อลวนรักหมอหญิงชิงลั่ว - ตอนที่ 410 ที่ตรงนี้ไม่มีเงินสามร้อยตำลึง
ตอนที่ 410 ที่ตรงนี้ไม่มีเงินสามร้อยตำลึง
ตอนที่ 410 ที่ตรงนี้ไม่มีเงินสามร้อยตำลึง
“ท่านอ๋อง แม่นางชิง เชิญทางนี้พ่ะย่ะค่ะ” เจียงอวิ๋นเซิงเชิญพวกเขาให้เดินเข้ามาด้านในลานอย่างเงียบ ๆ
หนานหนานอยู่ในอาการมึนงง เขาอยู่บนรถจึงไม่ได้ยินเสียงพูดคุยของเย่ซิวตู๋และอวี้ชิงลั่ว ในหัวของเขากำลังครุ่นคิดว่า ท้องฟ้ามืดครึ้มขนาดนี้แล้ว นี่ก็เลยเวลามื้อค่ำมานานแล้วด้วย ผลงานความดีความชอบของเขาในวันนี้ยิ่งใหญ่ขนาดนั้น ท่านพ่อกับท่านแม่ก็ควรพาตนเองไปกินอาหารมื้อใหญ่มิใช่หรือ?
ด้วยเหตุนี้ตอนที่ลงมาจากรถม้า เขาจึงดึงมืออวี้เป่าเอ๋อร์เริ่มกวาดสายตามองไปรอบ ๆ
หลังจากผ่านไปครู่หนึ่ง ก็หยุดการก้าวเท้าด้วยความผิดหวัง “ท่านแม่ ข้าหิว”
อวี้ชิงลั่วเพิ่งจะก้าวเท้าเหยียบลงบนบันไดที่อยู่ตรงหน้า เมื่อได้ยินเช่นนี้มุมปากถึงกับกระตุกวูบ นางหันกลับไปมองก็พบว่าเด็กน้อยกำลังมองมาที่ตนเองด้วยท่าทางน่าสงสาร นัยน์ตาคู่นั้นเต็มไปด้วยการกล่าวโทษ
เจียงอวิ๋นเซิงแอบรู้สึกลำบากใจ ภายในใจของเขาเอาแต่กังวลเรื่องของท่านหมอเริ่น คิดแต่จะรีบจับตัวฆาตกรออกมา และสืบเสาะหาความจริง ด้วยเหตุนี้จึงลืมตรึกตรองถึงเรื่องท้องฟ้าที่มืดลงและเลยเวลาอาหารค่ำแล้ว
“ท่านอ๋อง แม่นางชิง หรือว่าเราไปกินอาหารก่อนดีหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ ภายในเรือนแห่งนี้ไม่มีคนรับใช้จึงมิอาจทำอาหารได้ แต่ข้าง ๆ มีโรงเตี๊ยมแห่งหนึ่งพอดี กระหม่อมเคยไปกิน รสชาติไม่เลวเลย ซื่อจื่อน้อยกำลังอยู่ในวัยกำลังโต มิอาจปล่อยให้ขาดอาหารได้”
อวี้ชิงลั่วและเย่ซิวตู๋หันสบตากัน ผ่านไปครู่หนึ่ง จึงได้ยินเสียงทุ้มต่ำของเย่ซิวตู๋ดังขึ้น “เสิ่นอิง เจ้าพาหนานหนานกับเป่าเอ๋อร์ไปกินข้าวก่อน”
“พ่ะย่ะค่ะ ท่านอ๋อง”
แม้ว่าหนานหนานจะไม่ค่อยเต็มใจ ทว่าเมื่อเห็นสีหน้าเคร่งขรึมของท่านพ่อและท่านแม่ จึงยอมเดินตามเสิ่นอิงออกจากลานแต่โดยดี
เจียงอวิ๋นเซิงเห็นเช่นนี้ก็มิได้พูดอะไรมากไปกว่านั้น ยังคงถือเชิงเทียนนำทางอยู่ด้านหน้า
ทั้งสามคนเดินมาถึงด้านหน้าเรือนที่ค่อนข้างห่างไกลและทรุดโทรมแห่งหนึ่งจึงหยุดลง เรือนแห่งนั้นดูไม่ได้เอาเสียเลย กลอนประตูด้านนอกก็บิดเบี้ยว บนประตูมีกลิ่นเหม็นเน่าฉุนแสบจมูกลอยออกมา ราวกับไม่มีคนเข้ามาทำความสะอาดนานมากแล้ว
เรือนเช่นนี้ย่อมไม่มีใครสนใจ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าจะมีคนคิดว่าที่นี่คือสถานที่เก็บของล้ำค่าของท่านหมอเริ่น
เจียงอวิ๋นเซิงหยิบขวดกระเบื้องเคลือบออกมาจากด้านในกระเป๋าเสื้อแล้วรมควันไปที่ด้านข้างของประตูบานนั้น หลังจากผ่านไปครู่หนึ่ง กลิ่นเหม็นเน่าบนประตูบานนั้นจึงจางหายไปไม่น้อย
อวี้ชิงลั่วเลิกคิ้วขึ้น ท่านหมอเริ่นผู้นี้ก็เป็นคนที่มีความระมัดระวังตัวอย่างมากเช่นกัน
เสียง ‘แอ๊ด’ ดังขึ้นหนึ่งเสียง ประตูห้องถูกเจียงอวิ๋นเซิงผลักให้เปิดออก
เย่ซิวตู๋และอวี้ชิงลั่วจ้องเขม็ง จึงค้นพบว่าข้าวของที่อยู่ด้านในห้องนี้ก็ดูกระจัดกระจายเช่นกัน จากด้านในมาจนถึงด้านนอก ดูคล้ายกับเป็นห้องเก่าคร่ำคร่าที่ไม่มีคนพักอาศัย
“สถานที่แห่งนี้อาจารย์บอกกระหม่อมแค่เพียงคนเดียว แม้แต่ภรรยาของอาจารย์ก็ยังไม่ทราบ” เจียงอวิ๋นเซิงป้องเชิงเทียน วางลงบนโต๊ะที่อยู่ข้าง ๆ อย่างระมัดระวัง หลังจากกวาดสายตามองไปรอบ ๆ ห้อง จึงกล่าวขึ้นด้วยท่าทางหดหู่ลงเล็กน้อย “กระหม่อมเคยติดตามอาจารย์มาที่นี่เพียงสองครั้งเท่านั้น จากที่ดูคร่าว ๆ ภายในนี้ส่วนใหญ่เป็นตำราการแพทย์และผลการวิจัยที่อาจารย์สะสมตลอดระยะเวลาหลายปีมานี้ หลังจากอาจารย์ถูกสังหาร กระหม่อมเคยมาที่นี่ แต่ค้นหาอยู่ครึ่งค่อนวันก็ยังไม่เจอของสำคัญอะไร”
สายตาเข้มงวดของเย่ซิวตู๋เหลือบมองไปที่ตู้และโต๊ะหนังสือที่วางอยู่ข้าง ๆ อันที่จริงของที่อยู่ภายในที่แห่งนี้มีไม่มาก เป็นอย่างที่เจียงอวิ๋นเซิงกล่าวไว้ ส่วนใหญ่คือของประเภทตำรา
อวี้ชิงลั่วมีดวงตาเป็นประกายขึ้นเล็กน้อย แม้ทักษะทางการแพทย์ของนางจะไม่เลวร้าย แต่ถ้าพูดเรื่องประสบการณ์ นางย่อมสู้คนอย่างท่านหมอเริ่นมิได้ โดยเฉพาะทักษะทางการแพทย์สมัยโบราณ นางมีความกระตือรือร้นอยากวิจัยให้มากยิ่งขึ้น
นางขยับมือ สุ่มพลิกตำราสองสามเล่ม จึงค้นพบว่าสิ่งที่ท่านหมอเริ่นเขียนค่อนข้างเป็นไปตามอารมณ์ ราวกับว่านึกอะไรได้ก็เขียนไปตามนั้น
เป็นเรื่องจริงที่ว่าไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่จะหาข้อมูลมีประโยชน์ในตำราที่ดูเหมือนจะไม่มากแต่ก็ค่อนข้างรกนี้
“ท่านหมอเจียง ตำราเหล่านี้เจ้าเคยอ่านมาก่อนหรือไม่?” อวี้ชิงลั่วชูตำราเล่มนั้นที่อยู่ในมือขึ้นมาเล็กน้อย
เจียงอวิ๋นเซิงพยักหน้า “เคยพ่ะย่ะค่ะ ตำราเหล่านี้กระหม่อมเคยอ่านอย่างละเอียดแล้ว แต่อ่านไปอ่านมาก็มิเห็นถึงสิ่งผิดปกติอะไร” เขาแอบหมดเรี่ยวแรง ตอนสืบค้นเรื่องที่อาจารย์ถูกสังหาร เขาก็คิดว่าตนเองไร้ประโยชน์เสียเหลือเกิน ราวกับมิอาจช่วยเหลืออะไรได้เลย
อวี้ชิงลั่วพยักหน้า จากนั้นจึงพลิกตำราที่วางอยู่บนโต๊ะอีกหน หลังจากดูไปได้ไม่กี่เล่มคิ้วของนางพลันขมวดเข้าหากันเล็กน้อย อันที่จริงหากให้คำนวณดูแล้ว ของเหล่านี้ไม่ถือว่าเป็นของล้ำค่าอะไร สิ่งที่จดบันทึกในตำราก็มิใช่ทักษะทางการแพทย์ชั้นสูงที่เป็นความลับ หากให้พูดกันตามตรง ก็คงเทียบได้กับ…อารมณ์และความรู้สึกอะไรทำนองนั้นกระมัง นี่เป็นเรื่องส่วนตัว ดังนั้นจึงวางไว้ในห้องส่วนตัวที่ไม่มีความสะดุดตาเช่นนี้
อวี้ชิงลั่วเม้มริมฝีปาก ตอนที่เงยหน้าขึ้น จู่ ๆ นางก็พบว่าเย่ซิวตู๋กำลังเดินไปเดินมาภายในห้อง นิ้วมือเคาะลงที่มุมห้องแต่ละมุมสองสามครั้ง
นางชะงักไป ก่อนจะเดินเข้าไปข้าง ๆ พร้อมกับเอ่ยถาม “ท่านสงสัยว่าที่นี่จะมีห้องลับรึ?”
“อืม” เย่ซิวตู๋เงี่ยหูฟังเสียงที่สะท้อนจากตอนที่เคาะกำแพง ตอบกลับมาว่า “หากเป็นสิ่งสำคัญถึงขั้นถูกคนลอบสังหารจริง ๆ คงไม่นำมาวางรวมกับของเหล่านี้หรอก มิเช่นนั้นต่อให้เป็นท่านหมอเริ่น เกรงว่าก็คงหาไม่เจอ”
อวี้ชิงลั่วรู้สึกได้ว่าสิ่งที่เขาพูดก็มีเหตุผล นางจึงสังเกตจุดที่นูนขึ้นมาหรือดูผิดปกติภายในห้อง
“ที่นี่ไม่มีห้องลับ” หลังจากเย่ซิวตู๋เดินวนรอบ ๆ อย่างละเอียดสองรอบ ท้ายที่สุดจึงหยุดลง หัวคิ้วของเขาขมวดเข้าหากันเล็กน้อย ราวกับแอบรู้สึกผิดหวัง
“เช่นนั้นอาจารย์จะนำของไปวางไว้ที่ใด?” เจียงอวิ๋นเซิงนั่งลงบนเก้าอี้ที่ตั้งอยู่ข้าง ๆ ด้วยความหงุดหงิดและอับจนหนทาง
อวี้ชิงลั่วและเย่ซิวตู๋หันสบตากัน ผ่านไปครู่หนึ่งจึงกล่าวขึ้นว่า “ท่านหมอเจียง ตำราของที่นี่ข้าขอนำกลับไปได้หรือไม่ ข้าอยากค่อย ๆ หาดู อย่างไรก็ต้องมีเบาะแส”
ในเมื่อเป็นอารมณ์ เช่นนั้นก็ต้องมีช่วงเวลาที่กล่าวถึงอารมณ์อันผิดปกติ
เจียงอวิ๋นเซิงชะงัก รีบลุกขึ้นยืนและออกแรงพยักหน้า “ได้ ๆ ย่อมได้ ข้าจะเก็บรวบรวมให้ แม่นางชิงจะได้นำกลับไป”
ท่านอ๋องซิวยอมเห็นความสำคัญขนาดนี้ เขาย่อมน้อมรับด้วยความยินดีอย่างที่สุด คิดได้จึงรีบหมุนกาย นำตำราที่วางอยู่บนตู้และในโต๊ะมากองรวมไว้ด้วยกัน และนำเชือกสองเส้นมาผูกไว้ให้เรียบร้อย
อวี้ชิงลั่วมองปราดหนึ่ง มีไม่มาก แค่สองกอง ความยาวประมาณแขน ทว่าต้องค่อย ๆ อ่านทีละนิด คิดว่าคงใช้เวลาไม่น้อย
เจียงอวิ๋นเซิงออกตัวนำตำราไปวางไว้บนรถม้าของเย่ซิวตู๋ด้วยตนเอง ก่อนจะส่งพวกเขาเดินออกไปด้วยความเคารพนอบน้อม จากนั้นจึงแย้มยิ้มออกมาด้วยความโล่งอก เขาหันกลับไปลงกลอนประตูอย่างระมัดระวังอีกครั้ง เพียงไม่นานลานบ้านเงียบสงัดไร้สิ้นเสียงก็กลับเข้าสู่สภาพเดิม
พวกเขาเสียเวลาอยู่ในห้องนั้นครู่ใหญ่ ด้วยเหตุนี้ตอนที่เย่ซิวตู๋และอวี้ชิงลั่วมาถึงโรงเตี๊ยมที่หนานหนานและคนอื่น ๆ นั่งอยู่ ก็พบว่าคนที่อยู่ในโรงเตี๊ยมแยกย้ายกันกลับพอสมควรแล้ว แม้แต่นักเล่าเรื่องก็เก็บข้าวของเตรียมตัวกลับเช่นกัน
เย่ซิวตู๋ผลักประตูห้องพิเศษให้เปิดออก อาหารที่อยู่บนโต๊ะถูกหนานหนานเก็บกวาดจนเกือบหมดแล้ว เจ้าตัวเล็กในตอนนี้กำลังขยับเข้าใกล้อวี้เป่าเอ๋อร์พอดี พูดพึมพำโดยไม่รู้ว่ากำลังพูดอะไรอยู่
เมื่อเห็นพวกเขาเดินเข้ามา หนานหนานรีบนั่งยืดตัวตรงในทันที ยิ้มด้วยรอยยิ้มโง่เขลาให้พวกเขา พร้อมทำท่าทางราวกับที่ตรงนี้ไม่มีเงินสามร้อยตำลึง[1]
………………………………………………………………………………………………………………………..
[1] ที่ตรงนี้ไม่มีเงินสามร้อยตำลึง (此地无银三百两) เป็นคำเปรียบเปรยหมายถึง อาการร้อนตัว อยากปกปิดซ่อนเร้น กลับกลายเป็นเปิดเผยให้โลกรู้
สารจากผู้แปล
มันต้องมีเบาะแสอยู่แหละ เพียงแต่เส้นผมบังภูเขาเท่านั้นเอง
หนานหนานมีพิรุธน้า แอบซ่อนอะไรไว้อยู่ฮึ
ไหหม่า(海馬)