อลวนรักหมอหญิงชิงลั่ว - ตอนที่ 395 ข้าชื่ออวี้ชิงลั่วแล้วจะทำไม
ตอนที่ 395 ข้าชื่ออวี้ชิงลั่วแล้วจะทำไม
ตอนที่ 395 ข้าชื่ออวี้ชิงลั่วแล้วจะทำไม
เหมิงกุ้ยเฟยทอดมองแม่นมคนสนิทของตนเองที่ถูกเตะจนกระเด็นไปไกลหลายหมี่ นางถึงกับลุกพรวดด้วยความโกรธขึ้ง ตอนที่กำลังขึ้นเสียงเอ่ยถาม กลับได้ยินเสียงขององค์ชายรองดังขึ้นราวกับเสียงอสนีบาต
องค์หญิงเทียนฝูแห่งอาณาจักรเทียนอวี่?
ไม่เพียงแค่เหมิงกุ้ยเฟยเท่านั้น แม้แต่ฮ่องเต้ก็ตกตะลึงจนเกือบลุกพรวดขึ้นจากพระที่นั่งจนเสียความสุขุม
และยิ่งไม่ต้องพูดถึงคนอื่น ๆ ที่อยู่ ณ แห่งนี้ พวกเขาต่างแสดงสีหน้าตกตะลึงยิ่งกว่า แม้แต่ลมหายใจก็ถูกสะกดกลั้นเอาไว้
ซ่างกวนจิ่นร่างกายแข็งทื่อไปทั้งตัว สายตาดุดันจับจ้องไปยังอวี้ชิงลั่ว จู่ ๆ เขาก็นึกถึงคำตอบของนางตั้งแต่ตอนที่ตนเองจับตัวนางก่อนหน้านี้ เขาเคยถามเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างองค์ชายรองของอาณาจักรเทียนอวี่
นางบอกว่า…นางคือน้องสาวขององค์ชายรอง
หากเป็นเช่นนั้นย่อมหมายความว่านี่คือ…เรื่องจริง?
แม้แต่ฉีหานเว่ยก็ตกตะลึงเช่นกัน คิ้วของเขาขมวดเข้าหากันจนยากจะคลายออก หมอปีศาจคือองค์หญิงของอาณาจักรเทียนอวี่? นาง…ทั้ง ๆ ที่นางคืออวี้ชิงลั่ว หากนางมิใช่คุณหนูตระกูลอวี้แล้วนางจะเป็นห่วงเป็นใยและเอาใจใส่อวี้เป่าเอ๋อร์เช่นนี้ไปเพื่ออะไร?
สายตาของทุกคนแปรเปลี่ยนเป็นความประหลาดใจ พวกเขาจับจ้องมององค์ชายรองที่กำลังยิ้มพราย
ผ่านไปครู่ใหญ่ จึงได้ยินน้ำเสียงทุ้มลึกของฮ่องเต้ “องค์ชายรอง ท่านบอกว่า…แม่นางชิง…คือองค์หญิงเทียนฝูแห่งอาณาจักรเทียนอวี่?”
“ถูกต้อง” องค์ชายรองกระตุกยิ้ม ก่อนหันกลับไปลูบศีรษะอวี้ชิงลั่ว นัยน์ตาแฝงแววเอาอกเอาใจ แล้วกล่าวว่า “ชิงเอ๋อร์ พี่รองบอกเจ้าไปแล้วมิใช่หรือ? หากได้รับความอยุติธรรมก็ให้บอกพี่รองทันที อย่าได้อดทนอดกลั้นไว้ อีกอย่าง ต่อให้ตอนนี้มิได้อยู่ในอาณาจักรเทียนอวี่ สถานะอันสูงส่งของเจ้าก็มิอาจปล่อยให้ใครมาหยามเหยียดได้ ต้องใช้อำนาจของเจ้าให้เหมาะสม”
อวี้ชิงลั่วปัดมือของเขาออกไป สีหน้าของนางดูเหยเกถึงขีดสุด ผ่านไปครู่หนึ่ง นางจึงหันมองไปทางเย่ซิวตู๋ที่ยืนเป็นผู้ชมด้วยสายตาเย็นชาอยู่ข้าง ๆ โดยไม่พูดอะไรตั้งแต่ต้นจนจบ ราวกับว่านี่มิใช่เรื่องของตนเอง
นางคือองค์หญิงเทียนฝู? เหตุใดนางจึงไม่รู้เรื่องนี้? บัดซบ เรื่องใหญ่ขนาดนี้ พวกเขากลับไม่คิดจะปรึกษานางสักคำ องค์ชายรองและเย่ซิวตู๋รู้กันหมด แต่ปิดบังนางเพียงคนเดียวงั้นรึ?
“ถังป๋ายชือ (เจ้าทึ่มถัง) เรื่องนี้ กลับไปข้าค่อยไปคิดบัญชีกับท่าน” อวี้ชิงลั่วข่มน้ำเสียงทุ้มต่ำ ถลึงตาตักเตือนเขาอย่างดุดัน
องค์ชายรองถึงกับร่างสั่นเทา มุมปากกระตุกวูบ ทั้งยังรักษาระยะห่างจากนางสองก้าว
ครั้นหันกลับมามองฮ่องเต้ เขาก็กลับมาอยู่ในท่วงท่าสง่างามอีกครั้ง ก่อนจะกล่าวอย่างเกียจคร้านว่า “ฝ่าบาท บุคคลผู้นี้คือถังชิงเอ๋อร์ องค์หญิงเทียนฝูแห่งอาณาจักรเทียนอวี่ของกระหม่อม และเป็นคนที่ฝ่าบาทประทานสมรสพระราชทานให้เป็นพระชายาของท่านอ๋องซิว กระหม่อมไม่รู้ว่าบนตัวของชิงเอ๋อร์มีไฝสีแดงหรือไม่ แต่ก็ไม่คิดจะให้ใครมาเหยียบย่ำศักดิ์ศรีของอาณาจักรเทียนอวี่ด้วยการใช้เหตุผลไร้สาระตรวจสอบร่างกายของชิงเอ๋อร์”
ท่าทางของเขาแม้ว่าจะดูสบาย ๆ ทว่าคำพูดประโยคสุดท้ายนั้นเปลี่ยนเป็นการข่มขู่อย่างชัดเจน ทำให้ทุกคนที่อยู่ที่นี่ต่างตกใจกลัว
แม้แต่ซ่างกวนจิ่นและฉีหานเว่ยก็แอบตกใจ องค์ชายรองผู้นี้หาได้มีความอ่อนโยนอย่างที่เห็นจากภายนอกไม่
ฮ่องเต้ถึงกับชะงักงัน องค์ชายรองพูดขนาดนี้แล้ว พระองค์ย่อมมิอาจสั่งให้คนลงมือได้อีก
แต่ไม่ว่าอย่างไร ก็เป็นเรื่องยากเกินกว่าจะจินตนาการได้ว่าหมอปีศาจที่มีความลึกลับมาโดยตลอดคือองค์หญิงเทียนฝูที่ใช้ข้ออ้างว่าป่วยเพื่อไม่เปิดเผยตัวตน มิน่าล่ะ…ซิวเอ๋อร์จึงได้เห็นด้วยกับการแต่งงานนี้
ไม่เพียงแค่ฮ่องเต้ที่ตระหนักได้ แม้กระทั่งหลีจื่อฟานก็ชะงักไปเช่นกัน มือทั้งสองข้างกำเข้าหากันอยู่นานก็ยังไม่ได้สติกลับมา ในที่สุดเขาก็เข้าใจแล้วว่าเหตุใดตอนที่ชิงลั่วรู้ว่าท่านอ๋องซิวจะแต่งงานกับสตรีนางอื่น นางกลับไม่เคยรักษาระยะห่างจากเขา แรกเริ่มเขาคิดว่าเป็นเพราะการมีอยู่ของหนานหนาน จึงทำให้นางมิอาจหลุดพ้นจากเขาได้
ทว่าตอนนี้เขาพอจะเข้าใจแล้ว นับตั้งแต่แรกเริ่มจนถึงท้ายที่สุด สตรีที่เย่ซิวตู๋ต้องการแต่งงานด้วยคือชิงลั่วเท่านั้น แม้ว่าเขาจะไม่เข้าใจว่าเพราะเหตุใดชิงลั่วจึงได้มีความสัมพันธ์กับอาณาจักรเทียนอวี่ก็ตาม
หลีจื่อฟานรู้สึกได้ว่าหัวใจกำลังบีบรัด ความรู้สึกซับซ้อนและน่าอึดอัดใจทำให้เขารู้สึกแสบร้อนที่ขอบตาอย่างห้ามไม่อยู่ เพียงแต่…เพียงแค่นางมีความสุขก็ดีแล้ว แค่ไม่ต้องแบกรับความอยุติธรรมก็ดีแล้ว อย่างน้อย ๆ ท่านอ๋องซิวก็ปฏิบัติกับนางเป็นอย่างดี เขาสามารถปกป้องและดูแลนางได้
ตอนนี้นางมีสถานะ มีตำแหน่ง มีสามี มีบุตร และมีความรัก อีกทั้งสิ่งเหล่านี้ก็เป็นสิ่งที่เมื่อหกปีก่อนเขามิอาจให้นางได้ ในเมื่อพลาดไปแล้ว เช่นนั้นเขาก็…ขอให้นางโชคดีก็แล้วกัน
หลีจื่อฟานสูดหายใจเข้าลึก มองอวี้ชิงลั่วด้วยสายตาที่อ่อนโยนลงเรื่อย ๆ
ในขณะที่ใบหน้าของอวี๋จั้วหลินกลับเต็มไปด้วยความรู้สึกไม่อยากเชื่อในสิ่งที่เกิดขึ้น เขามองอวี้ชิงลั่วพลางสูดลมเย็นเข้าปอด “ไม่จริง จะเป็นเช่นนี้ได้อย่างไร? เจ้าคือองค์หญิง?”
ฮูหยินใหญ่ตระกูลอวี๋ถึงกับเข่าอ่อนนั่งลงบนพื้นตามไปด้วย เดิมทีนางยังอยากกราบทูลกับฮ่องเต้ว่าอวี้ชิงลั่วสวมรอยเป็นองค์หญิงจากราชวงศ์เพื่อหลอกตนเอง คิดไม่ถึงเลยว่านางคือ…องค์หญิงจริง ๆ
อวี้ชิงลั่วหันมาแย้มยิ้ม เอียงศีรษะมองอวี๋จั้วหลินเล็กน้อย กล่าวด้วยน้ำเสียงสดใส “ใต้เท้าอวี๋ ข้าคือองค์หญิงหรือไม่ พี่รองก็ช่วยยืนยันตัวตนให้ข้าแล้ว หรือว่าองค์ชายรองของอาณาจักรเทียนอวี่ก็ใช้วิธีเช่นนี้เพื่อหลอกเจ้าเช่นกัน?”
“แต่…แต่เจ้า…เจ้าคืออวี้ชิงลั่วชัด ๆ” อวี๋จั้วหลินถอยหลังไปหนึ่งก้าวโดยไม่รู้ตัว
“อ่อ ข้ายังมีอีกชื่อหนึ่ง ข้าชื่ออวี้ชิงลั่วจริง ๆ นั่นแหละ”
“เหอะ…ฝ่าบาท นางยอมรับแล้ว นางก็คือ…”
“ภายในใจของใต้เท้าอวี๋ สตรีที่มีรูปร่างหน้าตาเช่นนี้ และมีนามว่าอวี้ชิงลั่ว ล้วนแต่เป็นภรรยาเมื่อหกปีของเจ้าทุกคนเลยรึ?” ในที่สุดเย่ซิวตู๋ที่ไม่ปริปากพูดอะไรตั้งแต่ต้นก็ลุกขึ้นจากที่นั่งอย่างช้า ๆ ก้าวเท้าเดินมายืนข้าง ๆ อวี้ชิงลั่วอย่างใจเย็น
อวี๋จั้วหลินชะงักไปครู่หนึ่งก็พบว่าเย่ซิวตู๋แย้มยิ้มออกมา “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เราก็จะเล่าให้เจ้าฟัง ว่าเพราะเหตุใดองค์หญิงเทียนฝูแห่งอาณาจักรเทียนอวี่ถึงได้ชื่ออวี้ชิงลั่ว” ครั้นกล่าวจบ เขาก็ยกมือกวักไปที่มุมประตู “เป่าเอ๋อร์มานี่”
สิ้นเสียงของเขา ร่างเล็ก ๆ ก็เดินออกมาจากด้านหลังเย่ฮ่าวหราน ท่าทางของเขาดูสุภาพเรียบร้อย มีกิริยามารยาท หลังจากเดินมาถึงกลางท้องพระโรง เขาจึงคุกเข่าลงด้วยความเคารพนอบน้อม โขกศีรษะลงบนพื้นให้กับฮ่องเต้ที่ประทับอยู่บนพระที่นั่งประธาน
“กระหม่อมอวี้เป่าเอ๋อร์ ถวายบังคมฝ่าบาท” อวี้เป่าเอ๋อร์อยากดูการแข่งขันของหนานหนานและเย่หลานเฉิง ด้วยเหตุนี้วันนี้จึงอยู่บนอัฒจันทร์ด้วย เพียงแต่นั่งดูจากไกล ๆ พยายามขดตัวให้เล็กที่สุด มีคนจำนวนมากไม่ทันสังเกตเห็นว่าเขาเป็นบุตรของใคร
อวี้เป่าเอ๋อร์? ฮ่องเต้ขมวดพระขนงเล็กน้อย…ชื่อนี้…คุณชายน้อยของจวนอวี้เจี้ยนต๋าที่ฉีหานเว่ยกล่าวถึงเมื่อครู่มิใช่รึ?
เด็กคนนี้…ดูไม่ออกแม้แต่น้อยเลยว่าป่วยเป็นโรคสติฟั่นเฟือน อีกอย่างการเคลื่อนไหวและการพูดการจาคล่องแคล่วเช่นนี้ วางตัวได้เหมาะสมยิ่งกว่าอวี้เจี้ยนต๋าเสียอีก
“ลุกขึ้นมาพูดเถิด” ฮ่องเต้เหลือบสายพระเนตรมองเย่ซิวตู๋ปราดหนึ่ง คิด ๆ ดูแล้ว ซิวเอ๋อร์คงเป็นคนพาเด็กคนนี้มากระมัง
เรื่องในวันนี้ เหตุใดพระองค์ถึงได้รู้สึกว่าทุกอย่างอยู่ในกำมือของซิวเอ๋อร์ทั้งหมดเล่า?
อวี้เป่าเอ๋อร์ทำความเคารพอีกหน จากนั้นจึงยืดตัวตรงและเดินมายืนข้างกายอวี้ชิงลั่ว
……………………………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
เริ่มมหกรรมการแกงกระจั๊วหม้อใหญ่ ๆ แล้วสินะ คราวนี้องค์ชายรองออกปากเองเลย
ไหหม่า(海馬)