก่อนจะรีบดึงมือที่โอบอยู่รอบเอวนาง แล้วหลุบตาลงบรรจงกัดลงบนริมฝีปากของนาง ดูดดื่มอย่างหนักหน่วง
อวี้ชิงลั่วถึงกับเบิกตาโพลงด้วยความตกตะลึง ยาที่อยู่ในมือถึงกับร่วงหล่นลงพื้นอย่างควบคุมไม่อยู่
ทว่าบุรุษที่ยืนอยู่ตรงหน้ากลับทวีความรุนแรงมากยิ่งขึ้น ปลายลิ้นชอนไชเข้ามาในปากของนางอย่างหื่นกระหาย
อวี้ชิงลั่วรู้สึกวิงเวียนศีรษะ แม้ว่านางจะเคยมีลูกมาแล้ว แต่ทุกครั้งที่ต้องเผชิญหน้ากับความเร่าร้อนราวเปลวเพลิงของบุรุษผู้นี้ นางยังคงมิอาจต้านทานได้เช่นเดิม ใบหน้าจึงแดงระเรื่อ จวบจนตอนที่เขาผละออก ก็ยังคงก้มหน้าไม่ยอมให้เขาเห็นสีหน้าของนาง
เย่ซิวตู๋รู้สึกพึงพอใจยิ่งนัก ทว่าความปรารถนากลับยากเกินกว่าที่จะควบคุมได้ เขาชะโงกหน้าเข้ามากระซิบข้างหูนางด้วยน้ำเสียงแหบพร่า “ข้าชักจะเสียใจแล้วสิ”
“เสียใจอะไร?” อวี้ชิงลั่วเอ่ยถาม
“เสียใจที่พูดกับเจ้าว่า จะแต่งงานกันหลังจากจบการแข่งขัน” อวี้ชิงลั่วยังไม่ทันมีปฏิกิริยาโต้ตอบ ก็ได้ยินเขาพูดต่อไปว่า “แม่ของลูก…ข้าอยาก…ขอเข้าเรือนหอก่อนได้หรือไม่?”
อวี้ชิงลั่วหน้าแดงเถือก “อสุจิขึ้นสมองแล้วรึ?”
“หืม?” เย่ซิวตู๋ไม่ค่อยเข้าใจความหมายของคำนี้เท่าไรนัก ตอนที่กำลังสงสัยอยู่นั้น อวี้ชิงลั่วก็หมุนกายผละถอยออกจากอ้อมกอดของเขาแล้ว
เมื่อเห็นท่าทางหงุดหงิดของเย่ซิวตู๋ นางก็กลั้นขำไม่อยู่ หยิบยาออกมาจากขวดอีกสองเม็ด ตอนที่เขายื่นมือออกมาจับเอวของอวี้ชิงลั่ว นางก็ยัดยาใส่เข้าไปในมือของอีกฝ่าย ใช้นิ้วชี้ไปที่ยาเม็ดสีแดงหนึ่งในสองเม็ดนั้น แล้วอธิบายว่า “นี่เป็นยาเม็ดละลายน้ำ นำไปใส่ในน้ำชาหรือไม่ก็ในซุปโสม ส่วนเม็ดสีเขียวเป็นยาถอนพิษ รอจนกระทั่งการแข่งขันเรียบร้อยแล้ว ค่อยให้เย่หลานเวยกินเข้าไป”
ถึงอย่างไรก็เป็นเด็ก คงไม่ดีที่จะปล่อยให้เย่หลานเวยท้องเสียจนอาการทรุด
เย่ซิวตู๋ถลึงตาใส่นาง มองท้องฟ้าที่อยู่ด้านนอก ตอนนี้ท้องฟ้ามืดลงแล้ว ช่วงดึกเขายังมีธุระ จึงต้องออกจากตำหนักแล้ว
เขาเก็บยาที่อยู่ในมือ ขยับเท้าเข้าใกล้เล็กน้อย กระซิบข้างหูของนางด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำว่า “หากวันพรุ่ง หนานหนานชนะการแข่งขัน ข้าจะมาขอรางวัลจากเจ้า”
ครั้นกล่าวจบ เขาก็ถอยหลังออก หมุนกายเดินออกไปจากห้องของนาง
อวี้ชิงลั่วถึงกับยืนอึ้งอยู่กับที่
รางวัล? รางวัลที่เขาพูดถึง…คืออะไรกัน? คงมิได้หมายถึง…เรือน…เรือน…เรือนหอที่เขาพูดเมื่อครู่หรอกกระมัง?
ใบหน้าของอวี้ชิงลั่วถึงกับแดงเถือก ขาทั้งสองข้างอ่อนยวบจนทรุดนั่งลงบนเก้าอี้
เหตุใดหนานหนานชนะกลับมาแล้วยังต้องมาขอรางวัลจากนาง? เกี่ยวอะไรกับนางเล่า อยากได้รางวัลก็ควรไปขอหนานหนานมิใช่รึ
อวี้ชิงลั่วเม้มปากจนเป็นเส้นตรง จู่ ๆ นางก็ค้นพบว่าหลังจากที่พวกเขาทั้งคู่เปิดอกคุยกัน บุรุษผู้นี้ก็ทำตัวกำเริบเสิบสานมากขึ้นเรื่อย ๆ การพูดจากับนางก็เปลี่ยนเป็นไม่สนสิ่งใด พฤติกรรมก็ยิ่งกล้าหาญมากขึ้นด้วย
นางเกิดความคิดอยากกระโดดลงไปในหลุมเสียเหลือเกิน
อวี้ชิงลั่วตบแก้มตัวเอง หมุนกายปีนขึ้นเตียง
ดูเหมือนว่ากว่าเย่ซิวตู๋จะกลับจวนก็คงดึกมากแล้ว อีกทั้งเช้าวันรุ่งขึ้น ท้องฟ้าเพิ่งจะสว่าง เขาก็ออกจากตำหนักไปอีกครั้ง
การละเล่นชู่จวีเป็นการแข่งขันแบบหมู่ และการตัดสินผู้ชนะย่อมต้องใช้เวลาอย่างมาก
ด้วยเหตุนี้ การแข่งขันสนามนี้ จึงเริ่มต้นขึ้นตั้งแต่ยามที่แสงอาทิตย์เพิ่งสาดส่อง
การแข่งขันใหญ่ของสี่อาณาจักรดำเนินมาได้ไม่กี่วัน แต่ความกระตือรือร้นของทุกคนยังคงสูงยิ่ง ด้วยเหตุนี้ บนอัฒจันทร์จึงมีคนจำนวนมาก
นอกจากนี้ ยังมีคนผู้หนึ่งเพิ่มขึ้นมาอีกด้วย
เมื่ออวี้ชิงลั่วเห็นอวี๋จั้วหลิน นางก็แอบเบี่ยงตัวเล็กน้อย ซ่อนตัวอยู่หลังนางข้าหลวงตัวเล็ก ๆ แล้วเดินไปนั่งประจำที่นั่งของตนเองอย่างเงียบ ๆ
……………………………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
ท่านอ๋องเอาอีกแล้วนะ ลักกินเต้าหู้ชิงลั่วอีกแล้ว
ไหหม่า(海馬)