อลวนรักหมอหญิงชิงลั่ว - ตอนที่ 394 นางคือองค์หญิงเทียนฝูแห่งอาณาจักรเทียนอวี่
ตอนที่ 394 นางคือองค์หญิงเทียนฝูแห่งอาณาจักรเทียนอวี่
ตอนที่ 394 นางคือองค์หญิงเทียนฝูแห่งอาณาจักรเทียนอวี่
ฮ่องเต้ได้สดับฟังเช่นนี้ พลันเหลือบสายพระเนตรไปทางอวี้เจี้ยนต๋าปราดหนึ่ง คนอื่น ๆ ก็ยิ่งถอนหายใจด้วยความเศร้าสลด
อวี้ชิงโหรวทำทีเป็นร้องไห้ออกมาอย่างจริงใจ ทักษะการแสดงของนางอยู่ในขั้นสุดยอดแล้ว มีคนจำนวนไม่น้อยคิดว่านางรู้สึกมีความสุขจริง ๆ ที่อวี้ชิงลั่วยังไม่ตาย ทั้งยังคิดว่าการที่นางโน้มน้าวใจบิดาของตนเองเพื่อไม่ให้เขาต้องทำความผิดมหันต์ นับเป็นบุตรียอดกตัญญูคนหนึ่ง
ในขณะที่เหมิงกุ้ยเฟยกลับยกยิ้มมุมปาก ยกแก้วขึ้นมาจิบน้ำเบา ๆ หนึ่งคำ แย้มยิ้มอย่างเนิบช้า ดูเหมือนว่าสองแม่ลูกคู่นี้ก็แทบอยากให้อวี้ชิงลั่วตายไปเร็ว ๆ เช่นกัน
ดูเหมือนว่าต่อให้นางไม่ต้องลงมือ อวี้ชิงลั่วก็มีศัตรูไม่น้อยแล้ว
ครั้งนี้ นางเองก็อยากรอดูเช่นกันว่าอวี้ชิงลั่วจะรับมือกับพวกเขาเหล่านั้น และแก้ไขสถานการณ์นี้อย่างไร
อวี้ชิงลั่วจะไม่สนใจหลี่ซื่อก็ย่อมได้ ถึงอย่างไรคนที่ตายไปแล้วก็คือตายไปแล้ว ทว่าอวี้เจี้ยนต๋าเป็นบิดาแท้ ๆ ของนาง ต่อให้นางใจเหี้ยมกว่านี้ ก็มิอาจปล่อยให้พ่อของตนเองกระทำความผิดโทษฐานลบหลู่เบื้องสูงจนถูกตัดหัวทั้งตระกูล ทว่า…หากนางยอมรับว่าคำพูดทั้งหมดของอวี้เจี้ยนต๋าคือเรื่องจริง เช่นนั้นนาง…เหอะ…เป็นชู้กับคนอื่น ต่อให้ผ่านไปหกปี ก็ยังต้องจับขังถ่วงน้ำอยู่ดี!!!
มุมปากของเหมิงกุ้ยเฟยเปื้อนด้วยรอยยิ้ม นางรู้สึกมีความสุขมากขึ้นเรื่อย ๆ
สถานการณ์ที่ยากลำบากนี่ อวี้ชิงลั่วจะแก้ไขอย่างไรกัน?
“ใต้เท้าอวี้ แม่นางชิงหาใช่บุตรีของท่านไม่ คราก่อนตอนที่อยู่ในเรือนรับรอง แม่นางชิงและคุณชายน้อยต่างก็เคยบอกเจ้าไปอย่างชัดเจนแล้วว่าท่านจำคนผิด อะไรกัน หรือว่าใต้เท้าอวี้ลืมไปแล้ว ต้องให้เราเตือนเจ้าหรือไม่?”
เหมิงกุ้ยเฟยชะงัก หันมองไปยังคนที่กำลังพูด ความโกรธพลันพุ่งพล่านขึ้นภายในใจ ตอนแรกคือซ่างกวนจิ่น ตอนนี้กลับกลายเป็นฉีหานเว่ย ทูตต่างอาณาจักรเหล่านี้คงว่างมากกระมัง ถึงต้องการเข้ามามีส่วนร่วม?
ฮ่องเต้ทอดพระเนตรด้วยความฉงนสนเท่ห์ไปยังฝั่งรัชทายาทอาณาจักรหลิวอวิ๋น อะไรกัน ฉีหานเว่ยก็คิดจะพูดแทนอวี้ชิงลั่วงั้นรึ?
อวี้เจี้ยนต๋าเงยหน้าขึ้นโดยพลัน หว่างคิ้วขมวดเข้าหากันเล็กน้อย
ฉีหานเว่ยลุกขึ้นยืน ก้าวเท้าไปกลางท้องพระโรงเพียงไม่กี่ก้าว ก่อนหมุนกายหันมาทางฝั่งฮ่องเต้
“ฮ่องเต้ เรื่องเกี่ยวกับสถานะของแม่นางชิง เราก็พอจะเข้าใจมาบ้างแล้ว ไม่รู้ว่าเข้ามายุ่งแล้วจะทำให้คนอื่นเข้าใจผิดคิดว่าอยากเข้ามาก้าวก่ายหรือไม่?”
มือของเหมิงกุ้ยเฟยถึงกับกำเข้าหากันจนแน่น รัชทายาทอาณาจักรหลิวอวิ๋นผู้นี้ หาใช่คนดีไม่
ฮ่องเต้ได้ยินเขาพูดเช่นนี้ จึงทำได้เพียงลอบถอนหายพระทัย ก่อนจะแย้มพระสรวลตรัสว่า “รัชทายาทเอ่ยมาเถิด”
“ตอนนั้นคุณชายน้อยของตระกูลใต้เท้าอวี้มีเรื่องเข้าใจผิดกันเล็กน้อย จึงถูกน้องชายของกระหม่อมจับตัวเข้าไปในเรือนรับรอง แม่นางชิงเข้าไปในเรือนรับรองเพื่อช่วยคุณชายน้อยที่มีนามว่าอวี้เป่าเอ๋อร์ ส่วนใต้เท้าอวี้ก็เป็นผู้ดูแลภายในเรือนรับรองพอดี จึงบังเอิญได้เจอกับแม่นางชิง ตอนนั้นใต้เท้าอวี้ตื่นเต้นมาก พูดว่าแม่นางชิงคือบุตรีของตนเองที่ล่วงลับไปเมื่อหกปีก่อน ทั้งยังบอกอีกว่าที่แม่นางชิงช่วยอวี้เป่าเอ๋อร์ก็เป็นเพราะเขาคือน้องชายแท้ ๆ ของตนเอง”
เหมิงกุ้ยเฟยชะงัก นี่กำลังแก้ต่างให้แม่นางชิง หรือคิดจะเปิดเผยสถานะของอวี้ชิงลั่วกันแน่?
สองแม่ลูกเฉินจีซินต่างก็ไม่เข้าใจเช่นกัน จึงพากันหันมองรัชทายาทอาณาจักรหลิวอวิ๋นที่กำลังพูดจาฉะฉานผู้นั้น
ฉีหานเว่ยยิ้มออกมา ก่อนจะพูดต่อไปว่า “เพียงแต่ตอนนั้น แม่นางชิงไม่ยอมรับว่านางคือบุตรีของใต้เท้าอวี้ ส่วนสาเหตุที่ว่าเพราะเหตุใดจึงต้องช่วยอวี้เป่าเอ๋อร์ ก็เพียงเพราะพวกเขาทั้งคู่มีวาสนาต่อกัน อวี้เป่าเอ๋อร์บอกว่าแม่นางชิงมีความละม้ายคล้ายคลึงกับพี่สาวแท้ ๆ ของเขา จึงเห็นแม่นางชิงเป็นพี่สาวของตน เราเชื่อว่า แม่นางชิงและบุตรีผู้ล่วงลับไปแล้วของใต้เท้าอวี้มีความคล้ายคลึงกันมากจริง ๆ ถึงได้ทำให้ใต้เท้าอวี้จำผิดคน”
“ไม่…จำไม่ผิด บุตรีของข้า ข้าจะจำผิดได้อย่างไรกัน?” เฉินจีซินพูดแย้งทันควัน
ฉีหานเว่ยหันกลับไปมองอย่างฉับพลัน สายตาเฉียบคมจ้องมองเฉินจีซิน ความเย็นชาที่อยู่นัยน์ตาทำให้เฉินจีซินตกใจจนถึงกับขดตัว
“จริงสิ เรายังมีอีกประโยคที่ยังไม่ได้พูด” ทว่าจู่ ๆ ฉีหานเว่ยกลับยิ้มออกมาอีกหน “ใต้เท้าอวี้พูดว่า คุณชายน้อยอวี้เป่าเอ๋อร์สติไม่สมประกอบ ทว่าแม่นางชิงเป็นหมอปีศาจ นางเคยช่วยตรวจให้คุณชายอวี้แล้ว ร่างกายของเขาไม่มีโรคใด ๆ ความคิดกระจ่าง พูดจาชัดเจน ดูเป็นคนปกติทุกประการ ส่วนเพราะเหตุใดถึงได้มีข่าวลือว่าเขาสติไม่สมประกอบถูกแพร่งพรายออกไป เช่นนี้เกรงว่าคงมีคนจงใจ ได้ยินมาว่า หมอที่เคยมาดูอาการให้คุณชายอวี้ก่อนหน้านี้ ล้วนแต่เป็นคนที่ฮูหยินอวี้และคุณหนูรองอวี้เชิญมา ใช่หรือไม่?”
สีหน้าของเฉินจีซินและอวี้ชิงโหรวถึงกับซีดลงโดยพลัน พวกนางพากันปิดซ่อนใบหน้าของตนเอง
“เราจำได้ว่า แม่นางชิงเคยเตือนใต้เท้าอวี้ บอกให้เขาคิดดูให้ดี ๆ เหตุใดคุณชายอวี้ถึงได้รับการปฏิบัติเช่นนี้ ช่างน่าเสียดาย ใต้เท้าอวี้ยังคงเชื่อใจฮูหยินอวี้และคุณหนูรอง หาได้สนใจถึงความปลอดภัยของคุณชายน้อยไม่ เรากลับรู้สึกเห็นอกเห็นใจคุณชายอวี้ผู้นั้นอย่างยิ่ง อายุยังน้อยแต่กลับถูกทรมานกักขังอยู่ภายในห้องเล็ก ๆ หากมิใช่เพราะได้พบแม่นางชิงผู้มีความหวังดี เกรงว่าทั้งชีวิตนี้คงถูกทำลายจนหมดสิ้นแล้ว”
อวี้เจี้ยนต๋าถึงกับตกตะลึง เขา…เขา…เขามิได้ไม่สนใจถึงความปลอดภัยของเป่าเอ๋อร์ เพียงแต่คิดว่า…ฮูหยินและบุตรีของตนเอง มิใช่คนจิตใจเหี้ยมโหดเช่นนั้น เขาคิดแค่ว่าพวกนางเป็นผู้บริสุทธิ์
ฉีหานเว่ยก็รู้สึกผิดหวังในตัวอวี้เจี้ยนต๋ายิ่งนัก คำพูดเหล่านั้นที่แม่นางชิงพูดไว้ในวันนั้น แม้แต่เจ้าสิบสามก็ยังเข้าใจอย่างแจ่มชัด ทว่าชายชราผู้นี้กลับยังคงสับสนงุนงงเช่นนั้น
“ฮูหยินอวี้ คุณหนูรอง เหตุใดคุณชายอวี้ถึงได้ถูกวินิจฉัยว่าสติไม่สมประกอบ เราคิดว่าในใจของพวกเจ้าทั้งสองต่างก็ทราบเป็นอย่างดี คนที่โหดร้ายต่อต้นกล้าเพียงหนึ่งเดียวของตระกูลอวี้เช่นนี้ ทำให้เราไม่เชื่อในความรักที่สุดแสนจะลึกซึ้งระหว่างพี่น้องที่คุณหนูอวี้เพิ่งแสดงออกมาเมื่อครู่ จุ๊ ๆ ช่างน่าขยะแขยงเสียจริง”
ครั้นกล่าวจบ ฉีหานเว่ยก็สะบัดแขนเสื้อ ก่อนจะเดินองอาจกลับไปยังที่นั่งของตนเอง
คำพูดของเขามีอิทธิพลอย่างยิ่งยวด คำพูดที่เอ่ยไปเมื่อครู่ทำให้ทุกคนเข้าใจขึ้นเล็กน้อย ด้วยเหตุนี้ เมื่อได้เห็นสีหน้าของอวี้ชิงโหรวในตอนนี้ สีหน้าของพวกเขาจึงดูแย่ลงอย่างมาก
เหมิงกุ้ยเฟยหรี่ตาลง ฉีหานเว่ยผู้นี้ทำให้เสียเรื่องจริง ๆ
อวี้ชิงโหรวถึงกับตะลึงงันไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็ได้สติกลับคืนมา เงยหน้าพร้อมกับน้ำตาที่ไหลอาบแก้ม “หม่อมฉันเปล่านะเพคะ…ฝ่าบาท เหนียงเหนียง หม่อมฉันเปล่านะเพคะ โรคของน้องชาย หมอเป็นคนบอกพวกเราจริง ๆ ความสัมพันธ์ระหว่างหม่อมฉันและท่านพี่แน่นแฟ้นมากจริง ๆ ก่อนหน้านี้ก็รักกันมาก เรื่องเหล่านี้ท่านพี่ทราบดีใช่หรือไม่เจ้าคะท่านพี่?”
ระหว่างที่นางพูด สายตาก็มองมาที่อวี้ชิงลั่ว คลานเข่ามาด้านหน้าสองสามก้าว “ท่านพี่ พวกเราต่างก็รักกันดีมาตั้งแต่ยังเล็ก ท่านจำน้องสาวคนนี้ไม่ได้จริง ๆ หรือเจ้าคะ? ข้าจำได้ ครั้นยังเด็กตอนที่ข้ายังเดินได้ไม่มั่นคง เป็นเพราะท่านต้องการช่วยข้าที่ล้มลงกับพื้น หลังของท่านถูกกระแทกจนได้รับบาดเจ็บ บนแผ่นหลังยังมีแผลเป็นทิ้งไว้หนึ่งรอย”
เหมิงกุ้ยเฟยแย้มยิ้มออกมา อวี้ชิงโหรวผู้นี้ดูเหมือนจะฉลาดอยู่เหมือนกัน
“คุณหนูอวี้ บนหลังของพี่สาวเจ้ามีแผลเป็นจริง ๆ รึ?”
“กราบทูลเหนียงเหนียง บนหลังของท่านพี่มีแผลเป็นจริง ๆ เพคะ บนแผ่นหลังทางซ้ายของนางยังมีไฝสีแดงอีกหนึ่งเม็ดด้วย”
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ แค่ตรวจสอบดูว่าบนแผ่นหลังทางซ้ายของแม่นางชิงมีไฝสีแดงหรือไม่ ก็ชัดเจนแล้วว่านางคืออวี้ชิงลั่วหรือไม่ จริงหรือไม่เพคะฝ่าบาท?”
ฮ่องเต้ทอดพระเนตรมองเหมิงกุ้ยเฟยปราดหนึ่ง ก่อนพยักพระพักตร์ตอบ
เหมิงกุ้ยเฟยรีบกล่าวเสียงสูงกับแม่นมที่ยืนอยู่ด้านหลัง “นำตัวแม่นางชิงไปที่ตำหนักหลัง ตรวจสอบดู แม่นางชิงคงไม่ปฏิเสธใช่หรือไม่?”
อวี้ชิงลั่วแย้มยิ้ม จ้องมองแม่นมผู้นั้นที่กำลังเดินลงบันไดมา
ทว่าตอนที่แม่นมยื่นมือออกมาเพื่อดึงตัวอวี้ชิงลั่ว จู่ ๆ องค์ชายรองอาณาจักรเทียนอวี่ที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ด้วยท่าทางเกียจคร้านมาโดยตลอดกลับลุกขึ้นยืน โผทะยานออกไป พร้อมกับเตะแม่นมผู้นั้นจนล้มลงไปกองอยู่บนพื้น
จากนั้น จึงกล่าวด้วยน้ำเสียงข่มขู่อันทรงพลัง “สุนัขรับใช้คนหนึ่งสามารถตรวจค้นร่างกายขององค์หญิงเทียนฝูแห่งอาณาจักรเทียนอวี่ได้ตั้งแต่เมื่อใดกัน?”
…………………………………………………………………………………………………………………………
สารจากผู้แปล
นังโหรวหุบปาก หากไม่อยากตายเหมือนนังหร่าน
ชิงลั่วไปเป็นองค์หญิงอาณาจักรเทียนอวี่ตอนไหนกันเนี่ย
ไหหม่า(海馬)