อลวนรักหมอหญิงชิงลั่ว - ตอนที่ 381 ยื้อเวลา
ตอนที่ 381 ยื้อเวลา
หมอหลวงวูเป็นคนพูดเองว่าให้ใครไปหยิบน้ำมาก็ได้ทั้งนั้น ดังนั้นเมื่อให้เหมียวเชียนชิวไป เหมิงกุ้ยเฟยย่อมไม่มีเหตุผลที่จะขัดขวาง
เหมิงกุ้ยเฟยเห็นว่ามิอาจขัดขวางได้ นางจึงถลึงตาใส่หมอหลวงวูผู้นั้นปราดหนึ่ง
หมอหลวงวูทราบดีว่าตนเองพูดผิดไปแล้ว เนื้อตัวก็พลันสั่นเทา หลังจากผ่านไปครู่หนึ่งจึงเงยหน้าขึ้นอีกหน ส่งสายตาบอกเหมิงกุ้ยเฟยว่าอย่าได้ใจร้อน สายตาของเหมิงกุ้ยเฟยหรี่ลงเล็กน้อย ทอดมองไปยังทิศทางที่เหมียวเชียนชิวเดินไปอย่างใจเย็น
อวี้ชิงลั่วเกิดอาการใจเต้นตุ้ม ๆ ต่อม ๆ เหมิงกุ้ยเฟยคิดจะทำอะไรกันแน่ ดูเหมือนว่านางคงไม่อยากให้หนานหนานเป็นลูกชายของเย่ซิวตู๋เอาเสียเลย
แม้กระทั่งใช้โอกาสเช่นนี้ปฏิเสธสถานะของหนานหนานเพื่อจะได้ให้เขาถูกตั้งข้อหาหลอกลวงเบื้องสูง คิดจะฆ่าหนานหนานให้ตายสินะ
จุ๊ ๆ สตรีผู้นี้ใจดำอำมหิตเสียจริง อย่างน้อย ๆ หนานหนานก็เป็นหลานชายแท้ ๆ ของนาง เหตุใดถึงทำกันได้ลงคอ?
แต่เมื่ออวี้ชิงลั่วมาคิด ๆ ดูแล้วก็รู้สึกได้ว่าเป็นเรื่องปกติ เหมิงกุ้ยเฟยผู้นี้ต่อสู้ปัดแข้งปัดขาภายในวังมาเป็นเวลาหลายปี แม้แต่เย่ซิวตู๋ที่เป็นลูกชายแท้ ๆ ก็ยังลงมือได้ลงคอ นับประสาอะไรกับหลานชาย?
นางมองไปทางเย่ซิวตู๋ พบว่าอีกฝ่ายกำลังหรี่ตาลงเล็กน้อย ดูเหมือนว่าคงคิดจะป้องกันเหมิงกุ้ยเฟยเช่นกัน เขาต้องรู้แน่ว่าเหมิงกุ้ยเฟยไม่มีทางยอมวางมือได้ง่าย ๆ เช่นนี้
อืม ในเมื่อเป็นเช่นนี้ อวี้ชิงลั่วก็ผ่อนคลายได้มากขึ้น
มีคำสั่งให้คนนำกันสาดบังแดดมาขึงกลางสนามแข่งขันไว้แล้ว ขันทีและนางข้าหลวงยกเก้าอี้และน้ำชามาวางข้าง ๆ ฮ่องเต้ ไทเฮา และคนอื่น ๆ อย่างรวดเร็ว ท่าทางนั้นราวกับคิดจะทำงานกันที่นี่ก็มิปาน
ยังดีที่อากาศในวันนี้ถือว่าเย็นสบาย แดดไม่แรงเท่าไรนัก มิเช่นนั้นหากต้องดำเนินการหยดเลือดพิสูจน์กลางสนามแข่งขันเช่นนี้ คงได้ร้อนจนตับแตกจริง ๆ
เหมียวเชียนชิวนำน้ำสะอาดมาหนึ่งถ้วยภายในเวลาอันรวดเร็ว จากนั้นจึงนำมาวางไว้บนโต๊ะใหญ่ที่อยู่ตรงหน้า พนักหน้าให้ฮ่องเต้เล็กน้อย “ฝ่าบาท เริ่มได้แล้วพ่ะย่ะค่ะ”
“อืม” ฮ่องเต้พยักพระพักตร์ “ซิวเอ๋อร์ พาหนานหนานมาที่นี่เถิด”
หนานหนานยังคงนั่งยอง ๆ อยู่บนพื้น ตอนที่เหมิงกุ้ยเฟยพูด เขามิได้เปล่งเสียงแม้แต่พยางค์เดียว และไม่ได้พูดแทรก ทำตัวเป็นเด็กน้อยอ่อนต่อโลก
ตอนนี้ต้องหยดเลือดแล้ว เมื่อเห็นพ่อของตนเองดึงมีดสั้นออกมาเล่มหนึ่ง มุมปากของหนานหนานพลันกระตุกวูบ ถอยหลังออกไปสองก้าว “ท่านพ่อ ข้ากลัวเจ็บ”
เย่ซิวตู๋มองมีดสั้นในมือที่ประกายแสงเย็นเยียบ ถึงกับชะงักไปครู่หนึ่ง
จู่ ๆ หมอหลวงคนหนึ่งก็เดินออกมาจากกลุ่มฝูงชน “ฝ่าบาท กระหม่อมมีเข็มเงิน ให้ท่านอ๋องหยิบยืมไปใช้ได้ เมื่อครู่ซื่อจื่อน้อยเพิ่งได้รับบาดเจ็บ ย่อมต้องหวาดผวา คงมีปมในใจเกี่ยวกับใบมีด ใช้เข็มจิ้มลงบนปลายนิ้วของเขาสักหน่อยน่าจะดีกว่าพ่ะย่ะค่ะ”
อวี้ชิงลั่วเลิกคิ้ว นางคิดไม่ถึงเลยว่าคนที่ออกมาพูดกลับมิใช่หมอหลวงวู
อะไรกัน หรือว่าเหมิงกุ้ยเฟยจะส่งหมอหลวงเข้าไปแทรกแซงอยู่ในไท่อีเยวี่ยนหลายคนแล้ว?
นัยน์ตาของอวี้ชิงลั่วหรี่ลง สายตาเหลือบมองไปยังเหมิงกุ้ยเฟยอย่างเงียบ ๆ ความสงสัยอัดแน่นอยู่เต็มอก หากหมอหลวงที่ออกมาพูดผู้นี้เป็นคนของนางเช่นเดียวกัน เช่นนั้นเรื่องราวชักจะน่าสนใจขึ้นมาแล้วสิ
นางเป็นแค่นางสนมคนหนึ่ง จะส่งหมอหลวงหลายคนเข้าไปแทรกแซงอยู่ในไทอีเยวี่ยนขนาดนั้นเพื่ออะไรกัน? มีวัตถุประสงค์อะไร? หรือว่านางมีลับลมคมในบางอย่าง?
อวี้ชิงลั่วเป็นคนคิดรอบคอบมาโดยตลอด เหมิงกุ้ยเฟยผู้นี้วางแผนทำร้ายเย่ซิวตู๋ครั้งแล้วครั้งเล่า ตอนนี้หนานหนานก็กลายเป็นหนามยอกอกของนางแล้ว อวี้ชิงลั่วจึงย่อมใส่ใจเรื่องของเหมิงกุ้ยเฟยมากขึ้น
เพียงแต่ ยังไม่ทันที่อวี้ชิงลั่วจะได้คิดถึงสาเหตุ ฮ่องเต้ก็หันไปพยักพระพักตร์ให้หมอหลวงที่เอ่ยปากพูดเมื่อครู่ ตรัสว่า “ก็ดี หมอหลวงฉวี การหยดเลือดพิสูจน์นี้ให้เป็นหน้าที่ของเจ้าก็แล้วกัน”
เย่ซิวตู๋เพ่งสายตาเย็นเยียบไปยังหมอหลวงฉวี สายตาคู่นั้นราวกับเป็นเศษน้ำแข็งที่ทิ่มแทงทั่วทั้งร่างกายของหมอหลวงฉวีจนหนาวสั่น มือที่ถือเข็มเงินก็เริ่มสั่นระริก
เขาเดินไปตรงหน้าน้ำสะอาดถ้วยนั้น พยักหน้าให้เย่ซิวตู๋เล็กน้อยด้วยท่าทางพินอบพิเทา “ท่านอ๋องซิว โปรดยื่นมือออกมาหน่อยพ่ะย่ะค่ะ”
เย่ซิวตู๋แย้มยิ้ม ก่อนจะยื่นมือของตนเองออกไปวางตรงหน้าหมอหลวงฉวีอย่างใจกว้าง
หมอหลวงฉวีรู้สึกได้ถึงพลังงานรอบตัวที่สร้างความกดดันอย่างมาก อุณหภูมิลดลงโดยพลัน ทำให้เขาเริ่มไม่เป็นตัวของตัวเอง
เขาสูดหายใจเข้าลึก ๆ ก่อนจะหยิบเข็มขึ้นมาจิ้มลงบนปลายนิ้วชี้ของเย่ซิวตู๋เบา ๆ เลือดสีแดงสดไหลออกมาจากปลายนิ้วโดยพลัน ก่อนจะค่อย ๆ รวมกลายเป็นขนาดใหญ่ จนกระทั่งรวมกันจนกลายเป็นหยดเลือดขนาดเท่าเม็ดถั่วเหลืองหนึ่งเม็ด หมอหลวงฉวีจึงพลิกมือของเย่ซิวตู๋ให้คว่ำลง
เลือดที่ปลายนิ้วหยดดัง ‘ติ๋ง’ ท่ามกลางสายตาของทุกคนที่กำลังกลั้นหายใจ เลือดหยดนั้นได้หยดลงไปในถ้วยแล้ว
หมอหลวงฉวีลอบถอนหายใจ ก่อนจะเดินไปข้าง ๆ หนานหนาน เป็นเพราะไม่มีการจ้องมองและพลังอันเยือกเย็นที่สร้างความกดดันจากเย่ซิวตู๋ เขาจึงผ่อนคลายลงอย่างมากภายในพริบตาเดียว แม้แต่การแสดงออกทางสีหน้าก็ผ่อนคลายตามไปด้วย เริ่มเอ่ยปากพูดกับหนานหนานด้วยรอยยิ้มตาหยี “ซื่อจื่อน้อย ไม่เจ็บเลย แค่ขอเลือดเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ครู่เดียวก็เสร็จแล้ว มาพ่ะย่ะค่ะ ยื่นมือมาให้กระหม่อม”
หนานหนานมองเขาปราดหนึ่งพลางบุ้ยปาก ใช้ฝ่ามือเช็ด ๆ ถู ๆ เข้ากับตัว เมื่อรู้สึกได้ว่าสะอาดแล้ว จึงยื่นมือออกไปอย่างไม่เต็มใจ
นัยน์ตาของหมอหลวงฉวีเป็นประกายเล็กน้อย ตอนที่กำลังจะก้าวเท้าเข้าไปจับมือของหนานหนาน คิดไม่ถึงเลยว่าหนานหนานที่ทำเหมือนยื่นมือออกมาจะชักกลับไปอีกครั้งอย่างรวดเร็ว จากนั้นจึงเอียงศีรษะมองหมอหลวงฉวีที่อยู่ตรงหน้า กล่าวว่า “ท่านแน่ใจนะว่าจะไม่เจ็บจริง ๆ?”
“พ่ะย่ะค่ะ ไม่เจ็บแม้แต่นิดเดียว เมื่อครู่ท่านอ๋องซิวก็ลองแล้ว เดี๋ยวเดียวก็เสร็จ”
หนานหนานยังคงเอียงศีรษะ ซ่อนมือของตนเองไว้ด้านหลัง ครั้นได้ยินอีกฝ่ายพูดเช่นนั้นจึงแค่นเสียงออกมา “แต่ท่านพ่อเป็นผู้ใหญ่ ข้าเป็นเด็กน้อย เด็กเล็กไวต่อความรู้สึกเจ็บปวด ข้ามีผิวหนังบอบบาง ท่านพ่อไม่เจ็บ มิได้หมายความว่าข้าจะไม่เจ็บ ท่านเข้าใจหรือไม่?”
มุมปากหมอหลวงฉวีคว่ำลง เหมิงกุ้ยเฟยที่อยู่ข้าง ๆ เริ่มหมดความอดทนแล้ว นางใช้สายตาเย็นเยือกจ้องมองเด็กที่อยู่ตรงหน้า กล่าวอย่างเย็นชา “เจ้ามัวแต่ยึก ๆ ยัก ๆ ไม่ยอมยื่นมือออกมาหยดเลือดพิสูจน์ เป็นเพราะในใจมีแผนใดใช่หรือไม่ เจ้ารู้อยู่แก่ใจว่าซิวเอ๋อร์มิใช่พ่อของเจ้า จึงคิดหลีกเลี่ยงเขา”
เย่ซิวตู๋ขมวดคิ้วมุ่น “หมู่เฟย หนานหนานเป็นแค่เด็กคนหนึ่ง เป็นเรื่องธรรมดาที่เห็นเลือดแล้วย่อมกลัวเจ็บ แม้แต่ข้ายังไม่รีบร้อน หมู่เฟยจะรีบร้อนไปไย”
“นั่นสิ” ไทเฮายืนข้างหนานหนานด้วยหทัยที่หนักแน่น “หนานหนานกลัวเจ็บมาโดยตลอด เหมิงกุ้ยเฟย เจ้าเองก็เป็นแม่ลูกสองแล้ว ก็ควรจะปฏิบัติกับเด็กด้วยความอดทนสักหน่อยมิใช่รึ? หนานหนานยังเล็ก เมื่อครู่ก็เพิ่งได้รับบาดเจ็บ เรื่องนี้ทุกคนต่างก็ทราบดี”
“นั่นสิ ๆ ค่อย ๆ เป็นค่อย ๆ ไป หาได้มีปัญหาอะไรไม่” ครั้นไทเฮาตรัสเช่นนี้ นางสนมบางคนที่ไม่ชอบเหมิงกุ้ยเฟยย่อมพูดคล้อยตามไปด้วย
เหมิงกุ้ยเฟยมองพวกนางด้วยสายตารังเกียจ ก่อนจะหันกลับมามองหนานหนาน ต่อให้ถ่วงเวลามากไปกว่านี้แล้วอย่างไรเล่า อย่างไรก็ต้องหยดเลือดอยู่ดี
หนานหนานมองพวกเขาโต้เถียงกันอย่างมีความสุข เมื่อเห็นว่าพวกเขาเถียงกันพอสมควรแล้ว เขาจึงยื่นมือออกไปอย่างว่าง่าย เชิดคางกล่าวว่า “เพื่อให้สมกับความรักที่ไทเฮามีให้ข้า มาเถอะ ข้าไม่กลัวเจ็บหรอก”
ไทเฮาได้ยินคำพูดนี้ก็ยิ่งโปรดปรานหนานหนานยิ่งขึ้นไปอีก
หมอหลวงฉวีโล่งอก แววตาเป็นประกายเล็ก ๆ ก่อนจะดึงเข็มออกมา
……………………………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
ดีมากหนานหนาน ยื้อเวลาไว้ให้ท่านพ่อกับท่านแม่หาทางเลี่ยงสถานการณ์ นี่เดาว่านังกุ้ยเฟยคงซื้อตัวหมอหลวงทั้งสำนักไปแล้วล่ะ
ไหหม่า(海馬)