อลวนรักหมอหญิงชิงลั่ว - ตอนที่ 409 อยู่อีกที่หนึ่ง
ตอนที่ 409 อยู่อีกที่หนึ่ง
ตอนที่ 409 อยู่อีกที่หนึ่ง
ครั้นพบว่าพวกเขาเดินออกมา คนคนนั้นใบหน้าพลันปรากฏความดีใจ แต่ก็ทำท่าทางราวกับกลัวว่าจะมีคนเห็น รีบกดปีกหมวกลง เท้าที่กำลังจะก้าวมาด้านหน้าชะงักไปเล็กน้อย ก่อนจะยืนนิ่งอยู่กับที่อย่างเงียบ ๆ
องค์ชายรองเห็นเช่นนี้จึงเลิกคิ้วอย่างห้ามไม่อยู่ เขากล่าวลากับเย่ซิวตู๋ อวี้ชิงลั่วและคนอื่น ๆ เหยียบขึ้นหลังม้าที่หยุดยืนอยู่ข้าง ๆ ก่อนจะมุ่งหน้ากลับเรือนรับรองของอาณาจักรเทียนอวี่ด้วยท่าทางเกียจคร้าน
“ท่านหมอเจียง” เย่ซิวตู๋รอให้องค์ชายรองเดินทางออกไปไกลแล้ว จึงเดินเข้ามาหาคนคนนั้นที่กำลังรออยู่ ก่อนกล่าวทักทายเขา “วันนี้ขอบคุณเจ้ามาก”
“ท่านอ๋องซิวเกรงใจแล้ว กระหม่อมก็มิได้ออกแรงอะไรมากมาย เรื่องในวันนี้ กระหม่อมเพียงแต่พูดตามความจริงก็เท่านั้น เมื่อเทียบกับสิ่งที่ท่านอ๋องซิวได้ช่วยโรงหมอซิ่งเซิง เทียบไม่ได้แม้แต่ขนเส้นเดียวบนวัวเก้าตัว ทำให้กระหม่อมรู้สึกอับอายนัก”
เจียงอวิ๋นเซิงถอนหายใจ ยิ้มเจื่อนหนึ่งเสียงพลางเกาศีรษะตนเองแก้เขิน
อาจารย์ของเขา ท่านหมอเริ่นผู้เป็นอดีตหัวหน้าไท่อีเยวี่ยนถูกสังหารไปเมื่อหลายวันก่อนแล้ว ท่านหมอเริ่นเป็นอาจารย์ผู้มีพระคุณของเขา เลี้ยงดูเขาให้เติบใหญ่ประหนึ่งบิดามารดาของตนเอง ทั้งยังถ่ายทอดความสามารถของตนเองให้แก่เขา
การที่ท่านหมอเริ่นถูกสังหาร คนที่โศกเศร้า เป็นทุกข์ เกลียดจนอยากจะลากคอฆาตกรออกมารับโทษตามกฎหมายมากที่สุดก็คือเจียงอวิ๋นเซิง
เรื่องนี้ถูกรายงานไปถึงหยาเหมิน[1] แล้ว เป็นเพราะท่านหมอเริ่นมีสถานะเป็นอดีตหัวหน้าไท่อีเยวี่ยน ภายในวังย่อมต้องทราบเช่นกัน ทว่าเป็นเพราะเขามีสถานะเป็นแค่อดีตหัวหน้าไท่อีเยวี่ยน จึงมิได้มีความสูงศักดิ์และเกียรติเหมือนเมื่อก่อน ผู้ตรวจการเมืองหลวงก็ไม่ค่อยดำเนินเรื่องให้เท่าไรนัก นอกจากพูดอย่างขอไปทีเพียงไม่กี่ประโยค ก็ดูเหมือนคิดจะโยนเรื่องให้นี้กลายเป็นคดีที่ไม่มีเงื่อนงำ
ส่วนคนอื่น ๆ ที่สนิทกับท่านหมอเริ่นก็กลายเป็นเย็นชาเหินห่าง แต่ละคนต่างก็ยุ่งอยู่กับเรื่องการแข่งขันใหญ่สี่อาณาจักร แต่ละคนต่างก็คิดอยากให้ลูก ๆ ของตระกูลตนเองเปล่งประกายภายในการแข่งขันใหญ่สี่อาณาจักร ไม่มีใครสนใจเจียงอวิ๋นเซิงที่วิ่งเต้นไปทั่วเพื่อตามหาความจริง
ตอนที่เจียงอวิ๋นเซิงเกิดความสิ้นหวัง จินหลิวหลีกลับโยนร่างของฆาตกรที่มีเนื้อตัวชุ่มไปด้วยเลือดมาตรงหน้าเขา บอกเขาว่า คนที่สังหารท่านหมอเริ่นก็คือบุคคลผู้นี้
เจียงอวิ๋นเซิงจึงเข้าใจได้ว่าท่านอ๋องซิวที่ไม่แยแสและทำตัวเย่อหยิ่งมาโดยตลอด ตอนที่รู้ว่าท่านหมอเริ่นถูกสังหาร ก็ได้ส่งคนแอบตรวจสอบฆาตกรอย่างเงียบ ๆ ภายในระยะเวลาสั้น ๆ ฆาตกรก็ถูกจับตัวได้สำเร็จ เขาไม่ได้ส่งตัวให้หยาเหมิน ไม่ได้ส่งตัวให้ฝ่าบาท แต่กลับจัดการด้วยตนเอง
เพียงแต่น่าเสียดาย ฆาตกรผู้นั้นช่างเจ้าอารมณ์เสียเหลือเกิน ไม่ว่าจะใช้วิธีใดก็มิอาจง้างปากให้เขาพูดได้ ยังไม่ทันได้รู้ว่าคนที่เป็นผู้บงการอยู่ด้านหลังคือใคร เขาก็กลืนยาฆ่าตัวตายเสียแล้ว
เบาะแสถูกตัดขาดแล้ว…
ทว่าอย่างน้อย ๆ ความหวังที่รอคอยมาหลายวันก็เกิดผลเสียที การแก้แค้นให้ท่านหมอเริ่นสัมฤทธิผลไปครึ่งหนึ่งแล้ว
บุญคุณอันใหญ่หลวงเช่นนี้ อย่าว่าแต่ออกมาพูดความจริงภายในท้องพระโรงเลย ต่อให้แลกด้วยชีวิตของเขา เจียงอวิ๋นเซิ่งก็จะไม่ปริปากพูดแม้เพียงครึ่งประโยค
เย่ซิวตู๋ไม่พูดอะไรมากมาย เพียงแต่พยักหน้าตอบว่า “ไม่ว่าอย่างไร วันนี้ก็ลำบากเจ้าแล้ว ท่านหมอเจียง เช่นนั้นก็จากลากันเท่านี้”
แม้ว่าเจียงอวิ๋นเซิงจะพูดความจริง แต่การพูดเรื่องที่ตนเองรับสินบนเพื่อปกปิดโรคภัยไข้เจ็บต่อหน้าคนจำนวนมากเช่นนั้น เกรงว่าคงส่งผลกระทบต่อชื่อเสียงของเขาไม่น้อย
เจียงอวิ๋นเซิงเห็นพวกเขากำลังจะไป ก็รีบก้าวเท้ามาด้านหน้าหนึ่งก้าว อ้าปากค้างทว่ากลับพูดไม่ออก
เย่ซิวตู๋ชะงัก “ท่านหมอเจียงยังมีธุระอะไรรึ?”
“คือ…” เจียงอวิ๋นเซิงกลืนน้ำลาย ลังเลอยู่ครู่หนึ่งจึงกดเสียงให้เบาลง กล่าวว่า “ท่านอ๋องรู้เรื่องที่ ฆาตกรผู้นั้นค้นห้องอาจารย์ของกระหม่อมจนเละเทะหลังจากแฝงตัวเข้าไปสังหารอาจารย์ของข้า ราวกับกำลังหาบางสิ่งหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ?”
“อืม เราได้ยินเรื่องนี้แล้ว”
เจียงอวิ๋นเซิงกลืนน้ำลายอีกครั้ง หันมองซ้ายขวาพลางกล่าวเสียงเบาว่า “ท่านอ๋อง ท่านคือผู้มีพระคุณของกระหม่อมและอาจารย์ มีบางเรื่องที่กระหม่อมคงทำได้เพียงแค่พึ่งพาท่าน ดังนั้น กระหม่อมจึงทำได้เพียงแค่ขอร้องท่านอ๋อง ณ ที่แห่งนี้ ช่วยตามหาตัวผู้บงการตัวจริงที่อยู่เบื้องหลัง เพื่อให้อาจารย์ของกระหม่อมได้ตายตาหลับด้วยพ่ะย่ะค่ะ”
“ท่านหมอเริ่นเป็นคนอย่างไรเราย่อมรู้ดี ต่อให้เจ้าไม่พูด เราก็ต้องตามหาให้เจอ”
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เช่นนั้น…เช่นนั้นก็มีบางอย่าง ที่กระหม่อมไม่คิดจะปิดบังท่านอ๋องอีกต่อไปแล้ว” เจียงอวิ๋นเซิงกดหมวกให้ต่ำลงหลายส่วน น้ำเสียงแผ่วเบาราวกับเสียงยุง จนแทบมิได้ยินสิ่งใด
ทว่าเย่ซิวตู๋กลับดวงตาเป็นประกายสว่างวาบ เขาเก็บคำพูดของอีกฝ่ายโดยไม่ขาดตกบกพร่องแม้แต่นิดเดียว ผ่านไปครู่หนึ่ง มุมปากพลันยกขึ้นเล็กน้อย ท่าทางยังคงไม่แยแส “เราเข้าใจแล้ว ท่านหมอเจียงกลับโรงหมอซิ่งเซิงไปก่อนเถิด”
“พ่ะย่ะค่ะ” เจียงอวิ๋นเซิงสังเกตการณ์โดยรอบอย่างระมัดระวัง ก่อนจะหายเข้าไปในซอยเล็ก ๆ ที่อยู่ด้านข้างเพื่อมุ่งหน้ากลับโรงหมอ
เย่ซิวตู๋แหวกม่านรถพร้อมกับกระโดดขึ้นไปด้านบน
อวี้ชิงลั่วที่กำลังเอนตัวพักผ่อนอยู่ข้าง ๆ รู้สึกได้ถึงแรงสั่นของรถ จึงลืมตาขึ้นเล็กน้อย เอ่ยถามว่า “คุยเสร็จแล้วรึ?”
“อืม” เย่ซิวตู๋อุ้มหนานหนานไปนั่งข้างกับอวี้เป่าเอ๋อร์ที่อยู่ข้าง ๆ ส่วนตนเองขยับเข้ามานั่งใกล้ ๆ อวี้ชิงลั่ว
อวี้ชิงลั่วกลับยิ้มเย็นชาหนึ่งเสียง “คุยอะไรกันรึ?”
การแสดงออกทางสีหน้าของเย่ซิวตู๋แข็งทื่อ เขารู้สึกได้ถึงความเย็นยะเยือกเล็ก ๆ ที่ปะทุขึ้นมา จริงสิ ดูเหมือนเขาจะลืมเรื่องหนึ่งไป ลืมไปเลยว่าอวี้ชิงลั่วจะคิดบัญชีย้อนหลัง ลืมไปเลย…ว่านางส่งรอยยิ้มลึกซึ้งประเภทนี้ออกมาแล้ว
องค์ชายรองสมควรตายนั่น ชิงหลบหนีไปอย่างไร้ร่องรอยก่อนหน้านี้แล้ว
เย่ซิวตู๋กำนิ้วมือแน่น พยายามเพิกเฉยสายตามืดหม่นที่ส่งมาจากนัยน์ตาของอวี้ชิงลั่ว ทำเป็นเริ่มเบี่ยงเบนความสนใจด้วยท่าทางจริงจัง
“ท่านหมอเจียงบอกว่า หลังจากฆาตกรลงมือสังหารท่านหมอเริ่นก็ทำการรื้อค้นห้องราวกับว่ากำลังหาบางสิ่ง อีกอย่าง ภายในห้องนั้นก็ไม่มีของมีค่าอะไรเลย ของที่มีค่าและของที่ท่านหมอเริ่นตั้งใจดูแลเป็นอย่างดีถูกเก็บไว้อีกที่หนึ่ง”
อวี้ชิงลั่วชะงัก นางถูกเบี่ยงเบนความสนใจแล้วจริง ๆ
“ท่านหมายความว่า ของที่ฆาตกรผู้นั้นหรืออาจเป็นผู้ที่บงการอยู่เบื้องหลังกำลังตามหา อาจอยู่อีกที่หนึ่ง?”
“อืม” เย่ซิวตู๋แอบถอนหายใจ ยังดีที่นางค่อนข้างสนใจเรื่องนี้
อวี้ชิงลั่วหลุบตาครุ่นคิดครู่หนึ่ง “พวกเราจะไปหากันตอนไหน?” อวี้ชิงลั่วรู้สึกเคารพท่านหมอเริ่นอย่างมาก เขาคือผู้อาวุโสที่คู่ควรแก่ความรัก เป็นผู้อาวุโสที่ไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยต่อทักษะทางการแพทย์ นางเองก็อยากตามหาตัวคนร้ายที่สังหารเขาโดยเร็วเช่นกัน
เย่ซิวตู๋แย้มยิ้ม เขารู้ว่านางเริ่มอดทนรอไม่ไหวแล้ว “ตอนนี้”
ท้องฟ้าด้านนอกมืดครึ้มลงแล้ว ยามราตรีที่มีลมกระโชกแรงเหมาะแก่การทำเรื่องต่าง ๆ มาแต่ไหนแต่ไร อีกอย่างก็ต้องตีเหล็กตอนที่ยังร้อน ไม่รู้ว่าคนที่อยู่เบื้องหลังจะรู้เรื่องนี้เมื่อใด ไม่รู้ว่าจะลงมืออีกครั้งเมื่อใด พวกเขาจึงต้องเร่งทำเวลา
ครั้นคิดได้เช่นนี้ เย่ซิวตู๋จึงสั่งเสิ่นอิงที่ควบม้าบังคับทิศทางอยู่ด้านนอกด้วยเสียงทุ้มต่ำสองสามประโยค
เสิ่นอิงเข้าใจได้ จึงเปลี่ยนทิศทางรถม้า ค่อย ๆ มุ่งหน้าเข้าไปด้านในซอยข้าง ๆ ซอยนั้นเป็นเส้นทางที่ใกล้กับตำหนักอ๋องซิว ทว่าก็เป็นทิศทางเดียวกับสถานที่ที่เจียงอวิ๋นเซิงบอกด้วย
รถม้าใช้เวลาเดินทางราว ๆ หนึ่งเค่อ ก่อนจะหยุดลงด้านในลานที่เป็นเรือนธรรมดา ๆ แห่งหนึ่ง
ครั้นม่านรถถูกแหวกออก ประตูเรือนก็ถูกคนกระแทกให้เปิดออกจากด้านใน
เจียงอวิ๋นเซิงถือเชิงเทียนหนึ่งอัน ยืนรออยู่ตรงนั้นด้วยท่าทางระมัดระวัง
………………………………………………………………………………………………………………………..
[1] หยาเหมิน (衙门) ที่ว่าการท้องถิ่นว่าการโดยข้าราชการสูงสุดที่ดูแล ณ พื้นที่นั้น
สารจากผู้แปล
ยังดีที่ท่านอ๋องไหวตัวทันนะคะ ไม่งั้นกลับไปคงโดนเมียคิดบัญชียาวแน่
ปมเริ่มซับซ้อนแล้วสินะ เดาว่าตัวการคงเป็นคนใหญ่คนโตสักคนหนึ่งนี่แหละ
ไหหม่า(海馬)