อลวนรักหมอหญิงชิงลั่ว - ตอนที่ 398 แม่นมผู้เลี้ยงดู
ตอนที่ 398 แม่นมผู้เลี้ยงดู
ตอนที่ 398 แม่นมผู้เลี้ยงดู
ทุกคนถึงกับชะงักงัน เมื่อพบว่ามีคนสองคนกำลังเดินเข้ามาจากด้านนอกอย่างเนิบช้า พวกนางล้วนเป็นสุภาพสตรีทั้งคู่
หนึ่งในนั้นอายุราว ๆ 15-16 ปี มุมปากเจือรอยยิ้ม มีลักยิ้มสองข้าง ทำให้ดูสดชื่นมีชีวิตชีวาอย่างมาก
ส่วนอีกคนอายุมากแล้ว ท่าทางดูสง่างามและเคร่งขรึม มุมปากเม้มแน่น การย่างก้าวหนักแน่นมั่นคง และนางคือคนที่ส่งเสียงพูดขึ้นเมื่อครู่
ทั้งสองเดินเข้ามาด้านในท้องพระโรง ทำความเคารพอย่างมีมารยาทตามมาตรฐานของราชสำนัก
“หม่อมฉันถวายบังคมฝ่าบาท คารวะท่านผู้สูงศักดิ์ทุกท่าน”
“พวกนางคือ…” ฮ่องเต้ขมวดพระขนง จากนั้นจึงทอดพระเนตรไปทางองค์ชายรองที่อยู่ข้าง ๆ จู่ ๆ ภายในท้องพระโรงก็มีคนสองคนเดินเข้ามาอย่างน่าประหลาด ฮ่องเต้ย่อมรู้สึกไม่ดีนัก ทว่าเมื่อได้เห็นอาภรณ์ที่พวกนางสวมใส่อย่างชัดเจน จึงทำได้เพียงแค่ข่มความไม่พอพระทัยลงไป สายพระเนตรทอดไปยังองค์ชายรองด้วยความฉงน
องค์ชายรองแย้มยิ้ม ชี้ไปยังแม่นมสูงวัยพลางกล่าวว่า “ทั้งสองท่านนี้คือแม่นมผู้เลี้ยงดู และนางข้าหลวงผู้ปรนนิบัติองค์หญิงเทียนฝูขณะอยู่ในจวนองค์หญิงแห่งอาณาจักรเทียนอวี่ ครั้งนี้ชิงเอ๋อร์เดินทางมาที่อาณาจักรเฟิงชางก่อน ข้างกายของนางไร้ซึ่งคนรับใช้คอยดูแล กระหม่อมจึงส่งตัวนางทั้งสองมาที่นี่โดยเฉพาะ”
“หม่อมฉันคือแม่นมผู้เลี้ยงดูองค์หญิงเพคะ หม่อมฉันเป็นกังวลเกี่ยวกับพฤติกรรมขององค์หญิงอย่างมาก เมื่อครู่เป็นเพราะร้อนใจจึงส่งเสียงออกมาอย่างกะทันหัน พุ่งตัวเข้ามาอย่างไร้มารยาท โปรดยกโทษให้หม่อมฉันด้วยเพคะ”
ฮ่องเต้โบกพระหัตถ์ “ไม่เป็นไร”
แม่นมผู้นั้นจึงหันกลับมา ทำความเคารพอวี้ชิงลั่วด้วยสีหน้าดุดัน “คารวะองค์หญิง”
อวี้ชิงลั่วถึงกับมุมปากกระตุกอย่างแรง ถอยหลังไปหนึ่งก้าวเล็ก ๆ อย่างไม่อาจห้ามได้ ก่อนจะยิ้มเจื่อนแล้วกล่าวว่า “แม่นมไม่ต้องมากพิธี”
เย่ซิวตู๋มองอวี้ชิงลั่วด้วยความประหลาดใจ สตรีผู้นี้ไม่เคยกลัวสิ่งใดในใต้หล้า เหตุใดในเวลานี้กลับทำท่าทางราวกับหวาดกลัวที่ได้เจอแม่นมผู้เลี้ยงดู? การเยื้องกรายดูคล้ายกับอยากจะหนีเตลิดไปให้ไกล
“เมื่อครู่องค์หญิงอยากลงมือเพื่อสั่งสอนคนชั่วหรือเพคะ?”
อวี้ชิงลั่วถอยหลังก้าวเล็ก ๆ โดยไม่ส่อพิรุธอีกครั้ง นางได้ยินเสียงระเบิดหัวร่อขององค์ชายรองจากด้านหลัง จึงหันขวับไปถลึงตาใส่เขาแรง ๆ ปราดหนึ่ง
ทว่ายังไม่ทันได้ดึงสายตากลับมา เสียงของแม่นมกลับดังขึ้นอีกหน “องค์หญิงยังไม่ตอบคำถามของหม่อมฉัน อีกอย่าง องค์หญิงก็กลอกตาใส่องค์ชายรองไม่ได้ นั่นเป็นการกระทำที่ไม่สง่างามเอาเสียเลย”
อวี้ชิงลั่วแทบอยากจะร่ำไห้แล้ว ไอ้สารเลวถังป๋ายชือผู้นี้ เขาจงใจพาแม่นมเซียวมาที่นี่เพื่อทรมานนางสินะ?
หลังจากปรับสีหน้า อวี้ชิงลั่วก็ตอบกลับอย่างจริงจังว่า “ใช่ เมื่อครู่ข้าคิดจะลงมือเพื่อสั่งสอนคนชั่ว”
“เหอะ องค์หญิงมีร่างกายล้ำค่าดั่งทองพันชั่ง เรื่องหยาบคายเช่นนี้ ต้องให้ถึงมือองค์หญิงจัดการด้วยตนเองเชียวหรือเพคะ?” แม่นมเซียวแค่นเสียงเย็น สีหน้ายังคงดูดุดัน
อวี้ชิงลั่วถึงกับคิ้วกระตุก “เช่นนั้นแม่นมคิดว่าควรให้ใครทำ?”
“หม่อมฉันเป็นคนขององค์หญิง ย่อมต้องให้หม่อมฉันออกแรงแทนองค์หญิงสิเพคะ”
เดิมทีสองแม่ลูกเฉินจีซินต่างก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก แต่เมื่อได้ยินคำพูดนี้ พวกนางถึงกับร่างสั่นสะท้านไปทั้งตัว พวกนางคิดว่า…คิดว่าแม่นมที่มีสีหน้าไม่เป็นมิตรผู้นี้จะคัดค้านอวี้ชิงลั่ว จึงได้ส่งเสียงห้ามปรามนางอย่างฉับพลันในเวลาเช่นนี้
คิดไม่ถึงเลย…
“เพียะ”
ตอนที่ยังไม่มีใครได้ทันตั้งตัว แม่นมเซียวก็ง้างฝ่ามือขึ้นและตบเฉินจีซินอย่างคล่องแคล่วในทันที
แม่นมเซียวเป็นแม่นมเฒ่าภายในวัง นางข้าหลวงที่ถูกฝ่ามือของนางสั่งสอนและลงโทษมีไม่รู้กี่มากน้อย การตบคนด้วยฝ่ามือ…เป็นเรื่องที่นางมีประสบการณ์ช่ำชองมากที่สุดแล้ว นางรู้ดีกว่าใคร ๆ ว่าลงฝ่ามือในองศาและตำแหน่งใดที่จะทำให้อีกฝ่ายรู้สึกเจ็บที่สุด
เฉินจีซินถึงกับหน้าหันเพียงเพราะโดนตบฝ่ามือเดียว มุมปากของนางมีเลือดซึมออกมา
ท่าทางนั้น แค่อวี้ชิงลั่วได้เห็นก็รู้สึกว่า…เจ็บจริง ๆ
อวี้ชิงโหรวส่งเสียงร้องด้วยความตกใจ นางถลาเข้าไปหาเฉินจีซิน “ท่านแม่…ท่านแม่…ท่านเป็นเช่นไรบ้าง?”
“ซี๊ด…” เฉินจีซินน้ำตาแทบไหลออกมา หญิงเฒ่าใจเหี้ยมผู้นี้ คิดไม่ถึงเลยว่าจะลงไม้ลงมือหนักขนาดนี้ เอาสิ รอให้มีโอกาสก่อน นางต้อง…
“เพียะ” เสียงฝ่ามือดังฟังชัดขึ้นอีกครั้ง ความคิดที่อยู่ในสมองของเฉินจีซินยังไม่ทันสิ้นสุด ใบหน้าทางขวาก็ถูกฝ่ามือประทับลงอย่างแรงอีกครั้ง
แม่นมเซียวมองนางจากมุมสูง ก่อนจะยิ้มเยาะแล้วกล่าวว่า “ฮูหยินอวี้ สายตาเช่นนี้ของท่านหมายความว่าอย่างไร? หรือจนถึงตอนนี้ท่านยังไม่สำนึก? ท่านถลึงตามองบ่าวและองค์หญิงด้วยสายตาเคียดแค้นเช่นนี้ คิดว่าฮ่องเต้และองค์ชายรองของบ่าวไม่ยุติธรรม จึงอยากแก้แค้นใช่หรือไม่?”
อวี้ชิงลั่วมุมปากกระตุกเล็กน้อย แม่นมเซียว อีกฝ่ายแค่ถลึงตามองท่านเพียงคนเดียว เหตุใดถึงได้ดึงนางเข้าไปหนุนหลังด้วย?
เฉินจีซินถึงกับตกใจ เมื่อเทียบกับนางข้าหลวงชราอย่างแม่นมเซียวแล้ว เฉินจีซินคือศัตรูของนางเสียที่ไหนกัน นางจึงรีบเก็บสายตา แม้แต่ความคิดชั่วร้ายเหล่านั้นที่อยู่ในใจก็ไม่กล้าผุดขึ้นมาอีกแล้ว
แม่นมเซียวแค่นเสียงยิ้มเยาะ ยกฝ่ามือขึ้นมาตบหน้าเฉินจีซินอย่างต่อเนื่องอีกสองครั้ง
แม่นมเซียวมิได้ออมมือแม้แต่น้อย เสียงฝ่ามือดัง ‘เพียะ ๆ’ กึกก้องทั่วท้องพระโรง เสียงดังฟังชัดยิ่งนัก
เพียงแต่ ทุกคนกลับไม่มีใครกล้าส่งเสียงพูด ฮ่องเต้หรี่พระเนตรลงเล็กน้อย คิดเสียว่าพระเนตรไม่เห็นก็นับว่าสะอาด ไทเฮา ฮองเฮา และเหมิงกุ้ยเฟยนั่งดูด้วยสายตาเย็นเยือก การลงโทษระดับนี้ พวกนางกลับมิได้รู้สึกว่าเป็นเรื่องรุนแรงอะไร
ซ่างกวนจิ่นและฉีหานเว่ยยกแก้วน้ำชาขึ้นมาพลางส่งสัญญาณให้กัน ก่อนจะจิบน้ำคนละคำ
คนส่วนหนึ่งถึงกับเบือนหน้าหนีเพราะทนดูไม่ไหว อีกส่วนหนึ่งแสดงท่าทางไม่แยแสราวกับกำลังดูเรื่องขบขันเรื่องหนึ่ง
ตั้งแต่ต้นจนจบ ไม่มีใครเปล่งเสียงพูดแม้แต่คนเดียว
ใบหน้ารูปไข่ของเฉินจีซินบวมแดงขึ้นมาอย่างรวดเร็ว เลือดที่มุมปากเริ่มจะควบคุมไม่อยู่แล้ว แม้แต่สมองก็เริ่มจะมึนงงเช่นกัน
อวี้ชิงโหรวไม่เคยเห็นนางอยู่ในสภาพเช่นนี้มาก่อน สายตาแฝงความตื่นตระหนกตกตะลึง ครั้นนึกขึ้นได้ว่าคนที่จะถูกตบเป็นรายต่อไปคือตนเอง ร่างกายของนางก็เริ่มสั่นสะท้าน
นางถึงกับขาดสติไปชั่วขณะหนึ่ง รีบจับมือบิดาของตนเองที่อยู่ข้าง ๆ และร้องไห้ออกมาโดยไม่เปล่งเสียง
หัวใจของอวี้เจี้ยนต๋าก็หมดหวังเช่นกัน การเผชิญหน้ากับสายตาอ้อนวอนอย่างใจจดใจจ่อของบุตรีทำให้เขารู้สึกปวดใจ เขาขบฟันแน่นพลางหันหน้าไปกระซิบอ้อนวอนอวี้ชิงลั่ว “ชิงลั่ว ถือว่าพ่อขอร้องนะ ถึงอย่างไรนางก็เป็นแม่ของเจ้า เจ้าทำเช่นนี้นับว่าไร้คุณธรรม ไร้ซึ่งความกตัญญู ต้อง…”
“ใต้เท้าอวี้ ใครให้สิทธิ์ท่านเอ่ยปากพูดเช่นนี้กับองค์หญิงของเรา? สถานะขององค์หญิงสูงส่งเกินกว่าหาสิ่งใดทัดเทียม นางมีพ่อแม่อยู่ที่นี่ตั้งแต่เมื่อใดกัน?” แม่นมเซียวยังคงตบตีเฉินจีซิน ทว่าคนที่พูดในเวลานี้กลับเป็นนางข้าหลวงน้อยวัยละอ่อนที่ยืนอยู่ข้างแม่นม
นางข้าหลวงน้อยยังคงยิ้มตาหยี ทว่าน้ำเสียงเด็ดขาดนั้นกลับทำให้อวี้เจี้ยนต๋าตัวสั่นเทา เขามองไปยังนางข้าหลวงน้อยผู้นั้นปราดหนึ่ง และในที่สุดก็เม้มปากไม่ส่งเสียงพูดอีก
ทว่าดวงตาคู่นั้นกลับมองไปที่อวี้เป่าเอ๋อร์อย่างมีความหวัง ขอร้องอวี้ชิงลั่วคงไม่ได้ จึงทำได้เพียงแค่ฝากความหวังไว้กับอวี้เป่าเอ๋อร์ที่เป็นคนใจอ่อนมาโดยตลอด
ถึงกระนั้น ตอนที่สายตาของเขาเพิ่งเคลื่อนย้าย กลับพบว่ามีเงาหนึ่งขวางขึ้นตรงหน้าอย่างฉับพลัน
ครั้นเงยหน้าขึ้น จึงพบกับสายตากึ่งยิ้มกึ่งบึ้งตึงของอวี้ชิงลั่ว
อวี้ชิงลั่วหันกลับมา ลูบศีรษะอวี้เป่าเอ๋อร์ที่ทำท่าทางอึก ๆ อัก ๆ พลางกระซิบเสียงเบาว่า “เป่าเอ๋อร์คนเก่ง ไปยืนข้าง ๆ เจ้าไม่เหมาะจะดูฉากนี้”
…………………………………………………………………………………………………………………………
สารจากผู้แปล
เจอของจริงแล้วนังเฉิน เดี๋ยวนังโหรวก็จะโดนเป็นคนต่อไป เตรียมใจให้ดีล่ะ
ไหหม่า(海馬)