อลวนรักหมอหญิงชิงลั่ว - ตอนที่ 384 ใครจะกล้ามีข้อกังขา
ตอนที่ 384 ใครจะกล้ามีข้อกังขา
ตอนที่ 384 ใครจะกล้ามีข้อกังขา
นั่นคือสัญลักษณ์พิเศษประจำตระกูลเหมิงของพวกเขา ทั้งใต้หล้านี้ นอกจากคนของตระกูลเหมิง คนจากต่างอาณาจักรต่างก็ไม่มีปานรูปดอกไม้สีชมพูม่วงที่มีความพิเศษเช่นนี้
ไม่ถูกสิ ควรกล่าวว่า ต่อให้เป็นคนในตระกูลเหมิง คนที่จะมีปานเช่นนี้ได้ในตอนนี้มีแค่หกคนเท่านั้น
เหมิงกุ้ยเฟยและเย่ซิวตู๋มีปานนี้ ทว่าแม้แต่องค์ชายเจ็ดเย่ฮ่าวถิงก็ยังไม่ได้รับการถ่ายทอดแต่อย่างใด ในตอนนี้ บนตัวของเด็กน้อยคนนี้กลับมีปานอีกหนึ่งคน
นอกจากนี้ เท่าที่นางทราบ คนที่อยู่ในรุ่นเดียวกับหนานหนาน ยังไม่มีใครที่มีสัญลักษณ์ตระกูลเหมิงปรากฏออกมาแม้แต่คนเดียว
เขา…คือคนแรก!!!
สายตาของเหมิงกุ้ยเฟยที่เพ่งมองไปที่ปานนั้นเผยแววเย็นชามากขึ้นเรื่อย ๆ
ฮ่องเต้และไทเฮาหันสบพระเนตรกัน คนอื่น ๆ อาจไม่เข้าใจถึงความหมายของปานนี้ ทว่าพวกเขากลับรู้ดี เด็กคนนี้มีพรสวรรค์ที่ไม่ธรรมดา ตระกูลเหมิงคงคิดว่าเขาเป็นของล้ำค่าที่สวรรค์ประทานให้
แม้แต่องค์ชายเจ็ดก็ถึงกับกำหมัดแน่นอย่างห้ามไม่อยู่ สวรรค์ทรงเมตตาพี่ห้าเกินไปแล้ว แม้แต่บนตัวของเขาก็ยังไม่มีปาน ทว่าบุตรชายของพี่ห้ากลับมีสิ่งนี้
“เหมิงกุ้ยเฟย เจ้ายังคิดว่าหนานหนานมิใช่ลูกของซิวเอ๋อร์อีกรึ?” ไทเฮามองสายตาที่ดูเอื่อยเฉื่อยของเหมิงกุ้ยเฟยด้วยท่าทีเย้ยหยัน นางไม่ได้ถามไถ่ถึงเรื่องสำคัญภายในพระราชวังมานานมากแล้วจริง ๆ ตอนนี้ดูเหมือนว่าความสัมพันธ์ระหว่างเหมิงกุ้ยเฟยและเย่ซิวตู๋จะไม่ได้ดีอย่างที่ข่าวลือด้านนอกพูดกัน
ทั้งเรื่องที่เหมิงกุ้ยเฟยมีข้อกำหนดที่เข้มงวดต่อเย่ซิวตู๋เอย เรื่องที่เหมิงกุ้ยเฟยตั้งความหวังกับเย่ซิวตู๋ไว้สูงเอย ล้วนแล้วแต่เป็นคำพูดน่าขบขันไร้แหล่งที่มา แม่คนหนึ่งนั้น ต่อให้เข้มงวดกับบุตรชายของตนเองมากกว่านี้ แต่ตอนที่ได้ยินว่ามีหลานชาย ก็มิควรมีปฏิกิริยาโต้ตอบเช่นนี้
เหมิงกุ้ยเฟยข่มเลือดที่พุ่งพล่านอยู่กลางอกอย่างเงียบ ๆ สีหน้าดูตึงเครียดไปครู่หนึ่ง จากนั้นจึงเดินเข้ามาหาหนานหนานด้วยรอยยิ้ม ย่อตัวลงข้าง ๆ พลางยื่นมือลูบใบหน้าเล็ก ๆ สีหน้าดูอ่อนโยนขณะพูดกับหนานหนาน “หลานชายคนเก่งของเราจริง ๆ สินะ เป็นเพราะเราไม่ดีเอง จึงเผลอใส่ร้ายหนานหนาน หนานหนานให้อภัยย่าได้หรือไม่”
เย่ซิวตู๋ขมวดคิ้วมุ่น แทบอยากจะพุ่งตัวเข้าไปอุ้มหนานหนานให้ออกห่างจากเหมิงกุ้ยเฟย
ถึงอย่างไร หลังจากเห็นสายตาของอวี้ชิงลั่วที่เหลือบมองมาทางเขา จึงได้แต่ข่มใจไว้อย่างเงียบ ๆ
หนานหนานจ้องมองเหมิงกุ้ยเฟยด้วยท่าทีไร้เดียงสา เอียงศีรษะกล่าว “ไม่ให้อภัยได้หรือไม่?”
“…” มุมปากของทุกคนถึงกับกระตุก บุตรของท่านอ๋องซิว…มีนิสัยเอาแต่ใจเหมือนกับท่านอ๋องซิวจริง ๆ
สีหน้าของเหมิงกุ้ยเฟยถึงกับแข็งค้างไปถนัดตา นางมองเด็กที่ยืนอยู่ตรงหน้า ถึงกับพูดไม่ออกไปชั่วขณะ
หลังจากผ่านไปครู่หนึ่ง จึงเงยหน้าแย้มยิ้มด้วยรอยยิ้มเย็นเยือก “เช่นนั้นหนานหนาน ต้องทำอย่างไรเจ้าถึงจะให้อภัยย่า?”
คำพูดของนางแฝงด้วยความจนปัญญา เหมิงกุ้ยเฟยผู้ตัดสินใจเรื่องภายในวัง กลับต้องลดตัวลงเช่นนี้กับเด็กคนหนึ่ง สิ่งนี้ทำให้คนที่เห็นรู้สึกไม่พอใจหนานหนาน
ต่อให้มีนิสัยเอาแต่ใจมากกว่านี้ ก็ไม่ควรทำตัวอกตัญญูเช่นนี้
อีกอย่างหนึ่ง เหมิงกุ้ยเฟยก็มิได้ทำอะไรผิด นางให้ความสำคัญกับสายเลือดของราชวงศ์ อีกอย่างท่านอ๋องซิวก็เป็นบุตรชายของนาง นางก็คิดเพื่อประโยชน์ส่วนรวม และเพื่อยืนยันสถานะของหนานหนานด้วย สิ่งนี้ทำให้ทุกคนเถียงไม่ได้ เหตุใดถึงได้เอ่ยว่าไม่ให้อภัยเล่า?
“เอ่อ…ข้าจะพูดเสียงดัง ๆ หนึ่งประโยคก็แล้วกัน ข้าคือลูกชายของท่านพ่อ ดังนั้นข้าจะให้อภัยท่าน”
เหมิงกุ้ยเฟยชะงัก สีหน้าบิดเบี้ยวขณะมองเด็กที่ยืนอยู่ตรงหน้า
ทว่ากลับได้ยินหนานหนานพูดต่อไปว่า “ท่านย่าคงไม่รู้ หลังจากหนานหนานได้ยินท่านพ่อพูดว่าคงไม่มีใครเชื่อสถานะของหนานหนาน สิ่งนี้ทำให้หนานหนานปวดใจอย่างมากมาโดยตลอด หนานหนานอยากได้รับการยอมรับจากทุกคน โดยเฉพาะตอนที่เห็นผิงซื่อจื่อ เฉิงซื่อจื่อ เวยซื่อจื่อและคนอื่น ๆ ที่สามารถบอกคนอื่น ๆ ให้รู้ได้อย่างเปิดเผยว่าท่านพ่อของพวกเขาเป็นใคร ท่านย่าของพวกเขาเป็นใคร หนานหนานรู้สึกอิจฉายิ่งนัก”
ระหว่างที่พูด หนานหนานก็เริ่มเบะปากอีกครั้ง
“หนานหนานก็อยากได้รับการยอมรับจากทุกคนเช่นกัน แต่หนานหนานกลับเป็นได้แค่สหายคู่เรียนที่ไม่มีสถานะใด ๆ ทุกครั้งที่ได้เห็นไทเฮา ได้เห็นฮ่องเต้ อันที่จริงหนานหนานอยากบอกความจริงเหลือเกิน แต่ก็ทำเช่นนั้นไม่ได้ หากถูกคนอื่นมองว่าเป็นเด็กน้อยแฝงด้วยเจตนาร้ายจะทำเช่นไร? ดังนั้นหนานหนานจึงพยายามมากเป็นพิเศษ ขยันมากเป็นพิเศษ อยากแสดงออกมาให้ดีมากเป็นพิเศษ เช่นนี้ทุกคนก็คงยอมรับในตัวข้าแล้ว และคงคิดว่าข้าเก่งกาจมากพอที่จะเป็นลูกชายของท่านพ่อได้แล้ว”
“ท่านพ่อเคยพูดไว้ว่า การแข่งวรยุทธ์อันตรายมาก แต่หนานหนานอยากพิสูจน์ตัวเอง ต่อให้อันตรายมากกว่านี้ หนานหนานก็อยากลองดูสักตั้ง ต่อให้ต้องสู้ด้วยชีวิต ก็ต้องพิสูจน์ให้เห็นว่าหลานชายของราชวงศ์คือวีรบุรุษ ข้าได้พิสูจน์ให้เห็นแล้ว คิดว่าทุกคนก็คงได้เห็นถึงความพยายามของหนานหนาน คิดว่าท่านย่าคงโปรดปรานข้ามาก ดังนั้นวันนี้ หลังจากที่ท่านพ่อพูดกับทุกคนว่าข้าคือลูกชายของท่านพ่อ ข้าจึงดีใจมาก คิดว่าท่านย่าจะเป็นคนแรกที่ยอมรับข้า แต่คิดไม่ถึงเลย…คิดไม่ถึงเลยว่า…”
หนานหนานยิ่งพูดก็ยิ่งปวดใจ ยิ่งพูดก็ยิ่งดูน่าสงสาร ท้ายที่สุดก็ยกมือขึ้นมาปิดตาร้องไห้แง ๆ
เย่หลานเฉิงที่ยืนอยู่ข้าง ๆ ก็เกิดอารมณ์ร่วมไปด้วย จับมือหนานหนานเริ่มสะอึกสะอื้น “หนานหนาน ข้าไม่รู้เลย แรงกดดันในใจของเจ้ามีมากขนาดนี้ ข้าไม่คิดเลยว่าเจ้าจะคาดหวังให้ทุกคนยอมรับขนาดนั้น”
“…” เสี่ยวเฉิงเฉิงจอมทึ่ม ยอมรับกับน้องเจ้าสิ เจ้านี่มันซื่อบื่อนัก
หนานหนานร้องไห้ไปพลาง ใช้สายตามองสีหน้าของทุกคนไปพลาง
มีคนจำนวนมากถึงกับถอนหายใจเพราะคำพูดของหนานหนาน จริงสิ หนานหนานเป็นถึงบุตรของท่านอ๋องซิว จากสถานะของท่านอ๋องซิว ต้องรู้สึกน้อยใจมากเพียงใดที่บุตรของตนเองต้องถูกทุกคนฉงนสนเท่ห์ ตอนที่หยดเลือดพิสูจน์ คนที่ออกตัวเพื่อสร้างความลำบากใจให้เขาเป็นคนแรกก็คือท่านย่าแท้ ๆ ของตนเอง
ครู่หนึ่ง สายตาเห็นอกเห็นใจของทุกคนก็มองมาที่หนานหนานอีกหน
ไทเฮาสาวพระบาทมาตรงหน้า ลูบศีรษะของหนานหนาน พลางถอนพระทัยแล้วตรัสว่า “เด็กน้อย ทำให้เจ้าต้องลำบากใจแล้ว”
สีพระพักตร์ของฮ่องเต้แอบยุ่งเหยิง หนานหนานเคยพยายามที่ไหนกัน? ทุกครั้งที่พระองค์สั่งให้หนานหนานอ่านตำราฝึกซ้อมวรยุทธ์ เด็กคนนี้ก็เอาแต่นอนและกิน เห็นได้ชัดว่าเป็นเด็กจอมขี้เกียจจะตายไป การพูดโกหกเช่นนี้ เขาพูดออกมาได้เป็นชุดเลยจริง ๆ
เย่ซิวตู๋แอบเบือนหน้าไปทางอื่นอย่างเงียบ ๆ จริงสินะ หากแสร้งทำเป็นคนน่าสงสารจะมีใครสู้หนานหนานได้อีก ตอนนี้ทักษะทางการแสดงของเด็กคนนี้นับวันก็ยิ่งมีความสามารถมากขึ้นเรื่อย ๆ เพียงครู่เดียวถึงขั้นคิดจะร้องก็ร้องไห้แล้ว
เหมิงกุ้ยเฟยถูกต้อนจนมาถึงทางตันแล้ว นอกจากยอมรับผิด ก็คงทำได้เพียงแค่ทำตามที่หนานหนานพูดไว้ นางลุกขึ้นยืนด้วยรอยยิ้มเจื่อน จู่ ๆ ก็กล่าวเสียงสูงขึ้นว่า “หนานหนานเป็นบุตรชายของซิวเอ๋อร์ เป็นหลานชายแท้ ๆ ของเรา ความจริงได้รับการพิสูจน์แล้ว มีใครยังมีข้อกังขาหรือไม่?”
ใครจะกล้ามีข้อกังขา คนที่มีสิทธิ์ในการพูดมากที่สุดยอมรับสถานะของเขาแล้ว ผลลัพธ์ในการหยดเลือดพิสูจน์ก็เป็นที่ประจักษ์แล้ว จากท่าทีของฮ่องเต้และไทเฮาก็ดูเหมือนจะรักเด็กคนนี้มาก หากใครกล้าก้าวเท้าออกมาและพูดว่าตนเองมีปัญหาในช่วงเวลาหัวเลี้ยวหัวต่อเช่นนี้ คงกลายเป็นคนแรกที่ท่านอ๋องซิวคิดจะจัดการ
องค์ชายสามและคนอื่น ๆ ถึงกับมีสีหน้าทะมึน ขบฟันกรอดจนฟันแทบแตก ขณะจ้องมองไปยังเด็กที่มีความโดดเด่นเหนือใคร
องค์ชายเจ็ดมีสีหน้าตึงเครียด พี่ห้า…มีลูกแล้ว ดูเหมือนว่าเสด็จพ่อคงยิ่งให้ความสำคัญมากเข้าไปใหญ่
เขาจึงหันไปมองหมู่เฟยของตนเอง ครั้นแลเห็นสายตาของหมู่เฟยที่ฉายแววโหดเหี้ยมก็ถึงกับตกใจ หรือหมู่เฟยคิดจะลงมือกับเด็กวัยห้าขวบคนนี้?
…………………………………………………………………………………………………………………………
สารจากผู้แปล
หนานหนานการละครไม่เคยทำให้ผิดหวังค่ะ แปบเดียวก็พลิกขาวเป็นดำพลิกดำเป็นขาวได้
ไหหม่า(海馬)