อลวนรักหมอหญิงชิงลั่ว - ตอนที่ 383 เห็นสิ่งนี้ก็ยืนยันได้แล้ว
ตอนที่ 383 เห็นสิ่งนี้ก็ยืนยันได้แล้ว
ท่ามกลางกลุ่มคน มีเงาสูงชะลูดก้าวเท้าเดินออกมาด้วยท่าทางสง่างาม
ฮ่องเต้แอบชะงักไปเล็กน้อย พระองค์เห็นหลีจื่อฟานเดินมาหยุดเบื้องพระพักตร์ ค้อมกายกราบทูลว่า “ในเมื่อไม่จำเป็นต้องใช้หมอหลวง เพียงแค่เจาะเลือดเล็กน้อย กระหม่อมทำได้พ่ะย่ะค่ะ”
สายตาหลากใจของทุกคนทอดมองมาที่เขา เสนาบดีฝั่งขวาผู้ทำตัวเฉยเมยนิ่งสงบมาโดยตลอด วันนี้กลับก้าวเท้าเสนอตัวภายในสถานที่เช่นนี้ เข้าร่วมกับเรื่องที่เห็นได้ชัดว่าต่างฝ่ายต่างพยายามหลอกลวงซึ่งกันและกันภายในราชวัง
สายพระเนตรของฮ่องเต้ฉายแววแปลกพระทัย เสนาบดีฝั่งขวาและซิวเอ๋อร์…ความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขา จวบจนตอนนี้ก็ยังไม่ค่อยชัดเจน
ก่อนหน้านี้พวกเขาทั้งคู่ต่างไม่สุงสิงกัน ซิวเอ๋อร์ออกไปอยู่ข้างนอกมาสี่ปี ตอนที่เพิ่งกลับมาได้ไม่นานก็ดูเหมือนจะไม่ได้มีความสัมพันธ์อันดีกับเสนาบดีฝั่งขวา มีเพียงครั้งเดียวคือตอนที่แม่นางชิงและหมอปีศาจตัวปลอมแข่งทักษะทางการแพทย์กันในครั้งนั้น ที่ทำให้เขาและซิวเอ๋อร์ยืนอยู่ฝั่งเดียวกัน
พระองค์คิดว่า ด้วยเหตุนี้ก็ถือว่าทั้งสองคนได้เริ่มต้นกันด้วยดีแล้ว หลังจากนี้เสนาบดีก็จะเป็นที่ปรึกษาให้ซิวเอ๋อร์ในการปกครองอาณาจักรได้
คิดไม่ถึงเลยว่าเมื่อไม่นานมานี้ จู่ ๆ กลับมีข่าวลือเรื่องความสัมพันธ์อันคลุมเครือระหว่างเสนาบดีฝั่งขวาและแม่นางชิง ทว่าตอนที่เสนาบดีฝั่งขวาป่วยหนัก แม่นางชิงกลับปฏิเสธคำขอในการเข้ารักษาให้เสนาบดีฝั่งขวา ด้วยเหตุนี้จึงปฏิเสธรับราชโองการ
ได้ยินมาว่า เสนาบดีฝั่งขวาแสดงอาการเกรี้ยวกราดภายในจวน หันปลายหอกชี้ไปที่เย่ซิวตู๋และแม่นางชิง ทั้งยังกล่าวผรุสวาทถึงพวกเขาทั้งสองอีกยกใหญ่
พูดเช่นนี้ ความสัมพันธ์ของพวกเขา…ควรเลวร้ายอย่างมากถึงจะถูก
เหมิงกุ้ยเฟยก็รู้สึกประหลาดใจเช่นกัน ฮ่องเต้ทราบเรื่องเหล่านี้ นางก็รู้เช่นเดียวกัน ตอนนี้นางกลับมิอาจหยั่งรู้ถึงความคิดของเสนาบดีฝั่งขวาได้ ทว่าความคิดของคนคนนี้ยากเกินกว่าจะคาดเดาได้มาโดยตลอด นางเคยเกิดความคิดอยากดึงตัวเสนาบดีฝั่งขวามาช่วยองค์ชายเจ็ด
ทว่าหลังจากการหยั่งเชิงไปสองสามครั้ง นางพบว่าเสนาบดีฝั่งขวาผู้นี้เป็นคนมีทิฐิสูง หยิ่งผยองไม่สุงสิงกับใคร สนใจแค่เรื่องของตนเอง ทำสิ่งต่าง ๆ แทนฮ่องเต้เท่านั้น ไม่พึ่งพาใครหน้าไหนทั้งสิ้น
เช่นนั้นตอนนี้ที่เขาปรากฏตัวออกมา…
เหมิงกุ้ยเฟยขมวดคิ้วมุ่น ครั้นเงยหน้าขึ้นกลับพบว่าสายตาของเสนาบดีฝั่งขวาเบือนไปทางอื่นเล็กน้อย หันไปพยักหน้าให้องค์ชายเจ็ดเย่ฮ่าวถิงเล็ก ๆ
เหมิงกุ้ยเฟยชะงัก อ้าปากค้างด้วยความประหลาดใจ หมายความว่าอย่างไร? เสนาบดีฝั่งขวาและถิงเอ๋อร์…เป็นพวกเดียวกัน?
“เสนาบดีฝั่งขวาชอบยุ่งเรื่องของคนอื่นจริง ๆ เรื่องเช่นนี้ ไม่ต้องรบกวนให้เสนาบดีฝั่งขวาเป็นกังวลหรอก” เหมิงกุ้ยเฟยยังไม่ทันได้ยืนยันกับองค์ชายเจ็ด ก็ได้ยินเสียงเย้ยหยันของเย่ซิวตู๋ดังขึ้นข้างหู
หลีจื่อฟานยิ้ม ร่างกายเบี่ยงไปด้านข้างโดยไม่ได้ตั้งใจ องศานี้บังสายตาของเหมิงกุ้ยเฟยและองค์ชายเจ็ดที่กำลังสื่อสารกันได้อย่างพอดิบพอดี
“ท่านอ๋องซิวไม่เชื่อข้าอย่างนั้นหรือ? ข้าทำสิ่งต่าง ๆ อย่างอ่อนโยนมาโดยตลอด เชื่อว่าซื่อจื่อน้อยคงไม่ปฏิเสธการช่วยเจาะเลือดของข้า”
เย่ซิวตู๋ยิ้มเยาะ “เสนาบดั่งขวามีความสามารถมากถึงเพียงนั้น เสด็จพ่อยังเชื่อถือท่านขนาดนี้ ข้าจะกล้าไม่เชื่อท่านได้หรือ เพียงแต่เรื่องนี้คงต้องดูหนานหนาน หากหนานหนานยินยอม ข้าก็ไม่คัดค้าน”
ทั้งสองคนโต้เถียงกันโดยไม่มีใครยอมใคร ดูเหมือนว่าข่าวลือที่พูดกันว่าท่านอ๋องซิวและเสนาบดีเป็นดั่งน้ำกับไฟที่มิอาจเข้ากันได้คงเป็นเรื่องจริง
เหมิงกุ้ยเฟยหรี่ตาลง มิได้กล่าวสิ่งใด
แต่กลับกลายเป็นฮ่องเต้ ที่กวาดสายพระเนตรไปที่พวกเขาทั้งสองสลับไปมาด้วยความสงสัย ตอนที่พระองค์กำลังจะตรัสบางสิ่ง จู่ ๆ กลับพบว่าหนานหนานกระโดดขึ้นมาจากข้าง ๆ
“ท่านจะช่วยเจาะเลือดให้ข้ารึ?”
หลีจื่อฟานพยักหน้า “ใช่” เขาหันไปมองหนานหนาน แววอ่อนโยนในดวงตาพลันหายวับไป
เด็กคนนี้ แค่เห็นครั้งแรกก็ทำให้คนรู้สึกโปรดปรานเป็นอย่างมากแล้ว การแข่งวรยุทธ์ก็ฉายแสงเจิดจ้าจนทำให้คนยิ่งโปรดปราน คิดไม่ถึงเลยว่าหนานหนานจะเป็นบุตรของท่านอ๋องซิว
ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เช่นนั้น…ก็น่าจะเป็นบุตรชายของอวี้ชิงลั่วด้วย
เย่ซิวตู๋เคยพูดว่า ชิงลั่วให้กำเนิดบุตรชายแก่เขาหนึ่งคน เมื่อครู่ตอนที่เขาเห็นอวี้ชิงลั่ววิ่งลงมาจากอัฒจันทร์ นัยน์ตาคู่นั้นของนางก็ฉายความกังวลและร้อนใจออกมาให้เห็น
ชิงลั่ว…ให้กำเนิดและเลี้ยงดูเด็กที่มีความเก่งกาจคนหนึ่งจริง ๆ
“หากท่านทำให้ข้าเจ็บจะทำเช่นไร?” ทนให้หลีจื่อฟานคิดมากเกินไปไม่ไหว หนานหนานจึงเอียงศีรษะเอ่ยถามออกมา
“เจ้าอยากให้ทำเช่นไร?”
“ตีท่านยี่สิบไม้เช่นกัน”
หลีจื่อฟานแย้มยิ้ม มุมปากยกเป็นเส้นโค้งเล็ก ๆ ราวสายลมในวสันตฤดู “ย่อมได้”
หนานหนานกระปรี้กระเปร่าขึ้นทันใด ตะโกนบอกเย่ซิวตู๋ “ท่านพ่อ ให้เขาเจาะก็แล้วกัน ดูเหมือนว่าจะไม่ใช่คนไม่ดี คงไม่ทำให้ข้าเจ็บหรอก หากทำให้ข้าเจ็บ ท่านช่วยตีเขาให้ข้าด้วยนะ”
เย่ซิวตู๋ขมวดคิ้วมุ่น ผ่านไปครู่หนึ่งจึงพยักหน้าอย่างไม่เต็มใจ
ฮ่องเต้เห็นเช่นนี้ จึงรู้สึกไม่ดีที่จะตรัสมากไปกว่านี้ จึงยกพระหัตถ์สั่งให้หมอหลวงวูยื่นเข็มมาให้เสนาบดีฝั่งขวาหนึ่งเล่ม เพื่อให้หลีจื่อฟานลงมือด้วยตนเอง
เหมิงกุ้ยเฟยชะงัก ตอนที่นางยังคงวิเคราะห์ว่าหลีจื่อฟานอยู่ฝั่งใด การเคลื่อนไหวทางฝั่งนั้นก็เริ่มต้นขึ้นแล้ว
นางนึกหงุดหงิดใจ จึงเงยหน้ามององค์ชายเจ็ด ทว่ากลับพบว่าองค์ชายเจ็ดกำลังหลุบตามองการเคลื่อนไหวของหลีจื่อฟาน ราวกับไม่ได้รู้สึกถึงสายตาของนาง
เหมิงกุ้ยเฟยจึงทำได้เพียงแค่ข่มความร้อนใจ และมองไปที่กลางลาน
ทว่าหลีจื่อฟานกลับหยิบผ้าเช็ดหน้าสะอาดมาเช็ดเข็ม จากนั้นจึงเจาะลงบนมือของเย่ซิวตู๋ นำเลือดหยดลงไปในน้ำสะอาดภายในถ้วย
จากนั้นจึงเดินมาหยุดข้าง ๆ หนานหนาน การเคลื่อนไหวกลับอ่อนโยนและแผ่วเบากว่าเมื่อครู่มาก ระยะเวลาเพียงชั่วพริบตาเดียว ยังไม่ทันรู้สึกเจ็บ เลือดก็ถูกหยดลงไปในถ้วยแล้ว
ทุกคนกลั้นหายใจมอง ฮ่องเต้ถึงกับลุกขึ้นยืนโดยไม่รู้ตัว พระองค์สาวพระบาทเข้ามาเพื่อดูการเปลี่ยนแปลงภายในถ้วย
ผ่านไปครู่หนึ่ง พระองค์ก็สรวลออกมา
“ผสานเข้าด้วยกันแล้ว ฮ่า ๆ ผสานเข้าด้วยกันแล้ว เป็นหลานชายของเราจริง ๆ ด้วย” ฮ่องเต้อุ้มหนานหนานขึ้นมา หยิกแก้มบนใบหน้าเล็ก ๆ ราวกับลูกผิงกั๋วของหนานหนาน
ขุนนางจำนวนมากคุกเข่าลงบนพื้น ส่งเสียงตะโกนดังแซ่ซ้อง “ยินดีกับฝ่าบาท ยินดีกับท่านอ๋องซิวพ่ะย่ะค่ะ”
เหมิงกุ้ยเฟยถึงกับตกตะลึง คิ้วขมวดมุ่นเป็นปมโดยพลัน แววตาฉายความเคร่งขรึม หลีจื่อฟานมิใช่คนของถิงเอ๋อร์?
ไทเฮาก็ก้าวพระบาทมาด้านหน้า ก่อนจะแย้มพระสรวลแล้วดึงมือหนานหนานไว้ ตรัสอย่างเนิบช้าว่า “เจ้าตัวเล็กคนนี้ รู้ตั้งแต่แรกว่าพ่อของตนเองเป็นใคร แต่กลับแสร้งทำเป็นไม่รู้เรื่องรู้ราวต่อหน้าเรา ไม่ยอมพูดออกมาว่าพ่อแม่ของตนเองคือใคร ปล่อยให้เราคาดเดาอยู่ตั้งนานแต่ก็ยังมิอาจล่วงรู้ได้ สมควรถูกลงโทษนัก”
หนานหนานเบ้ปาก มองไทเฮาและฮ่องเต้ปราดหนึ่งด้วยความน้อยใจ ร่างเล็ก ๆ ออกแรงงอตัวและบิดตัวออกจากอ้อมกอดของฮ่องเต้
“หนานหนานก็คิดไม่ถึงเช่นกัน หนานหนานเองก็รู้สึกเศร้า ท่านพ่อบอกว่า ท่านพ่อคือท่านอ๋อง ย่อมต้องมีคนจำนวนมากไม่เชื่อว่าข้าคือบุตรชายของเขา ย่อมต้องมีคนคิดว่าข้าสวมรอยเป็นแน่ แต่ข้าไม่เชื่อหรอก ทั้ง ๆ ที่หน้าตาของข้าและท่านพ่อเหมือนกันขนาดนั้น ความฉลาดของข้าก็ถ่ายทอดมาจากท่านพ่อ จะมีคนไม่เชื่อว่าพวกเราเป็นพ่อลูกกันได้อย่างไร? แต่หลังจากผ่านเรื่องราวในวันนี้ ถึงได้ค้นพบว่าเป็นเช่นนี้จริง ๆ”
ไทเฮาและฮ่องเต้หันสบพระเนตรปราดหนึ่ง จากนั้นจึงทอดพระเนตรไปที่เหมิงกุ้ยเฟยที่บัดนี้ยังยืนเงียบไม่ส่งเสียงพูดจา
เหมิงกุ้ยเฟยอ้าปากค้าง ตอนที่กำลังจะพูดว่าการหยดเลือดพิสูจน์อาจมีปัญหา ตอนที่กำลังจะพูดว่าเสนาบดีฝั่งขวาแอบทำบางสิ่งไว้
ใครจะไปคิดว่าจู่ ๆ หนานหนานกลับถลกชายเสื้อของตนเองขึ้นมา ชี้ไปยังปานรูปดอกไม้สีชมพูม่วงขนาดเล็กที่เผยอยู่บนเอว น้ำเสียงเต็มไปด้วยความสงสัย “ทั้ง ๆ ที่ท่านพ่อบอกว่าแค่ได้เห็นสิ่งนี้ ก็ยืนยันได้แล้วว่าข้าคือบุตรชายของท่านพ่อ เหตุใดถึงยังมีคนต้องการให้หยดเลือดพิสูจน์อีก?”
ปานรูปดอกไม้สีชมพูม่วง?
เหมิงกุ้ยเฟยถึงกับพูดไม่ออกไปชั่วขณะหนึ่ง
………………………………………………………………………………………………………………………
สารจากผู้แปล
นั่นสิ ทำไมไม่โชว์ปานดอกไม้ให้ดู ไม่ต้องหยดเลือดพิสูจน์ก็รู้ได้จากปานนี้แล้ว
ไหหม่า(海馬)