อลวนรักหมอหญิงชิงลั่ว - ตอนที่ 406 โทษตายละเว้นได้ แต่โทษเป็นยากเกินละเว้น
ตอนที่ 406 โทษตายละเว้นได้ แต่โทษเป็นยากเกินละเว้น
ตอนที่ 406 โทษตายละเว้นได้ แต่โทษเป็นยากเกินละเว้น
ไทเฮาทอดพระเนตรมองหนานหนานด้วยความรู้สึกสงสาร ก่อนจะมองไปทางอวี้ชิงลั่วอีกครั้ง
สายพระเนตรแห่งความเมตตาและความอ่อนโยนที่ทอดมองมาทางนี้ทำให้อวี้ชิงลั่วถึงกับรู้สึกขนพองสยองเกล้า จากนั้นนางก็ได้ยินเสียงของไทเฮาดังลอยเข้ามาข้างหู “ฮ่องเต้ กว่าซิวเอ๋อร์และแม่นางชิงจะเดินอยู่บนเส้นทางนี้ได้ช่างมีอุปสรรคยุ่งยากนัก ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย ทั้งคู่ต่างก็รักกัน ตอนนี้นับว่าทุกคนมีความสุขกันถ้วนหน้า ในเมื่อฮ่องเต้ก็ส่งราชโองการลงไปแล้ว แม่นางชิงก็เป็นองค์หญิงเทียนฝูของอาณาจักรเทียนอวี่ ตำแหน่งสถานะของนางเรียกได้ว่าสวรรค์ส่งมาให้เป็นคู่กับซิวเอ๋อร์ของเรา เลือกฤกษ์งามยามดีให้พวกเขาทั้งคู่แต่งงานโดยเร็วเถิด”
“หมู่เฮาพูดถูก เรื่องเลือกวันให้เป็นหน้าที่ของหมู่เฮาและกุ้ยเฟยก็แล้วกัน งานแต่งนี้ มิอาจทำอย่างขอไปทีได้”
ไทเฮาชะงัก ทอดพระเนตรไปทางเหมิงกุ้ยเฟยปราดหนึ่ง ภายในพระทัยแอบรู้สึกไม่พอพระทัยเท่าไรนัก ทว่าฮ่องเต้ตรัสไว้ถูกต้องแล้ว ถึงอย่างไรเหมิงกุ้ยเฟยก็เป็นหมู่เฟยของเย่ซิวตู๋ ตอนนี้นางเป็นผู้ดูแลภายในวัง จึงมิอาจกระทำโดยไม่ผ่านมือนางได้
หลังจากลังเลอยู่ครู่หนึ่ง นางจึงทำได้เพียงพยักพระพักตร์ตอบ
ส่วนเหมิงกุ้ยเฟย จวบจนตอนนี้นางยังคงมิได้สติกลับมา มือสองข้างที่ซ่อนอยู่ใต้แขนเสื้ออันกว้างใหญ่จิกพนักวางแขนของเก้าอี้ทั้งสองฝั่ง ร่างกายของนางเกร็งอย่างหนัก เจออุปสรรคความยุ่งยากมาตลอดทาง? เหอะ อุปสรรคความยุ่งยากจะทำให้เจอกับความสำเร็จได้หรือ? นางและคนคนนั้นก็มีอุปสรรคและความยุ่งยากเช่นกัน ทว่าจวบจนบัดนี้ กลับต้องแยกจากกันและมิได้พบหน้ากันอีก ในเมื่อฮ่องเต้มีพระเมตตาขนาดนี้ เหตุใดในตอนนั้นถึงมิให้นางและคนคนนั้นได้สมปรารถนา?
ประเสริฐมาก แต่งงานกระนั้นรึ นางเองก็อยากเห็นเช่นกันว่าพวกเขาจะแต่งงานกันได้อย่างไร
ฮ่องเต้มิได้สังเกตสีหน้าเงียบขรึมของนางที่กำลังบิดเบี้ยวเพราะความคิด พระองค์เพียงแค่คิดว่าความสัมพันธ์ระหว่างเหมิงกุ้ยเฟยและไทเฮาค่อนข้างตึงเครียด คราวนี้เป็นเรื่องยากยิ่งที่ไทเฮาผู้แสดงท่าทีเมินเฉยต่อซิวเอ๋อร์มาโดยตลอดจะโปรดปรานหนานหนาน ทั้งยังออกตัวช่วยซิวเอ๋อร์ เช่นนั้นก็เป็นช่วงเวลาที่ดีที่จะแก้ไขความสัมพันธ์ระหว่างไทเฮาและเหมิงกุ้ยเฟยให้ดีขึ้น
“เหอะ แต่งงาน?” ฮ่องเต้มิได้ยินคำตอบของเหมิงกุ้ยเฟย ตอนที่กำลังจะตรัสถามความเห็นจากนาง ข้างพระกรรณกลับมีเสียงแค่นเสียงหัวเราะดังขึ้นหนึ่งเสียง
ฮ่องเต้หันกลับไปทอดพระเนตรด้วยความประหลาดพระทัย ก็พบว่าซ่างกวนจิ่นกำลังแสดงสีหน้าเย็นยะเยือก ทั้งยังจ้องมองคนเหล่านั้นที่อยู่กลางท้องพระโรงด้วยสายตากดดันที่มิอาจบรรยายออกมาได้
“อุปราชคิดว่ามีตรงไหนไม่เหมาะสมหรือ?” เย่ซิวตู๋เลิกคิ้ว ภายในใจกลับรู้สึกได้ถึงความไม่ชอบมาพากลที่ชัดเจนมากขึ้นเรื่อย ๆ
ซ่างกวนจิ่นผู้นี้ ความคิดมิใช่ง่าย ๆ เลย
ซ่างกวนจิ่นมองเขาด้วยสายตาดูหมิ่นปราดหนึ่ง ก่อนหันกลับไปหาฮ่องเต้ “ฝ่าบาท ตอนนี้เป็นช่วงเวลาตึงเครียดที่สุดในการแข่งขันสี่อาณาจักรใหญ่ ท่านอ๋องซิวคิดจะจัดเตรียมงานแต่งในช่วงเวลานี้ มิเท่ากับไม่เห็นความสำคัญของการแข่งขันใหญ่สี่อาณาจักรไปหน่อยหรือ? นี่กำลังดูหมิ่นสามอาณาจักรอื่นของพวกเราอยู่รึ?”
ฮ่องเต้ขมวดพระขนงมุ่น ซ่างกวนจิ่นผู้นี้ชอบสร้างปัญหาเสียจริง
“อุปราชกล่าวจริงจังแล้ว งานแต่งของซิวเอ๋อร์ย่อมมิได้จัดในตอนนี้ รอหลังจากการแข่งขันใหญ่สี่อาณาจักรสิ้นสุดลง ถึงจัดเตรียมงานอภิเษกสมรส เมื่อถึงเวลานั้น หากอุปราชมีเวลาว่างก็เชิญอยู่ร่วมดื่มสุรามงคลด้วยกัน”
ซ่างกวนจิ่นหัวเราะหนึ่งเสียง “อ๋อ รอให้จบการแข่งขันใหญ่สี่อาณาจักรก่อนจึงจะจัดสินะ เช่นนั้นเราก็ไม่มีปัญหาอะไรแล้ว”
การแข่งขันใหญ่สี่อาณาจักรยังเหลือเวลาอีกช่วงหนึ่ง จากนั้นค่อยตระเตรียมการอภิเษกสมรส อย่างน้อย ๆ ก็ต้องรออีกสามถึงสี่เดือน
ฮ่องเต้ขมวดพระขนง คนคนนี้คิดอะไรอยู่ในใจกันแน่?
เหมิงกุ้ยเฟยที่ได้สติกลับมามองซ่างกวนจิ่นปราดหนึ่งอย่างรอบคอบ ดวงตาหรี่ลงเล็กน้อย จึงนั้นจึงนั่งยืดตัวตรงด้วยท่าทางไม่แยแสและสง่างาม
วันนี้ฮ่องเต้ค่อนข้างเหนื่อยแล้วจริง ๆ ช่วงเช้าสถานะของหนานหนานถูกเปิดเผย ช่วงบ่ายสถานะของแม่นางชิงก็ถูกเปิดเผยอีกคน ภายในท้องพระโรงแต่ละคนต่างก็เป็นพวกเรื่องมาก ตอนนี้เรื่องใหญ่ก็ได้ผ่านพ้นไปแล้ว
“ขุนนางทุกท่านมีความเห็นต่างเกี่ยวกับการอภิเษกสมรสครานี้หรือไม่?” ถึงอย่างไรการพูดเรื่องที่น่าตกตะลึงเหล่านั้นต่อหน้าทุกคน หากเป็นคนหัวโบราณสักหน่อย ก็เกรงว่าคงคิดว่าอวี้ชิงลั่วศีลธรรมเสื่อมเสีย
และเป็นเช่นนั้นจริง ๆ ครั้นฮ่องเต้ตรัสออกมาเช่นนี้ ก็มีคนคนหนึ่งก้าวเท้ามาด้านหน้าหนึ่งก้าวในทันที เพ็ดทูลว่า “ฝ่าบาท ถึงอย่างไรแม่นางชิงก็ตั้งครรภ์ก่อนแต่ง หากนางกลายเป็นพระชายาของท่านอ๋องซิว เกรงว่าอาจถูกผู้คนประณามได้ กระหม่อมคิดว่า…”
“ท้องก่อนแต่งแล้วจะทำไม?” ฉีหานเว่ยมองขุนนางผู้นั้นปราดหนึ่ง ยิ้มเยาะขึ้น “คำพูดเหล่านั้นของหนานหนานเมื่อครู่นี้ หรือว่าใต้เท้าท่านนี้มิได้รู้สึกสักกระผีกเดียว? หรือใต้เท้าคิดว่าตอนนั้นแม่นางชิงไม่ควรใช้ความบริสุทธิ์ของตนเองเพื่อช่วยชีวิตท่านอ๋องซิวไว้ ไม่ควรเสี่ยงอันตรายเพื่อให้กำเนิดพระนัดดาของราชวงศ์? สตรีเช่นนี้ ใต้เท้ายังคิดอยากมอบความอยุติธรรมให้นางอีกหรือ? เราคิดว่าแม่นางชิงเป็นสตรีที่ยอดเยี่ยมคนหนึ่ง หากอาณาจักรเฟิงชางทำให้แม่นางชิงได้รับความอยุติธรรม เราจะให้นางเป็นไท่จื่อเฟยของเรา”
ขุนนางที่กำลังจะเอ่ยปากพูดคนนั้นถึงกับสูดลมเย็นเข้าปอด มองฉีหานเว่ยราวกับไม่อยากเชื่อในสิ่งที่ได้ยิน
รัชทายาทของอาณาจักรหลิวอวิ๋นผู้นี้มีความอ่อนโยนมาโดยตลอด ทว่ากลับมีความกล้าโดยไม่ยึดตามเหตุผลเช่นนี้ ไม่รังเกียจที่ไท่จื่อเฟยของตนเองเป็นผู้มีมลทินมัวหมองบนเรือนกาย?
ซ่างกวนจิ่นก็ไม่ยอมน้อยหน้า “นั่นสิ หากแม่นางชิงรู้สึกอึดอัดคับข้องใจ อาณาจักรจิงเหลยยินดีต้อนรับแม่นางชิงทุกเมื่อ”
กลางท้องพระโรงเกิดเสียงสูดลมเย็นบ่อยครั้ง อาณาจักรหลิวอวิ๋นและอาณาจักรจิงเหลยล้วนสนับสนุนแม่นางชิง
แม้ว่าภายในพระทัยของฮ่องเต้จะรู้สึกอึดอัด ทว่าเป็นเพราะเสียงสนับสนุนของทั้งสองคนนี้ ทำให้ขุนนาง นางสนมและอิสตรีที่จากเดิมคิดแสดงความเห็นต่างเหล่านั้น ต่างพากันปิดปากเงียบสนิทแต่โดยดี
อวี้ชิงลั่วถอนสายบัวเพื่อเป็นการขอบคุณพวกเขาทั้งสอง กล่าวว่า “ขอบพระทัยต่อความหวังดีของอุปราชและรัชทายาทเพคะ หม่อมฉันเชื่อว่าท่านอ๋องซิวจะไม่ทำให้หม่อมฉันรู้สึกว่าตนเองมิได้รับความชอบธรรม”
เย่ซิวตู๋แย้มยิ้ม สุดท้ายก็ทนไม่ไหว ยื่นมือออกไปกุมมือนางอย่างเนิบช้าต่อหน้าธารกำนัล กล่าวเสียงเบาว่า “ย่อมเป็นเช่นนั้น ชายาของเรามีแต่เจ้าเพียงคนเดียว และจะมีแค่เจ้าตลอดไป”
มีคนมองชายหญิงที่มีความเหมาะสมกันคู่นั้นด้วยความอิจฉา มีบางคนมองพวกเขาด้วยความเกลียดชัง
สายตาของอวี๋จั้วหลินจ้องมองมือของพวกเขาที่ผสานกัน นัยน์ตาคู่นั้นมีพายุพัดผ่านในบัดดล เขาทั้งรู้สึกอิจฉาและโกรธ ก้าวเท้าจะพุ่งตัวไปด้านหน้า
ใครจะไปครู่ จู่ ๆ ก็มีแรงดึงบริเวณสาบเสื้อ เขาหลุบตามองก็พบว่าฮูหยินใหญ่ตระกูลอวี๋ยังคงคุกเข่าอยู่บนพื้น ส่ายหน้าให้เขาด้วยท่าทีขอร้อง
อวี๋จั้วหลินขบฟันกรอด…ใช่…ตอนนี้ไม่ว่าจะพูดอย่างไร ดูเหมือนว่าคงเปล่าประโยชน์แล้ว เขามิอาจหาหลักฐานมายืนยันสถานะของอวี้ชิงลั่วได้ ยิ่งไม่มีคุณสมบัติที่จะตรวจสอบร่างกายของนาง เขาทำอะไรไม่ได้ทั้งนั้น ทำได้แค่มองนางและเย่ซิวตู๋จ้องมองกันอย่างเสน่หา
“ใต้เท้าอวี๋” จู่ ๆ ฮ่องเต้ที่ประทับอยู่ด้านบนก็ตรัสขึ้น “เรื่องในวันนี้เป็นเพราะเจ้าที่ทำให้เกิดความสับสน สถานะของแม่นางชิงได้เป็นที่ประจักษ์แก่ใต้หล้าแล้ว เจ้ายังมิทันได้ตรวจสอบให้แน่ชัดก็ดึงผ้าคลุมหน้าของนางออกโดยมิได้รับอนุญาต ทั้งยังลงมือทำต่อหน้าธารกำนัล ทำให้เกิดความวุ่นวายใหญ่โตถึงเพียงนี้ เราเห็นแก่เจ้าที่ถูกหลี่ซื่อหลอก จะไว้ชีวิตเจ้าสักครั้ง แม้จะได้รับการเว้นโทษตาย แต่โทษเป็นก็ยากเกินกว่าจะละเว้น เจ้าต้องรับโทษเฝ้าประตูเมืองเป็นเวลาหนึ่งเดือน ถูกโบยสามสิบไม้ เจ้าจะปฏิเสธหรือไม่?”
ฮูหยินใหญ่ตระกูลอวี๋ถึงกับหน้าขาวซีด ถูกโบยสามสิบไม้? ขนาดสองแม่ลูกเฉินจีซินแค่ถูกฝ่ามือตบยังอยู่ในสภาพเช่นนี้ บุตรชายของนางจะเหลือหรือ?
“กระหม่อมน้อมรับพระบัญชา ขอบพระทัยในพระมหากรุณาธิคุณพ่ะย่ะค่ะ” อวี๋จั้วหลินคุกเข่าลงบนพื้น โขกศีรษะลงต่อเบื้องพระพักตร์ฮ่องเต้แรง ๆ หนึ่งหนจนเกิดเสียง
เย่ซิวตู๋และอวี้ชิงลั่วหันสบตา ทั้งยังเลิกคิ้วขึ้นพร้อมกัน
………………………………………………………………………………………………………………………..
สารจากผู้แปล
ทำไมเหรอนังกุ้ยเฟย ที่ขัดขวางมันสารพัดอย่างนี่คิดจะหาทางให้คนรักเก่าได้มีอำนาจเป็นฮ่องเต้เหรอ
ตายแน่กระจั๊ว โบยสามสิบไม้ ขนาดนังหร่านเมียแกยังม่องไปแล้ว แกจะไหวเหรอ
ไหหม่า(海馬)