อลวนรักหมอหญิงชิงลั่ว - ตอนที่ 391 แทบอยากจะฉีกร่างนางแล้ว
ตอนที่ 391 แทบอยากจะฉีกร่างนางแล้ว
ตอนที่ 391 แทบอยากจะฉีกร่างนางแล้ว
อวี้ชิงลั่วแย้มยิ้ม มองดูหลี่หรานหร่านที่ทำตัวน่าเวทนาปราดหนึ่ง ก่อนจะมองไปยังอวี๋จั้วหลินที่เริ่มโอนไปเอนมาไม่รู้ว่าควรเชื่อใครกันแน่ จากนั้นจึงเอ่ยปากพูดกับเหมียวเชียนชิว
“เหมียวกงกง รบกวนท่านช่วยไปเรียกท่านหมอเจียงจากโรงหมอซิงเซิ่งมาหน่อย”
สีหน้าของหลี่หรานหร่านถึงกับขาวซีดโดยพลัน นางเงยหน้ามองอวี้ชิงลั่วอย่างฉับพลัน ร่างกายสั่นเทิ้มอย่างควบคุมไม่อยู่
มุมพระโอษฐ์ของฮ่องเต้กระตุกวูบ เหตุใดพระองค์ถึงได้รู้สึกว่า แม่นางชิงในตอนนี้ ได้เปิดเผยนิสัยหยิ่งผยองของหมอปีศาจผู้นั้นออกมาแล้ว
พระองค์โบกพระหัตถ์ สั่งให้เหมียวเชียนชิวทำตามที่อวี้ชิงลั่วบอก
“ใต้เท้าอวี๋ ท่านหมอเจียงจากโรงหมอซิงเซิ่ง ท่านก็น่าจะรู้จักดีกระมัง” อวี้ชิงลั่วหันมองอวี๋จั้วหลิน
แม้อวี๋จั้วหลินจะเกลียดนางที่หลอกตนเอง ทว่ากลับต้องยอมพูดความจริง “ท่านหมอเจียง…เป็นหมอประจำจวนอวี๋มาโดยตลอด”
“รบกวนใต้เท้าอวี๋พูดให้ชัดเจนสักหน่อย หมอประจำจวนมาโดยตลอด หมายความว่าก่อนหน้านี้ ตอนที่ข้ายังไม่มาที่เมืองหลวง ท่านหมอเจียงเป็นคนรักษาโรคของหลี่ซื่อมาโดยตลอดงั้นรึ?”
อวี๋จั้วหลินขบฟัน “ใช่”
“ก็หมายความว่า ก่อนที่หลี่ซื่อจะรู้จักกับข้า บนตัวของนางมีโรคอะไร ท่านหมอเจียงย่อมทราบดีที่สุด ถูกต้องหรือไม่”
อวี๋จั้วหลินขบฟันแน่นอีกหน ถลึงตามองนางปราดหนึ่งด้วยความเหี้ยมโหด “ย่อมเป็นเช่นนั้น”
หลี่หรานหร่านมองอวี้ชิงลั่วด้วยความตกตะลึง นางรู้ได้อย่างไรว่าท่านหมอเจียงตรวจเจอโรคของนางแล้ว? ไม่มีทาง จะเป็นเช่นนี้ได้อย่างไรกัน? ท่านหมอเจียงไม่มีทางปริปากพูด เพราะนางให้เงินเขาไปแล้ว
อย่าได้ตื่นตระหนก อย่าทำให้ตนเองต้องตกใจเสียเอง
สมองของหลี่หรานหร่านเริ่มคิดวกไปวนมาอย่างบ้าคลั่ง เม็ดเหงื่อเย็นเฉียบบนหน้าผากไหลหยดลงพื้น
เพียงไม่นาน ท่านหมอเจียงก็ถูกนำตัวเข้ามา
เหมียวเชียนชิวได้เล่าเรื่องราวทั้งหมดให้ท่านหมอเจียงฟังระหว่างทางที่เดินทางมาที่นี่แล้ว ตอนนี้ถึงอย่างไรแม่นางชิงก็เป็นคนข้างกายท่านอ๋องซิว เหมียวเชียนชิวมิได้มุ่งร้ายอวี้ชิงลั่ว ดังนั้น หากช่วยเหลือได้เล็ก ๆ น้อย ๆ เขาก็จะช่วย และถือเป็นการมอบโอกาสให้ท่านหมอเจียงได้เตรียมใจด้วย
ด้วยเหตุนี้ ตอนที่ท่านหมอเจียงเข้ามาด้านในท้องพระโรง การแสดงออกทางสีหน้าของเขาจึงไม่ปรากฏความฉงนสนเท่ห์แม้แต่น้อย
ฮ่องเต้ตรัสถาม “ท่านหมอเจียง เจ้ารู้จักสตรีที่กำลังคุกเข่าอยู่บนพื้นผู้นั้นหรือไม่?”
เจียงอวิ๋นเซิงเงยหน้ามองปราดหนึ่ง กราบทูลอย่างพินอบพิเทาไปว่า “กระหม่อมรู้จักพ่ะย่ะค่ะ บุคคลผู้นี้คืออนุภรรยาของจวนใต้เท้าอวี๋ เป็นคนไข้ที่กระหม่อมเคยรักษา”
“อ๋อ เช่นนั้นเจ้าก็บอกมา โรคที่อยู่บนตัวของหลี่ซื่อคือโรคอะไร?”
หลี่หรานหร่านถึงกับตกใจ ร่างกายเกร็งจนเหยียดตรง มือที่ทิ้งอยู่ข้างลำตัวกำเข้าหากันจนแน่น
“กราบทูลฝ่าบาท” เสียงของเจียงอวิ๋นเซิงหนักแน่นและทรงพลัง “หลี่ซื่อมีความบกพร่องทางร่างกาย เป็นมาแต่กำเนิดพ่ะย่ะค่ะ”
“พูดจาเหลวไหล” อวี๋จั้วหลินก้าวเท้ามาด้านหน้า กล่าวด้วยความโกรธขึ้ง “ก่อนหน้านี้ เจ้าไม่เคยพูดเช่นนี้กับข้ามาก่อน เจ้าไม่เคยบอกข้าว่าหลี่ซื่อของข้าป่วยด้วยโรคนี้”
หลี่หรานหร่านรีบพยักหน้า ร้องห่มร้องไห้ด้วยท่าทางน่าสงสาร “ท่านหมอเจียง เป็นเพราะ…เป็นเพราะมีคนซื้อตัวท่าน ข่มขู่ท่านให้พูดเช่นนี้ใช่หรือไม่?”
อวี้ชิงลั่วแค่นเยาะ หลี่หรานหร่านผู้นี้หลอกลวงผู้อื่นเก่งจริง ๆ
เจียงอวิ๋นเซิงมองหลี่หรานหร่านปราดหนึ่ง แค่นเสียงด้วยความโกรธเคือง จากนั้นจึงหยิบตั๋วเงินในกระเป๋าเสื้อออกมาสองใบพร้อมกับโยนลงพื้น “คนที่ซื้อตัวข้าก็คือท่านนั่นแหละ ใต้เท้าอวี๋ ข้าขอโทษท่านด้วย อันที่จริงนับตั้งแต่แรกเริ่ม ข้าตรวจพบสาเหตุโรคของหลี่ซื่อแล้ว เพียงแต่ตอนนั้นมีบางสิ่งดลใจทำให้ตัดสินใจได้ไม่แน่ชัด มึนงงไปกับท่าทางที่ดูน่าสงสารของหลี่ซื่อ หลี่ซื่อร้องไห้อ้อนวอนข้า บอกว่าหากเรื่องนี้ถูกแพร่งพรายออกไป ชีวิตของนางคงดับสิ้นแล้ว”
อวี๋จั้วหลินถอยหลังออกไปหนึ่งก้าว ทว่ากลับได้ยินเจียงอวิ๋นเซิงกล่าวต่อไปว่า “หลี่ซื่อกล่าวว่า นางเป็นแค่อนุภรรยาของใต้เท้าอวี๋ ไม่มีบุตรก็คงไม่เป็นไร ไม่ว่าจะช้าหรือเร็ว ใต้เท้าอวี๋ก็ต้องมีฮูหยินอยู่ดี ถึงเวลานั้นตระกูลอวี๋ก็ยังคงมีทายาทสืบสกุล แต่ถ้าปล่อยให้ตระกูลอวี๋รู้เรื่องโรคของนาง ย่อมต้องขับไล่นางเป็นแน่แท้ สตรีตัวคนเดียวอย่างนางหากต้องถูกขับไล่ออกไป ชีวิตหลังจากนี้เกรงว่าคงยากเกินกว่าจะมีชีวิตรอด ข้าเกิดความใจอ่อนไปชั่วขณะหนึ่ง จึงตกปากรับคำนาง ตอบตกลงตามคำขอของนาง บอกไปว่าโรคของหลี่ซื่อมีเพียงหมอปีศาจเท่านั้นที่จะรักษาได้”
“เดิมทีข้าคิดว่าหมอปีศาจชีพจรลงเท้าไม่มีหลักแหล่งแน่นอน ใต้เท้าอวี๋เองก็ได้รับความโปรดปรานจากฝ่าบาท คงมิอาจไปตามหาหมอปีศาจได้ เรื่องนี้ผ่านพ้นไปก็สิ้นเรื่องแล้ว เพียงแต่ไม่รู้เลยว่าหลี่ซื่อผู้นี้ใช้วิธีใดกันแน่ ถึงได้ทำให้ใต้เท้าอวี๋ยอมละทิ้งหน้าที่การงาน ออกเดินทางไกลหลายพันลี้เพื่อตามหมอปีศาจกลับมา ตอนนั้นข้ารู้สึกเสียใจยิ่งนัก ยิ่งไปกว่านั้นข้าเคยบังเอิญได้ยินหลี่ซื่อกล่าวว่าจะแกล้งทำเป็นตั้งครรภ์แล้วค่อยอุ้มเด็กสักคนเข้ามาหลอกตระกูลอวี๋ ตอนนั้นข้าโกรธมาก เดิมทีคิดว่ารอหลังจากใต้เท้าอวี๋กลับมาจะบอกเรื่องนี้กับท่านให้รู้แจ้งแจ่มชัด ทว่าคิดไม่ถึงเลยว่าใต้เท้าอวี๋จะตามหาตัวหมอปีศาจกลับมาได้จริง ๆ”
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ก็นับว่าสวรรค์ได้เมตตาผู้ที่มีความเพียรพยายาม บางทีหมอปีศาจอาจมีความสามารถรักษาหลี่ซื่อให้หายได้จริง ๆ เช่นนั้นก็เป็นเรื่องที่น่ายินดี ดังนั้นข้าจึงปิดบังเรื่องนี้ไว้ เพียงแต่มโนธรรมกลับถูกประณามมาโดยตลอด ตอนนี้เมื่อได้มาอยู่เบื้องพระพักตร์ฝ่าบาท จึงไม่กล้ากล่าววาจาเท็จแม้เพียงครึ่งประโยคพ่ะย่ะค่ะ”
เจียงอวิ๋นเซิงพูดออกมาด้วยน้ำเสียงทรงพลัง ไม่เพียงแค่อวี๋จั้วหลินที่ตกตะลึงจนหน้าขาวซีด แม้แต่ทุกคนที่ยืนชมอยู่รอบ ๆ ก็พากันชี้มือชี้ไม้ไม่หยุด
“หลี่ซื่อผู้นี้ช่างไร้ยางอายเสียจริง มีโรคเช่นนี้กลับคิดจะปิดบัง ทั้งยังคิดจะคิดอุ้มท้องปลอม ๆ อีก หากเรื่องเช่นนี้ประสบความสำเร็จขึ้นมาจริง ๆ มิเท่ากับว่าใต้เท้าอวี๋ก็ต้องเลี้ยงดูลูกคนอื่นตลอดทั้งชีวิตหรอกหรือ?”
“ก็นั่นน่ะสิ นางยังกระตุ้นให้ใต้เท้าอวี๋ไปตามหาหมอปีศาจ ทำให้ใต้เท้าละทิ้งหน้าที่การงาน”
“นารีเป็นเหตุจริง ๆ ช่างไร้ยางอายเกินไปแล้ว”
หลี่หรานหร่านหน้าขาวซีด ร้องไห้พลางออกแรงส่ายหน้ากล่าวว่า “ไม่ใช่ ไม่ใช่นะเพคะฝ่าบาท เขากล่าววาจาเท็จ”
เจียงอวิ๋นเซิงสีหน้าเคร่งขรึม “ฝ่าบาท กระหม่อมไม่กล้ากล่าววาจาเท็จแม้เพียงครึ่งประโยค เรื่องนี้ สุ่ยเหวินที่เป็นสาวรับใช้คนสนิทข้างกายหลี่ซื่อก็ทราบเป็นอย่างดี”
ฮ่องเต้ขมวดพระขนง สั่งให้คนเบิกสุ่ยเหวินเข้ามา สุ่ยเหวินตกใจจนแทบจะเป็นลมไปในทันที การเผชิญหน้ากับสถานการณ์เช่นนี้ ทั้งยังเผชิญหน้ากับหลี่หรานหร่านที่หมดมาดไปแล้ว สายพระเนตรที่เคร่งขรึมของฝ่าบาท ไหนจะน้ำเสียงตวาดของไทเฮา
นางจึงยอมเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้อย่างชัดเจนเกี่ยวกับข่าวลือที่หมอปีศาจและเสนาบดีฝั่งขวามีความคลุมเครือกันว่าเป็นฝีมือของหลี่ซื่อ
ฮ่องเต้ถึงกับทรงกริ้ว ตบฝ่าพระหัตถ์พลางดีดพระวรกายขึ้น “หลี่ซื่อเจ้าคนไร้ยางอาย ไม่เพียงแต่ดูหมิ่นหมอปีศาจว่านางวางยาพิษใส่เจ้าจนทำให้จรรยาบรรณทางการแพทย์ของนางเสียหาย ยังทำให้ขุนนางของเราต้องตกอยู่ในข่าวลือจนทำลายชื่อเสียงเสนาบดีฝั่งขวา สตรีไร้ศีลธรรมไร้ความรู้และวางแผนใส่ร้ายผู้อื่นเช่นนี้ เก็บเจ้าไว้จะมีประโยชน์อันใดกัน?”
หลี่หรานหร่านตกใจจนเนื้อตัวสั่นเทา ทำได้เพียงแค่ส่งสายตาขอความช่วยเหลือไปทางอวี๋จั้วหลิน
ทว่าบัดนี้อวี๋จั้วหลินกลับมีสีหน้าแข็งทื่อ คำพูดของเจียงอวิ๋นเซิงทำให้เขาโกรธจัด เขาเกลียดหลี่หรานหร่านยิ่งกว่าใคร ๆ หากมิใช่เพราะตอนนี้ยืนอยู่ในท้องพระโรง เขาคงกระโจนเข้าไปฉีกร่างนางแล้ว
หลี่หรานหร่านตกใจจนถึงขั้นขดตัว เงยหน้ามองไปฝั่งเหมิงกุ้ยเฟย
เหมิงกุ้ยเฟยเหลือบมองนางปราดหนึ่ง ในใจรู้สึกผิดหวังยิ่งนัก
นับตั้งแต่อวี้ชิงลั่วพูดว่าจะเชิญพยานบุคคลมาที่นี่ เหมิงกุ้ยเฟยก็ทราบแล้วว่าลำพังแค่หลี่หรานหร่านเพียงคนเดียวมิอาจโค่นอวี้ชิงลั่วได้ และในเวลานั้น นางก็ได้ล้มเลิกความคิดที่จะช่วยเหลือหลี่หรานหร่านไปแล้ว
หลี่ซื่อ หาใช่ศัตรูของแม่นางชิงไม่
ทว่าไม่รีบร้อน หากหลี่หรานหร่านสู้ไม่ได้ ก็ยังมีคนอื่นมิใช่รึ
……………………………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
เกมแล้วล่ะนังหร่าน โดนหมอเจียงแฉขนาดนี้ คงไม่พ้นโทษประหารไม่ก็โทษเนรเทศ
มาเลยนังกุ้ยเฟย จะเบิกตัวใครออกมาอีก จะได้รู้ว่าแกซื้อตัวใครไปบ้าง
ไหหม่า(海馬)