อลวนรักหมอหญิงชิงลั่ว - ตอนที่ 411 มีคนมาสองคน
ตอนที่ 411 มีคนมาสองคน
ตอนที่ 411 มีคนมาสองคน
เย่ซิวตู๋เห็นท่าทางลำบากใจเล็ก ๆ ที่แวบผ่านใบหน้าของอวี้เป่าเอ๋อร์
เขาลอบยิ้มอย่างเงียบ ๆ หนานหนานต้องมีความคิดไม่เข้าท่าอีกเป็นแน่ เป่าเอ๋อร์ดูไม่ค่อยมีความสุขเท่าไรนัก เพียงแต่คุ้นชินกับการฟังคำพูดของหนานหนาน ดังนั้นสีหน้าของเขาในตอนนี้จึงดูยุ่งเหยิงอย่างมาก
เสิ่นอิงเห็นว่านายท่านมาแล้ว จึงสั่งให้เสี่ยวเอ้อนำกับข้าวร้อน ๆ ที่อยู่ในห้องครัวยกขึ้นมาตั้งโต๊ะ
อวี้ชิงลั่วก็รู้สึกหิวมากเช่นกัน เมื่อครู่หนานหนานพูดด้วยท่าทางมีลับลมคมในไว้อย่างไร นางก็ไม่มีกะจิตกะใจจะคิดเล็กคิดน้อย หลังจากกินอย่างตะกละตะกลามไปครู่หนึ่ง จึงถอนหายใจออกมาด้วยความรู้สึกสบายใจ
แม้เย่ซิวตู๋จะท้องว่าง ทว่าการรับประทานอาหารของเขากลับยังคงสง่างามและนิ่งสงบ
เรื่องการรับประทานอาหาร หนานหนานต้องได้รับการถ่ายทอดมาจากอวี้ชิงลั่วเป็นแน่
อย่างน้อย ๆ ตอนที่เห็นเย่ซิวตู๋กินด้วยท่าทางเฉยเมยเช่นนี้ ภายในใจของอวี้ชิงลั่วจึงคิดเช่นนี้อย่างไม่เต็มใจเท่าไรนัก
ไม่สมดุล ไม่มีความสมดุลเอาเสียเลย เมื่อเกิดความไม่สมดุล ปัจจัยแย่ ๆ ที่อยู่ภายในใจจึงเริ่มพลุ่งพล่านขึ้นมาอย่างเนิบช้า ความคิดอยากทำร้ายรังแกคนพลันแรงกล้ามากขึ้นเรื่อย ๆ แล้ว
ด้วยเหตุนี้ ตอนที่พวกเขาขึ้นมานั่งบนรถม้าหลังจากกินดื่มจนอิ่มหนำ ดวงตาของอวี้ชิงลั่วก็กวาดมองทั้งสามคนที่อยู่ในรถม้าด้วยแววเหี้ยมโหด กระทั่งรอยยิ้มมืดหม่นก็ปรากฏขึ้นแล้ว
เย่ซิวตู๋ถึงกับตกใจ แอบสบถเสียงทุ้มหนึ่งเสียงว่า ‘แย่แล้ว’ และเป็นเช่นนั้นจริง ๆ สิ่งที่ควรมาก็กำลังมาถึงแล้ว
“เหอะ พวกท่านช่วยบอกข้าได้หรือไม่? เรื่องเล่าเกินจริงในท้องพระโรงวันนี้ใครเป็นคนต้นคิด?”
“ท่านแม่ เหตุใดท่านถึงพูดว่านั่นเป็นเรื่องเล่าเกินจริงเล่า? ท่านไม่เห็นหรือ ข้าพูดด้วยน้ำเสียงที่เปี่ยมล้นอารมณ์ เพิ่มบรรยากาศให้โดดเด่น ทุ่มเททั้งแรงกายและแรงใจ แสดงท่าทางมีความสุขและตื่นเต้นตั้งนานสองนาน ทำให้ทุกคนร้องไห้โฮเพราะรู้สึกซึ้งกินใจ เรื่องเล่าสะท้านฟ้าสะท้านแผ่นดินทำให้ภูตผีร่ำไห้แบบนี้ เหตุใดท่านถึงได้กล่าวว่าเป็นเรื่องเกินจริงเล่า? ท่านแม่ เป็นมนุษย์ก็อย่าได้เลือดเย็นเช่นนี้เลย หรือว่าท่านมิได้ร้องไห้เพราะรู้สึกซึ้งกินใจกับสิ่งที่ข้าทำ? ข้า…”
อวี้ชิงลั่วยิ้มเย็นชาแทรกคำอธิบายของหนานหนานที่พูดไม่รู้จักกาลเทศะมากขึ้นเรื่อย ๆ เอ่ยถามว่า “สรุปแล้วใครเป็นคนคิด?”
“องค์ชายรอง”
“ท่านลุงเหมียนฮวาถัง”
สองพ่อลูกตอบอย่างหนักแน่นเป็นเสียงเดียวกันโดยผลักเรื่องนี้ไปหาใครบางคนที่มิอาจแก้ต่างให้ตนเอง ณ ที่แห่งนี้ได้
อวี้เป่าเอ๋อร์อ้าปากค้าง ท้ายที่สุดก็กลืนคำพูดที่กำลังจะพูดกลับลงไป
อันที่จริง เรื่องนี้…เป็นเรื่องที่องค์ชายรองและท่านอ๋องซิวสมคบคิดกัน หนานหนานมีหน้าที่ใส่สีตีไข่ ส่วนเขามีหน้าที่…ให้ความร่วมมือ
อวี้ชิงลั่วเหลือบมองพวกเขาด้วยความดูหมิ่นปราดหนึ่ง มิได้เชื่อในสิ่งที่พวกเขาพูดแม้แต่น้อย สายตาของนางมองมาที่อวี้เป่าเอ๋อร์ “เป่าเอ๋อร์ เจ้าพูดมา”
“ข้า…” อวี้เป่าเอ๋อร์แอบเงยหน้าขึ้น ก็พบกับเย่ซิวตู๋ที่กำลังแสดงสีหน้าเคร่งขรึมเย็นชา จากนั้นก็มองไปทางหนานหนานที่กำลังขยิบตาให้เขาอย่างสุดชีวิตจนเกือบจะเข้ามาบีบคอตนเอง หลังจากผ่านไปครู่ใหญ่ เขาก็ก้มหน้าลงเอ่ยเสียงอ่อยว่า “ข้าไม่รู้”
ท่านอ๋องซิวสามารถวางแผนใส่ร้ายองค์ชายรองได้ หนานหนานก็สามารถวางแผนใส่ร้ายองค์ชายรองได้ เพราะสถานะของพวกเขาต่างกัน ทว่าอวี้เป่าเอ๋อร์รู้ดีว่าตนเองมิอาจทำเช่นนั้นได้ ดังนั้นจึงทำได้เพียงแค่ก้มหน้าลง ไม่กล้าสบตาอวี้ชิงลั่ว เลือกที่จะตอบคำถามด้วยความประนีประนอม
“เช่นนั้นเจ้าก็บอกข้ามา สิ่งที่เจ้าพูดภายในท้องพระโรงวันนี้ ใครเป็นคนบอกเจ้า?”
“ข้า…ข้า…” อวี้เป่าเอ๋อร์ยิ่งไม่กล้าเงยหน้าเข้าไปใหญ่ คำพูดย่อมเป็นสิ่งที่ท่านอ๋องซิวบอกให้เขาพูด ทว่าเขามิอาจชี้ไปหาท่านอ๋องซิวแบบตรงไปตรงมาได้ แต่…ถ้าเขาพูดโกหก อีกครู่หนึ่งคงได้ถูกท่านพี่เปิดโปงเป็นแน่
อวี้เป่าเอ๋อร์ยิ่งคิดก็ยิ่งร้อนใจ โดยเฉพาะตอนที่รู้สึกได้ถึงสามสายตากดดันที่แสนจะร้อนระอุอยู่เหนือศีรษะตนเอง หน้าผากของเขาก็เริ่มมีเหงื่อเย็นซึมออกมาด้วยความประหม่ามากยิ่งขึ้น เมื่อร้อนใจก็เกิดอาการตัวสั่น น้ำเสียงแฝงด้วยเสียงสะอื้น “ข้า…ท่านพี่…ข้าไม่รู้…”
“…” อวี้ชิงลั่วอยากเอาหัวโหม่งกำแพงให้ตายเสียจริง แต่นางก็รู้ดีว่าตนเองต้อนอีกฝ่ายให้จนมุมมากเกินไป จึงยื่นมือออกไปลูบศีรษะของอวี้เป่าเอ๋อร์ “ช่างเถอะ พี่ไม่บังคับให้เจ้าพูดแล้ว”
นางมิได้ตั้งใจจะถามอวี้เป่าเอ๋อร์เพียงคนเดียว เพียงแต่ภายในใจของอวี้ชิงลั่วทราบเป็นอย่างดีว่าเย่ซิวตู๋และหนานหนานต่างก็เป็นคนเจ้าเล่ห์ มิใช่คนที่จะรับมือได้ง่าย ๆ ทั้งยังพร้อมที่จะหาข้อแก้ตัวและผลักความผิดไปให้คนอื่นโดยมิได้รู้สึกละอายใจแม้แต่น้อย
ทว่าคิดไม่ถึงเลย อวี้เป่าเอ๋อร์ก็เป็นคนหัวรั้นไปกับเขาด้วย
หนานหนานถึงกับมึนตึ้บ ที่แท้ทำแบบนี้ก็ได้ด้วยรึ?
เมื่อเห็นสายตาของอวี้ชิงลั่วที่เหลือบมองมา หนานหนานรีบก้มหน้าลง บ่าสั่นระริก ทั้งยังพูดเลียนแบบด้วยน้ำเสียงปนสะอื้น “ข้า…ท่านแม่…ข้าเองก็ไม่รู้เช่นกัน…”
“…” อวี้ชิงลั่วเกิดความรู้สึกอยากตบฝ่ามือออกไปสักฉาดหนึ่ง
“พรืด…” เย่ซิวตู๋ถึงกับกลั้นไม่อยู่ ส่งเสียงหัวเราะออกมา
สิ้นเสียงหัวเราะ สายตาของอวี้ชิงลั่วก็มองมาที่เขาในทันที จนเย่ซิวตู๋แอบส่งเสียงอุทานว่า ‘ซวยแล้ว’ หนึ่งเสียง และก้มหน้าอย่างรู้สึกละอายใจด้วยท่าทางที่ยังนิ่งสงบดั่งเดิม
“ท่านอ๋องซิว ท่านโกหกข้าได้ลงคอเชียวนะ” อวี้ชิงลั่วขยับเข้าใกล้เขาพร้อมกับยิ้มตาหยี นิ้วมือหยิกไปที่แขนพร้อมกับบิดแรง ๆ
เย่ซิวตู๋มุมปากขึงตึงทันใด ทว่ายังคงกล่าวอย่างจริงจังว่า “ชิงเอ๋อร์ บนโลกใบนี้คนที่ข้าทำใจโกหกไม่ลงมากที่สุดก็คือเจ้านะ พูดจาก็ต้องมีมโนธรรม”
“มโนธรรม? ท่านยังมีหน้ามาพูดมโนธรรมกับข้าอีก ตอนนั้น…ว้าย…”
จู่ ๆ รถม้าก็กระตุกอย่างฉับพลัน ร่างกายอวี้ชิงลั่วถึงกับเซ ศีรษะพุ่งตรงออกไปด้านนอก
เย่ซิวตู๋ตาไวมือไว รีบยื่นมือออกมาโอบและกอดนางไว้ในอ้อมกอด ทั้งสองคนจึงแนบชิดกันอย่างมาก
อวี้ชิงลั่วยังไม่ทันได้พักหายใจ ก็ได้ยินเสียงของเย่ซิวตู๋ดังขึ้นด้วยความโกรธขึ้ง “เสิ่นอิง!!!”
“ท่านอ๋องประทานอภัยด้วย เมื่อครู่มีก้อนหินขวางทาง ท้องฟ้ามืดแล้ว กระหม่อมไม่ทันได้สังเกตเห็น”
อวี้ชิงลั่วแค่นเสียงยิ้มเยาะ “เจ้าคงช่วยคนกระทำความชั่วมากกว่ากระมัง ท้องฟ้ามืดแล้ว? ด้วยความสามารถของเจ้า อย่าว่าแต่ด้านนอกท้องฟ้ามืดครึ้มดำอึมครึมเลย ต่อให้ยื่นมือออกไปไม่เห็นนิ้วมือทั้งห้า เจ้าก็คงไม่ถึงขั้นมองไม่เห็นว่ามีก้อนหินขวางทางหรอก”
เป็นเพราะเห็นว่าท่านอ๋องของตนเองถูกนางตำหนิมิใช่รึ? ความคิดคดเคี้ยวเล็ก ๆ นั่น คิดว่านางไม่รู้เชียวรึ?
“เอ่อ แม่นางอวี้ ท่านประเมินข้าน้อยสูงเกินไปแล้ว” เหงื่อบนหน้าผากของเสิ่นอิงหยดลงมาหลายหยด แม่นางอวี้ช่างเป็นผู้หยั่งรู้เสียจริง เขาผู้น่าสงสารอุตส่าห์ทำเพื่อนายท่านก็ถือว่าพยายามมากแล้ว กลับไปไม่รู้ว่าจะเอ่ยถึงเรื่องรางวัลได้หรือไม่
อวี้ชิงลั่วกลอกตามองบน ไม่คิดจะทะเลาะกับเสิ่นอิง นางต้องคิดบัญชีกับเย่ซิวตู๋ให้เรียบร้อย
ใครจะไปคิด ตอนที่นางกำลังจะอ้าปากพูด จู่ ๆ รถม้าก็จอดสนิท พร้อมกับเสียงของเสิ่นอิงสูงขึ้นเล็กน้อย “ท่านอ๋อง แม่นางอวี้ ถึงตำหนักอ๋องแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
หนานหนานเหยียบขึ้นบนตัวเย่ซิวตู๋และกระโดดลงจากรถเป็นคนแรก หลังจากลงจากรถแล้ว ปากก็เอาแต่ตะโกนว่าจะเข้าห้องสุราไปพลาง หนีอย่างสิ้นหวังไปพลาง
อวี้ชิงลั่วแอบคลึงหว่างคิ้วอย่างเงียบ ๆ ก่อนจะเดินลงจากรถม้า ตอนที่เดินอยู่ข้าง ๆ เสิ่นอิงผู้กำลังยิ้มตาหยี มุมปากของนางพลันยกขึ้นอย่างชั่วร้าย ก่อนจะเงื้อเท้าขึ้นเหยียบที่หลังเท้าของอีกฝ่ายแรง ๆ
เสิ่นอิงถึงกับใบหน้าบิดเบี้ยวโดยพลัน เจ็บจนน้ำตาแทบไหลออกมา แม่นางอวี้ฝีเท้าหนักจริง ๆ
เย่ซิวตู๋กระโดดลงมาพร้อมกับทิ้งระยะห่าง ไอกระแอมเบา ๆ หนึ่งเสียง ตบบ่าเขาพลางกล่าว “ลำบากเจ้าแล้ว”
“ไม่…ไม่ลำบากเลยพ่ะย่ะค่ะ” เขาไม่ลำบากหรอก แต่อีกเดี๋ยวนายท่านนั่นแหละที่จะลำบาก
เย่ซิวตู๋และอวี้ชิงลั่วเดินรักษาระยะห่างจากกันสามก้าว ตอนที่เพิ่งเดินเข้ามาด้านในประตูใหญ่ของจวนอ๋อง ก็พบเยว่ซินวิ่งตรงเข้ามาด้วยสีหน้าวิตกกังวล “คุณหนู…คุณหนู…แย่แล้วเจ้าค่ะ มีคนสองคนเข้ามาในตำหนักอ๋องเจ้าค่ะ”
…………………………………………………………………………………………………………………………
สารจากผู้แปล
โดนชิงลั่วคิดบัญชีเรียงตัวกันแล้วจ้าตัวแสบทั้งหลายทั้งตัวเล็กตัวใหญ่ โดยเฉพาะตัวใหญ่นี่ตัวดีเลย
แล้วคนสองคนนั้นเข้ามาทางไหนกันน่ะ ตำหนักอ๋องซิวมีการคุ้มกันแน่นหนาไม่ใช่เหรอ
ไหหม่า(海馬)