อลวนรักหมอหญิงชิงลั่ว - ตอนที่ 382 ให้กระหม่อมจัดการเถิดพ่ะย่ะค่ะ
ตอนที่ 382 ให้กระหม่อมจัดการเถิดพ่ะย่ะค่ะ
อย่างไรก็ตาม ทางฝ่ายนี้ยังไม่ทันได้ลงเข็ม จู่ ๆ หมอหลวงฉวีก็รู้สึกเจ็บแปลบที่บริเวณหัวเข่า
หมอหลวงฉวีเป็นแค่หมอหลวงอ่อนแอคนหนึ่ง ไหนเลยจะทนต่อความเจ็บปวดเช่นนี้ได้ เขาจึงพุ่งกายไปด้านหน้าเพราะทนไม่ไหวในทันที
เสียง ‘โครม’ ดังขึ้นหนึ่งเสียง ไม่เพียงแต่ร่างของเขาที่คะมำลงบนโต๊ะ ทั้งยังกระแทกจนถ้วยที่มีหยดเลือดของเย่ซิวตู๋แตกไปด้วย
หนานหนานตาไวมือไว หมุนกายสองตลบเพื่อรักษาระยะห่างออกจากโต๊ะสองก้าว เย่ซิวตู๋มองด้วยสายตาเยือกเย็น ถอยหลังออกไปสองสามก้าว ปล่อยให้หมอหลวงฉวีล้มกระแทกพื้นไปพร้อมกับโต๊ะด้วยความตื่นตระหนก
ทั่วทั้งลานเกิดความโกลาหล
ฮ่องเต้ทรงกริ้วถึงขีดสุดทันใด “หมอหลวงฉวี เจ้าทำอะไรของเจ้า?”
“ฝ่า…ฝ่าบาทประทานอภัยให้กระหม่อมด้วยพ่ะย่ะค่ะ” หมอหลวงฉวีตะลีตะลานลุกขึ้นจากพื้น ใช้ศีรษะโขกลงบนพื้นจนเกิดเสียง ‘ปึก ๆ ๆ’ “ฝ่าบาทอภัยให้กระหม่อมด้วยพ่ะย่ะค่ะ…กระหม่อม….กระหม่อมถูกคนวางแผนลอบทำร้าย จู่ ๆ เมื่อครู่กระหม่อมก็รู้สึกเจ็บที่ข้อพับเข่า ทำให้ร่างกายของกระหม่อมไม่มั่นคงและล้มลงบนพื้น โปรดฝ่าบาทอภัยให้กระหม่อมด้วยพ่ะย่ะค่ะ”
“ลอบทำร้าย?” ไทเฮายิ้มเยาะ “อยู่ดี ๆ ใครจะลอบทำร้ายเจ้า?”
“กราบ…กราบทูลไทเฮา กระหม่อมเองก็ไม่รู้…” หมอหลวงฉวีพูดพลาง สายตากลับมองเย่ซิวตู๋ไปพลาง
เย่ซิวตู๋หัวเราะพรืด “หมอหลวงฉวีทำท่าทางเช่นนี้ คล้ายกับกำลังพูดว่าเราลอบทำร้ายเจ้าอย่างนั้นรึ?”
“กระหม่อมมิกล้า กระหม่อมมิได้หมายความเช่นนั้น เพียงแต่…เพียงแต่กระหม่อมรู้สึกได้ว่ามีคนไม่อยากให้กระหม่อมดำเนินการหยดเลือดพิสูจน์ จึงได้…” ท่าทางลังเลไม่กล้าพูดเช่นนี้ มิเท่ากับกำลังชี้ไปทางเย่ซิวตู๋ว่าเป็นผู้ลอบทำร้ายหรอกหรือ?
“หมอหลวงฉวี เรายืนอยู่ฝั่งตรงข้ามเจ้า มือทั้งสองข้างก็ยังวางอยู่บนโต๊ะ” เย่ซิวตู๋เลิกคิ้วยิ้มเบา ๆ “อีกอย่างเมื่อครู่หมอหลวงฉวีก็พูดเองว่าจุดที่ถูกลอบทำร้ายคือข้อพับขา เช่นนั้นคนที่ลงมือก็ควรเป็นคนที่อยู่ด้านหลังหมอหลวงฉวี”
หมอหลวงชวีชะงัก หันกลับไปมองอย่างฉับพลัน ก็พบว่าไทเฮาและเหล่าสุภาพสตรีคนอื่น ๆ กำลังมองมาที่เขาด้วยสายตาโกรธขึ้ง
“หรือหมอหลวงฉวีกำลังจะบอกว่า เราและคนอื่น ๆ ลอบทำร้ายเจ้า?” ซูเฟยถลึงมองอีกฝ่ายปราดหนึ่ง “หมอหลวงฉวี เราและคนอื่น ๆ ต่างก็เป็นสตรี ไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่ไม่มีวรยุทธ์ติดตัว ต่อให้มีฝีมือเล็กน้อยนั้น แต่จะลงมือลอบทำร้ายเจ้าท่ามกลางสายตาของธารกำนัลต่อเบื้องพระพักตร์ฮ่องเต้ ท่านอ๋อง และขุนนางชั้นผู้ใหญ่ได้อย่างไร? ที่นี่มียอดฝีมือด้านวรยุทธ์มิรู้ตั้งเท่าไร ต่อหน้าคนจำนวนมากขนาดนั้น ยังจะมีใครยอมเสี่ยงอันตรายเพื่อลอบทำร้ายเจ้า? เห็น ๆ อยู่ว่าหมอหลวงฉวีทำผิดเองแต่กลับไม่กล้ายอมรับ จึงโยนความผิดให้คนอื่น”
นางคือหมู่เฟยของท่านอ๋องเป่า หลังจากนางให้กำเนิดท่านเป่าอ๋องแล้ว ร่างกายก็เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้ายมาโดยตลอด หมอหลวงดูอาการให้นางไปไม่น้อย ทว่ารักษาอย่างไรก็ไม่หาย ถึงอย่างไรนางก็ล้มลุกคลุกคลานภายในวังมาหลายปี บางเรื่องนางก็มองเห็นได้อย่างชัดแจ้ง เห็นได้ชัดว่าหมอหลวงฉวีผู้นี้คือคนของเหมิงกุ้ยเฟย
มะเร็งเนื้อร้ายประเภทนี้ ไม่รู้ว่าเคยช่วยเหมิงกุ้ยเฟยทำร้ายคนอื่น ๆ มากี่คน ตอนนี้มีโอกาสกำจัดเขาแล้ว นางจะปล่อยไว้ได้เยี่ยงไรกัน?
ยิ่งไปกว่านั้น ช่วงก่อนหน้านี้นางได้ยินท่านอ๋องเป่าพูดว่า แม่นางชิงหมอปีศาจที่พักอยู่ในตำหนักอ๋องซิวมีทักษะทางการแพทย์ชั้นสูง หากมีโอกาส ก็อยากเชิญให้แม่นางชิงมาดูอาการให้ตนเอง ตอนนี้มีโอกาสได้ตีสนิท นางย่อมยินดีที่จะช่วยเหลือ
ครั้นซูเฟยพูดออกมา นางสนม องค์หญิง สตรีชั้นสูงเหล่านั้นที่ยืนอยู่ด้านหลัง ต่างก็จ้องมองหมอหลวงฉวีด้วยความรู้สึกไม่ชอบใจ
ไทเฮาจิบน้ำชาหนึ่งคำอย่างเงียบ ๆ ทอดพระเนตรมองซูเฟยอย่างครุ่นคิดปราดหนึ่ง แต่ก็มิได้เอ่ยสิ่งใดอีก
เย่ฮ่าวหรานโบกพัดอยู่ด้านหลังฮ่องเต้ด้วยท่าทางเกียจคร้าน และเข้ามาร่วมสนุกด้วย “นั่นสิ หมอหลวงฉวี คำพูดนี้ของเจ้า ความหมายของเจ้าคือเหมารวมไทเฮา ฮองเฮา กุ้ยเฟย ซูเฟย และหมู่เฟยของเราเข้าไปเกี่ยวข้องทั้งหมด นี่เป็นการไม่ให้เกียรติกันอย่างยิ่ง”
หลีจื่อฟานเหลือบมองเขาปราดหนึ่ง มุมปากขึงตึงเล็กน้อย เมื่อครู่คนอื่นอาจไม่ทันได้สังเกตเห็น แต่เขากลับเห็นได้อย่างชัดเจน เย่ฮ่าวหรานผู้นี้ฉวยโอกาสตอนที่สายตาของทุกคนเพ่งมองไปที่กลางโต๊ะ สื่อสารกับเย่ซิวตู๋ผ่านสายตา จากนั้นก็ตีเนียนแอบเดินไปด้านหลังกลุ่มสุภาพสตรี
จนกระทั่งหมอหลวงฉวีล้มลงจนสร้างความชุลมุน ก็แอบกลับมาอย่างเงียบ ๆ การเคลื่อนไหวเกิดขึ้นภายในพริบตาเดียว จึงยากเกินกว่าที่จะมีคนสังเกตเห็น
เห็นได้ชัดว่าการลอบทำร้ายนั้นเป็นฝีมือของเย่ฮ่าวหราน
หากมิใช่เพราะเขาไม่อยากมองดูการยืนยันพ่อลูกระหว่างหนานหนานและเย่ซิวตู๋ และเบือนสายตามาที่เย่ฮ่าวหรานที่ยืนอยู่ข้าง ๆ พอดี เกรงว่าก็คงไม่เห็นเช่นกัน
บนหน้าผากของหมอหลวงฉวีมีเหงื่อเย็นผุดออกมาแล้ว เมื่อเห็นสายตาถมึงทึงของแต่ละคน ก็ถึงกับตกใจจนพูดไม่ออกแม้แต่ประโยคเดียว ทว่าเขากลับมิอาจนำหลักฐานออกมาได้ จึงทำได้เพียงแค่โขกศีรษะต่อเบื้องพระพักตร์ฮ่องเต้
“ฝ่าบาทอภัยให้กระหม่อมด้วยพ่ะย่ะค่ะ…กระหม่อม…กระหม่อมถูกปรักปรำจริง ๆ พ่ะย่ะค่ะ”
เหมิงกุ้ยเฟยกำมือที่ทิ้งอยู่ข้างลำตัวเข้าหากัน สวะไร้ประโยชน์ แม้แต่เรื่องแค่นี้ยังทำได้ไม่ดี
นางย่อมเชื่อคำพูดของหมอหลวงฉวี แต่ใครกันที่เป็นคนลงมือ?
คิ้วเรียวบางของเหมิงกุ้ยเฟยขมวดเข้าหากัน สายตากวาดมองไปยังไทเฮาด้วยความสงสัย จากนั้นก็หลุดยิ้มออกมา ไทเฮาไม่มีทักษะการต่อสู้ ลวี่ฝูที่อยู่ข้างกายก็ไม่มีความสามารถนั้น คงไม่ใช่ฝีมือของนาง
เพียงแต่ เหล่าสุภาพสตรีที่อยู่ด้านหลังยิ่งไม่มีเหตุผลที่จะทำเช่นนี้
“หมอหลวงฉวี เจ้าทำได้ไม่ดีกลับยังคิดเล่นลิ้น ทั้งยังคิดว่าท่านอ๋องซิววางแผนลอบทำร้าย ช่างไร้ยางอายยิ่งนัก ทหาร ลากตัวออกไปโบยยี่สิบไม้ นับจากวันนี้เป็นต้นไป ปลดชื่อของเขาออกจากไท่อีเยวี่ยน”
“หา?” หมอหลวงฉวีตกใจอย่างมาก ออกแรงโขกศีรษะแรงยิ่งขึ้น “ฝ่าบาท ฝ่าบาทไว้ชีวิตกระหม่อมด้วยพ่ะย่ะค่ะ”
เหมียวเชียนชิวขมวดคิ้วมุ่น โบกมืออย่างหมดความอดทน จากนั้นคนสองคนที่มีท่าทางเหมือนทหารองครักษ์ก็เข้ามาลากตัวหมอหลวงฉวีออกไป
ระยะเวลาเพียงไม่นาน เสียงไม้ตีกระทบลงบนเนื้อก็ดังลอยเข้ามาครั้งแล้วครั้งเล่า
หมอหลวงฉวีส่งเสียงร้องอย่างน่าเวทนา หมอหลวงวูที่ยืนห่างออกไปไม่ไกลตกใจจนหน้าขาวซีด หดตัวไม่กล้าขยับตัวอีก เพราะเกรงว่าตนเองจะเจอจุดจบเช่นนี้
อวี้ชิงลั่วยิ้มออกมา ความนิยมของเหมิงกุ้ยเฟยก็ไม่ได้ดีสักเท่าไร แต่ก็ถูก ตอนนี้นางควบคุมดูแลวังหลัง ทั้งยังมีลูกชายที่มีความโดดเด่นไม่ธรรมดาอีกสองคน เป็นเรื่องธรรมดาที่จะมีคนอิจฉาริษยา
ซูเฟยและคนอื่น ๆ ไม่กล้าจัดการกับเหมิงกุ้ยเฟยอย่างเปิดเผย แต่ถ้ามีโอกาสได้หักปีกของนาง ก็ย่อมไม่ปล่อยไว้เช่นกัน
“ฝ่าบาท ในเมื่อถ้วยแตกไปแล้ว ก็ให้คนยกถ้วยเข้ามาใหม่เพื่อทำการพิสูจน์ต่อเถอะเพคะ” เหมิงกุ้ยเฟยยังมีสีหน้าปกติ ทำเป็นไม่ได้ยินเสียงร้องอย่างน่าเวทนาของหมอหลวงฉวี นางยังคงคารวะฮ่องเต้ด้วยท่าทางสง่างามและเป็นธรรมชาติ
แม้ว่าฮ่องเต้จะไม่เห็นด้วยกับวิธีในวันนี้ของเหมิงกุ้ยเฟย แต่สีพระพักตร์ของพระองค์ที่มีต่อนางกลับดูอบอุ่นและอ่อนโยนยิ่งนัก
ครั้นได้ยินเช่นนี้จึงพยักพระพักตร์ สั่งให้เหมียวเชียนชิวไปยกน้ำมาอีกหนึ่งถ้วย
คนรับใช้ในวังยกโต๊ะขึ้นมาแล้ว จากนั้นจึงนำถ้วยมาจัดวางลงบนโต๊ะอีกหน
เหมิงกุ้ยเฟยเอ่ยอีกครั้ง “ฝ่าบาท ให้หมอหลวงวูเจาะเลือดเถอะเพคะ เขาเองก็พกเข็มเงินติดตัวเช่นกัน”
“หมู่เฟย ก็แค่การเจาะเลือด ไม่ต้องให้หมอหลวงจัดการหรอก” เย่ซิวตู๋หัวเราะเบา ๆ
หนานหนานรีบกระโดดดีดตัวขึ้นมา “ข้าไม่อยากได้หมอหลวง เมื่อครู่หมอหลวงฉวีนั่นเกือบชนข้า เข็มก็เกือบจะทิ่มตาข้าด้วย ข้าไม่อยากได้หมอหลวง”
“เช่นนั้น…” จักรพรรดิทอดพระเนตรคนอื่น ๆ ปราดหนึ่ง ท่าทางดูลำบากพระทัย
“ฝ่าบาท ให้กระหม่อมจัดการเถิดพ่ะย่ะค่ะ”
………………………………………………………………………………………………………………………
สารจากผู้แปล
เนียนมากอ๋องห้าอ๋องแปด ตัดกำลังนังกุ้ยเฟยได้แล้วหนึ่ง
ใครมาขออาสานะ?
ไหหม่า(海馬)