อลวนรักหมอหญิงชิงลั่ว - ตอนที่ 393 ความเศร้าโศกของอวี้ชิงลั่ว
ตอนที่ 393 ความเศร้าโศกของอวี้ชิงลั่ว
ตอนที่ 393 ความเศร้าโศกของอวี้ชิงลั่ว
ฮ่องเต้รู้สึกปวดเศียรเวียนเกล้า หากมิใช่เพราะเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับซิวเอ๋อร์ พระองค์คงไม่อยากเข้ามายุ่งเกี่ยวเท่าไรนัก
ครั้นได้สดับฟังคำพูดของอวี๋จั้วหลิน พระองค์ชะงักไปครู่หนึ่ง ก่อนโบกพระหัตถ์สั่งให้อวี้เจี้ยนต๋าเข้ามา
อวี้ชิงลั่วรู้สึกผิดหวังในตัวบิดาคนนี้จริง ๆ ไม่ต้องตรวจสอบ นางก็พอจะคาดเดาได้ว่า ครั้งนี้ที่อวี๋จั้วหลินกระทำการเช่นนี้ย่อมเป็นเพราะอวี้เจี้ยนต๋าปล่อยข่าวรั่วไหล ทำให้สองแม่ลูกคู่นั้นรู้ได้
คราก่อนภายในเรือนรับรองชั่วคราวของอาณาจักรหลิวอวิ๋น นางได้เตือนเขาไปแล้ว แต่คิดไม่ถึงเลยว่าเขายังเลือกที่จะเชื่อใจสองแม่ลูกเฉินจีซิน บิดาเช่นนี้ ไม่แปลกใจเลยที่แม้แต่บุตรและบุตรีของตนเองก็มิอาจปกป้องไว้ได้
อวี้เจี้ยนต๋านำสองแม่ลูกเฉินจีซินก้าวเท้าเข้าประตู พวกเขาทั้งสามทำความเคารพต่อเบื้องพระพักตร์ฮ่องเต้ แล้วจึงหมอบลงบนพื้น ไม่กล้าเปล่งเสียงพูด
“ใต้เท้าอวี๋ ได้ยินมาว่าเจ้ายังมีบุตรีอีกหนึ่งคน เพียงแต่นางตายไปเมื่อหกปีก่อน ใช่หรือไม่?”
“พ่ะย่ะค่ะ” อวี้เจี้ยนต๋ายังคงก้มหน้า ทว่าภายในใจกลับเต้นตุ้ม ๆ ต่อม ๆ ไม่หยุด นับตั้งแต่ถูกเรียกตัวจวบจนตอนนี้ เขาก็พอจะคาดเดาได้ว่า บางทีเรื่องนี้อาจเกี่ยวข้องกับอวี้ชิงลั่ว มิเช่นนั้นแม้แต่สองแม่ลูกเฉินจีซินและอวี้ชิงโหรวก็คงไม่ถูกเรียกตัวเข้ามาในท้องพระโรงด้วย
ภายหลัง ตอนที่ได้ยินคำสั่งให้ยืนรออยู่นอกท้องพระโรง เขาก็ได้ยินสถานการณ์ที่เกิดขึ้นด้านใน ทั้งยังได้เห็นหลี่หรานหร่านถูกลากตัวออกไปทุบตีจนตายต่อหน้าต่อตา ภายในใจก็ถึงกับตกตะลึง
จนกระทั่งตอนนี้ เขาก็ยิ่งรู้สึกกระสับกระส่าย
“เช่นนั้นเจ้าก็เงยหน้าขึ้นมามองว่าคนที่ยืนอยู่ข้างกายเจ้า ใช่บุตรีคนโตของเจ้าที่น่าจะตายไปเมื่อหกปีก่อนหรือไม่?” ฮ่องเต้ทอดพระเนตรอวี้เจี้ยนต๋าปราดหนึ่ง สำหรับเจ้าหน้าที่ตัวเล็ก ๆ ที่ไม่ได้มีความโดดเด่น ฮ่องเต้จึงไม่ค่อยอยากสนพระทัยเท่าไรนัก พระองค์คิดว่าอวี้เจี้ยนต๋าเป็นแค่คนธรรมดา ดูเหมือนว่าที่เขาเดินมาถึงจุดนี้ได้ก็เป็นเพราะพึ่งใบบุญเล็ก ๆ จากบรรพบุรุษ
เพียงแต่เขาได้เดินมาถึงขีดจำกัดของตัวเองแล้ว คนคนนี้ไร้ซึ่งพรสวรรค์ และไม่เคยสร้างผลงานอุทิศตนให้กับอาณาจักรเฟิงชาง แต่ละวันเอาแต่ประพฤติตนสงบเสงี่ยมเพื่อทำงานส่วนของตนเองให้เสร็จสิ้นก็เท่านั้น
หากมิใช่เพราะจู่ ๆ เสนาบดีฝั่งขวาก็เป็นห่วงและเอาอกเอาใจคุณหนูรองของตระกูลอวี้ ฮ่องเต้คงลืมขุนนางผู้นี้ไปแล้ว
ครั้นนึกถึงท่าทีของเสนาบดีฝั่งขวาที่มีต่ออวี้ชิงลั่ว สายพระเนตรของฮ่องเต้ก็ทอดมองไปที่หลีจื่อฟานอย่างห้ามไม่อยู่ ถึงกระนั้นกลับไม่เห็นสิ่งผิดปกติ ทั้งยังค้นพบว่าเขาเกียจคร้านแม้กระทั่งทอดสายตามองไปยังคุณหนูรองตระกูลอวี้
สรุปแล้วเป็นเพราะความคิดของเสนาบดียากแท้หยั่งถึง หรือเป็นเพราะ…เขาเบื่อหน่ายคุณหนูรองผู้นั้นแล้ว?
“ฝ่าบาท กระหม่อมไม่รู้จักสตรีผู้นี้พ่ะย่ะค่ะ” ขณะที่ฮ่องเต้กำลังเหม่อลอยครุ่นคิดเรื่องส่วนพระองค์ จู่ ๆ พระองค์ก็ได้ยินเสียงดังฟังชัดของอวี้เจี้ยนต๋าดังขึ้นข้าง ๆ พระกรรณ
เสียงของขุนนางผู้แสนธรรมดาดังก้องทั่วท้องพระโรง ทุกคนต่างได้ยินอย่างชัดแจ้ง และถึงกับประหลาดใจขึ้นมา
มีเพียงอวี้เจี้ยนต๋าที่ยังมีสีหน้าเคร่งขรึม เขาทราบดีว่าหากวันนี้เขาพูดออกไปว่าสตรีที่ยืนอยู่ข้าง ๆ คือบุตรีของตนเอง อวี้ชิงลั่วย่อมต้องโดนลงโทษ และคงมิอาจมีชีวิตรอดต่อไปได้
เมื่อหกปีก่อนเขามิอาจช่วยนางได้ หกปีต่อมาเขายังเกือบทำร้ายนาง ตอนนี้ต่อให้ต้องแลกด้วยชีวิตชราของตนเอง เขาก็ต้องปกป้องครอบครัวของตนเองไว้ให้ได้ ตระกูลอวี้ทนต่อความทุกข์ทรมานไม่ไหวแล้ว
ทว่าสองแม่ลูกตระกูลอวี้กลับมิได้คิดเช่นนี้
สิ้นเสียงอวี้เจี้ยนต๋า เฉินจีซินก็ส่งเสียงพูดขึ้นว่า “สามี พูดจาเหลวไหลอะไรของท่าน? เห็น ๆ อยู่ว่านี่คือชิงลั่ว นางคือชิงลั่วบุตรีของท่านนะ ท่านจะพูดจาส่งเดชไม่ได้นะเจ้าคะ”
“นั่นสิเจ้าคะท่านพ่อ” อวี้ชิงโหรวร้องไห้ด้วยท่าทางบอบบาง “นี่มันท่านพี่ชัด ๆ ท่านพี่ที่รักชิงโหรวสุดหัวใจ เหตุใดท่านพ่อถึงได้พูดจาเหลวไหลล่ะเจ้าคะ?”
อวี้เจี้ยนต๋าถลึงตามองพวกนางปราดหนึ่ง กล่าวผรุสวาทด้วยความโกรธขึ้งว่า “พูดจาเหลวไหลอะไร? พี่สาวของเจ้าตายไปตั้งแต่หกปีก่อนแล้ว อย่าได้ยืนยันตัวผู้อื่นแบบสุ่มสี่สุ่มห้า”
“ไม่ใช่นะเจ้าคะ ท่านพ่อ ท่านพี่ดวงดีดวงแข็ง นางยังไม่ตาย ท่านพ่อดูสิเจ้าคะ ท่านพ่อดูให้ดี ๆ ท่านพี่ยังมีชีวิตอยู่ก็นับว่าเป็นข่าวดีนะเจ้าคะ พวกเราจะได้อยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตาอีกครั้ง ครั้งก่อนท่านพ่อกลับมาบอกข้ากับท่านแม่ ตอนที่บอกว่าท่านพี่ยังไม่ตาย ไม่รู้ว่าพวกเรารู้สึกดีใจมากเพียงใด เมื่อหกปีก่อนท่านพี่ได้รับบาปอย่างใหญ่หลวงเช่นนั้น ค่อยยังชั่วที่ยังมีชีวิตรอด ตอนนี้ขอแค่ท่านพี่เป็นคนดีก็เพียงพอแล้ว เรื่องก่อนหน้านี้ พวกเราอย่าได้คิดเล็กคิดน้อยเลยเจ้าค่ะ
เฉินจีซินเองก็พูดเสริมเช่นกัน “นั่นสิ สามี ข้ารู้ว่าท่านยังโกรธชิงลั่วเกี่ยวกับความผิดเหล่านั้นที่นางเคยทำไว้ แต่เรื่องมันก็ผ่านไปตั้งนานแล้ว ชิงลั่วเองก็สำนึกผิดและได้รับความทุกข์ทรมานไม่น้อย ตอนนี้นางกลับมาแล้ว เหตุใดท่านถึงไม่ยอมรับนางล่ะเจ้าคะ? ทำเช่นนี้ชิงลั่วจะรู้สึกทุกข์ใจมากเพียงใด ถึงอย่างไรก็เป็นครอบครัวเดียวกัน สามัคคีปรองดองกันไม่ดีกว่าหรือเจ้าคะ?”
อวี้เจี้ยนต๋าหันขวับมองสองแม่ลูกคู่นี้ เหตุใดพวกนางถึงได้โง่เขลาเช่นนั้น ไม่รู้เลยหรืออย่างไรว่าคำพูดเหล่านี้อาจทำร้ายชิงลั่วจนถึงตาย? สรุปแล้วพวกนางเข้าใจถึงสถานการณ์ในเวลานี้หรือไม่ นี่มิเท่ากับเป็นการต้อนให้ชิงลั่วตายหรอกหรือ?
ทว่า…เขามิอาจตักเตือนพวกนางต่อเบื้องพระพักตร์ฮ่องเต้และเหล่าขุนนางได้ จึงทำได้เพียงแค่พ่นลมจนเคราพลิ้วไหว และยังคงยึดมั่นในตนเอง “เหลวไหล ข้าบอกว่าชิงลั่วตายไปแล้ว พวกเจ้าฟังไม่เข้าใจหรืออย่างไรกัน?”
“ท่านพ่อ” จู่ ๆ อวี้ชิงโหรวก็ถลาเข้าใส่อวี้เจี้ยนต๋า ร้องไห้ราวกับดอกสาลี่ต้องหยาดพิรุณ [1] ยิ่งทำให้ผู้คนเกิดความสงสารและเห็นอกเห็นใจมากยิ่งขึ้น “ท่านพ่อ พวกเราต่างก็เป็นครอบครัวเดียวกัน ท่านอย่าได้เอ่ยด้วยถ้อยคำขุ่นเคืองอีกเลยเจ้าค่ะ ปกติท่านพ่อแสดงความดื้อรั้นต่อหน้าเราสองคนแม่ลูกย่อมไม่เป็นไร แต่ตอนนี้เราอยู่ในท้องพระโรง อย่าได้ใช้อารมณ์เลยเจ้าค่ะ ความผิดโทษฐานลบหลู่เบื้องสูงเชียวนะเจ้าคะ”
อวี้เจี้ยนต๋าชะงัก ความผิดโทษฐานลบหลู่เบื้องสูง?
“ท่านพ่อ ความผิดโทษฐานลบหลู่เบื้องสูงต้องถูกตัดหัวทั้งตระกูล เมื่อครู่หลี่ซื่อจวนอวี๋ก็ลบหลู่เบื้องสูงภายในท้องพระโรงไปแล้ว ถึงได้เจอจุดจบเช่นนั้น ท่านพ่อ ท่านเองก็เห็นแล้วมิใช่หรือเจ้าคะ? หรือท่านพ่ออยากให้ความโกรธที่อยู่ในก้นบึ้งของหัวใจทำให้ตระกูลอวี้ของพวกเราต้องชดใช้ไปด้วย? ท่านพ่อ ลำพังแค่ข้ากับท่านแม่ไม่เป็นไรหรอกเจ้าค่ะ แต่ท่านลืมน้องชายไปแล้วหรือ? เขาเพิ่งอายุสิบเอ็ดปี จะทำให้เขาเดือดร้อนไปด้วยไม่ได้นะเจ้าคะ อย่าได้ขุ่นเคืองใจอีกเลยนะเจ้าคะ?”
คำพูดของอวี้ชิงโหรวนับว่าเป็นการจี้โดนจุดอ่อนของอวี้เจี้ยนต๋าเข้าแล้ว ความตั้งใจเดิมของเขาคืออยากปกป้องอวี้ชิงลั่ว ต่อให้ต้องสละชีวิตตนเองก็ไม่เสียดาย ทว่าเขาก็ต้องปกป้องทุกคนในจวนอวี้ด้วย
เขายังมีภรรยา บุตรี และยังมี…บุตรชายอีกหนึ่งคน อีกทั้งยังมีคนในจวนอีกหลายสิบชีวิต หากพวกเขาต้องถูกตัดหัวเพราะเขากระทำความผิดโทษฐานลบหลู่เบื้องสูง เขา…เขาจะขอโทษทุกคนอย่างไร?
ชิงลั่ว…ชิงลั่ว…ก็แค่ปิดบังสถานะเมื่อหกปีก่อน โทษคงไม่ถึงตาย
ครั้นคิดได้เช่นนี้ อวี้เจี้ยนต๋าจึงเกิดอาการใจรวนเร และค่อย ๆ เปลี่ยนเป็นหนักแน่น เขาหันมองอวี้ชิงลั่วด้วยสายตาขอโทษปราดหนึ่ง หลับตาลง และเอ่ยขึ้นอย่างเนิบช้าว่า “ฝ่าบาท นี่คือบุตรีของกระหม่อมพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมคิดว่านางตายไปเมื่อหกปีก่อน กระหม่อมมองเห็นได้ไม่ชัดเจนชั่วขณะหนึ่ง จึงคิดว่าจำผิดคน”
อวี้ชิงลั่วมองทั้งสามคนด้วยท่าทีเย้ยหยัน นางรู้ตั้งแต่แรกแล้วว่าในใจของอวี้เจี้ยนต๋าย่อมสู้สองแม่ลูกเฉินจีซินไม่ได้
นอกจากนี้ สองแม่ลูกเฉินจีซินต่างก็รู้จักนิสัยของอวี้เจี้ยนต๋าเป็นอย่างดี ดังนั้นจึงแก้ไขปัญหาได้อย่างถูกจุด พูดเพียงคำสองคำก็ทำให้อวี้เจี้ยนต๋าเปลี่ยนความคิดได้แล้ว
อวี้ชิงลั่วรู้สึกเห็นอกเห็นใจเจ้าของร่างเดิมมากขึ้นเรื่อย ๆ และยิ่งรู้สึกว่าโชคดีที่นางกลับมาที่เมืองหลวงและพาตัวอวี้เป่าเอ๋อร์ออกไป
……………………………………………………………………………………………………………………….
[1] ดอกสาลี่ต้องหยาดพิรุณ (梨花带雨) เปรียบเทียบดอกสาลี่กับใบหน้าของสตรีที่เมื่อร้องไห้ก็ยังดูงดงาม
สารจากผู้แปล
สองแม่ลูกนี่ดูท่าจะวอนหาโทษประหารมากเหลือเกินนะคะ
สงสารชิงลั่วที่มีพ่อแบบนี้จังค่ะ
ไหหม่า(海馬)