อลวนรักหมอหญิงชิงลั่ว - ตอนที่ 412 เสี่ยวเหยียอย่างข้ามิใช่คนอัธยาศัยดี
ตอนที่ 412 เสี่ยวเหยียอย่างข้ามิใช่คนอัธยาศัยดี
ตอนที่ 412 เสี่ยวเหยียอย่างข้ามิใช่คนอัธยาศัยดี
มีคนมาสองคน?
อวี้ชิงลั่วข่มความโกรธขึ้งที่อยู่ในใจไว้ชั่วขณะหนึ่ง หันกลับไปถลึงตาใส่เย่ซิวตู๋อย่างดุดันปราดหนึ่ง ก่อนเอ่ยถามนางว่า “มีอะไรก็ค่อย ๆ พูด มีคนมาสองคนคืออะไร?”
“เรื่องนี้…เยว่ซินก็บอกไม่ถูกเหมือนกันเจ้าค่ะ แต่มีสตรีมากันสองคน ทั้งยังเดินดุ่ม ๆ เข้าไปในเรือนที่คุณหนูพักอาศัยด้วย ชี้นู่นชี้นี่ภายในเรือนของคุณหนู สั่งให้เปลี่ยนนู่นเปลี่ยนนี่ แถมยังยกเตียงหลังนั้นของคุณหนูออกไปแล้วด้วยเจ้าค่ะ” เยว่ซินโกรธสุดขีดจนร้อนใจไปหมดแล้ว
ทว่าสตรีสองคนนั้นดูเหมือนจะมีภูมิหลังมิใช่น้อย และไม่รู้ว่าพูดกับพ่อบ้านไว้ว่าอย่างไร พ่อบ้านถึงได้ส่งคนมาช่วยพวกนาง ทั้งยังปล่อยให้พวกนางสั่งการด้วย
เยว่ซินห้ามอยู่หลายครั้งแต่ก็ห้ามไม่สำเร็จ ท้ายที่สุดจึงถูกไล่ตะเพิดออกมา นางไปหาโม่เสียนแล้ว พวกโม่เสียนก็ไม่รู้ว่าหายไปไหนกันหมด ไม่เห็นเงาแม้แต่คนเดียว
หนานหนานที่เพิ่งวิ่งไปด้านหน้าเพียงไม่กี่ก้าวถึงกับหูผึ่ง เมื่อได้ยินคำพูดเพียงไม่กี่ประโยคของเยว่ซิน ทั่วทั้งร่างกายพลันเต็มไปด้วยจิตวิญญาณการต่อสู้
เขาคิดว่าโอกาสที่จะสร้างคุณงามความดีของตนได้มาถึงแล้ว ขอแค่ช่วยท่านแม่สร้างผลงานได้ เรื่องในวันนี้รวมถึงเรื่องที่จะทำในวันพรุ่ง ท่านแม่ย่อมให้อภัยเขาด้วยความเมตตาเป็นแน่
ร่างเล็ก ๆ พุ่งตัวกลับมาราวกับกระสุนปืนใหญ่ในบัดดล ดึงมือของเยว่ซินพลางเอ่ยด้วยสีหน้าชอบธรรม “มีอย่างที่ไหนกัน กล้ามาโยนเตียงของท่านแม่ทิ้งเชียวรึ? เตียงนั่นเป็นของล้ำค่ายิ่ง เป็นสัญลักษณ์แห่งความรักฉันท์แม่ลูกระหว่างข้าและท่านแม่ ทิ้งขว้างของที่เป็นของสำคัญไว้รำลึกถึงเช่นนี้ได้อย่างไรกัน? เยว่ซิน เจ้าบอกมา พวกนางยังทำเรื่องชั่วอะไรอีก ข้าจะไปคิดบัญชีกับพวกนางตอนนี้เลย”
เยว่ซินถูกคำพูดของหนานหนานทำให้เกิดขวัญและกำลังใจที่สูงขึ้น นางพยักหน้าจูงมือหนานหนาน เดินเข้าไปด้านในพลางพูดว่า “พวกนางยังพูดด้วยว่าห้องนั่นมิใช่สถานที่ที่คนอาศัยอยู่ ทั้งยังพูดด้วยว่าของที่คุณหนูใช้ล้วนเป็นของที่คนชั้นล่างใช้ รสนิยมภายในห้องแย่มาก ในห้องไม่มีอะไรเลย โล่งยิ่งกว่าที่อยู่อาศัยของขอทานเสียอีก”
“เอ่อ…” อวี้ชิงลั่วที่เดินตามอยู่ด้านหลัง หันหน้าเหลือบมองเย่ซิวตู๋ปราดหนึ่ง ก็พบว่าอีกฝ่ายแสดงสีหน้าไม่เป็นมิตร
อันที่จริง ของที่อยู่ในตำหนักอ๋องซิวก็ไม่ได้เลวร้ายอะไร เย่ซิวตู๋ก็เป็นคนมีเงินทอง ของที่มอบให้นางย่อมเป็นของที่ดีที่สุด
เพียงแต่ ภายในตำหนักอ๋องแห่งนี้ไม่เคยมีนายหญิงพักอาศัยมาก่อน จึงต้องหาซื้อชาดแต้มปาก น้ำอบ ปิ่นปักผม เครื่องประดับหยกบางอย่างที่เป็นของสตรีเพศเข้ามา อวี้ชิงลั่วใช้ของเหล่านี้ไม่ได้และนางก็ไม่เคยใช้ของจำพวกนี้ ดังนั้นตอนที่แม่นมที่รับผิดชอบจัดซื้อของภายในตำหนักอ๋องถามเกี่ยวกับของที่ใช้เป็นประจำ นางจึงปฏิเสธกลับไป
นางมีเครื่องประทินผิวของนางชุดหนึ่งแล้ว ส่วนชาดแต้มปากและน้ำอบเหล่านั้นนางไม่ค่อยโปรดปรานส่วนผสมและกลิ่นของมัน
ส่วนเรื่องเครื่องประดับ นางแต่งกายเรียบ ๆ และสะอาดสะอ้านมาแต่ไหนแต่ไร บนศีรษะใช้แค่ปิ่นหยกเพียงอันเดียวก็เพียงพอแล้ว
ส่วนการตกแต่งภายในห้อง นางมิได้ถือสาแม้แต่น้อย ต่อให้เดิมทีมีเก้าอี้ ม่านลูกปัดและดอกไม้สด ก็ถูกนางสั่งให้นำออกไปทั้งหมด เพราะนางชอบห้องโล่ง ๆ มีพื้นที่กว้างขวาง เพื่อให้สะดวกต่อการวิจัยสมุนไพร
ส่วนเย่ซิวตู๋ก็เป็นบุรุษคนหนึ่ง อีกอย่างเท่าที่เขารับรู้มา ขอแค่นางรู้สึกสบายใจและชื่นชอบก็เพียงพอแล้ว ภายในห้องมีของมากขึ้นหรือน้อยลง เขาก็ไม่ได้สนใจอยู่แล้ว
เฮ้อ คิดไม่ถึงเลย ตอนนี้กลับกลายเป็นจุดอ่อนโจมตีเขาเสียแล้ว
ทว่า…เหตุใดยิ่งนางได้ฟัง ก็ยิ่งรู้สึกคุ้นเคยกับคนสองคนนั้นที่เยว่ซินพูดถึงนัก?
ระหว่างที่กำลังครุ่นคิด พวกเขาก็เดินมาถึงหน้าเรือนของอวี้ชิงลั่วแล้ว
ภายในนั้นมีเสียงตึง ๆ ตัง ๆ ฟังไม่ค่อยชัดเจนเท่าไรนัก ด้านหน้าประตูมีเครื่องเรือนชิ้นใหญ่สองสามชิ้นถูกย้ายออกมาจากด้านในเรือน
“เอ๋ แม่นางอวี้กลับมาแล้ว?” มีคนหนึ่งสายตาเฉียบแหลม ตอนที่เห็นนางก็ถึงกับตกตะลึงไปครู่หนึ่ง แจกันดอกไม้ขนาดใหญ่ที่อยู่ในมือก็แทบจะถือไว้ไม่อยู่
อวี้ชิงลั่วถึงกับมุมปากกระตุกวูบ โบกมือสั่งให้นางไปทำงานของตนเอง
คนคนนั้นไม่เห็นเย่ซิวตู๋ ของที่อยู่ในมือหนักมากจริง ๆ เมื่อเห็นสัญญาณมือของอวี้ชิงลั่ว จึงหมุนตัวเดินไปอย่างคล่องแคล่วว่องไว
เย่ซิวตู๋เดินออกมาจากเงามืด แตะปลายเท้า กระโดดโผนทะยานย้ายไปข้าง ๆ กายพ่อบ้าน “เกิดอะไรขึ้น?”
พ่อบ้านหยางชะงัก รีบทำความเคารพ “ท่านอ๋อง กลับมาแล้วหรือพ่ะย่ะค่ะ?”
“เรื่องพวกนี้ ใครใช้ให้ทำ?” พ่อบ้านเปลี่ยนเป็นคนมีความกล้าหาญขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อใดกัน? เห็นตำหนักอ๋องไม่มีคนอยู่ เขากลับกล้าตัดสินใจโดยพลการ?
พ่อบ้านหยางเม้มปาก ชะโงกหน้าเข้าไปข้าง ๆ หูของเย่ซิวตู๋อย่างเงียบ ๆ ก่อนกระซิบกระซาบอยู่ครู่หนึ่ง
หลังจากเย่ซิวตู๋ได้ฟังครู่หนึ่ง แววมืดหม่นบนใบหน้าของเขาก็ค่อย ๆ มลายหายไป เมื่อฟังอีกฝ่ายพูดจบ เขาชะงักไปครู่หนึ่งก่อนเอ่ยถาม “ยังต้องใช้เวลาอีกนานเพียงใดถึงจะเสร็จ?”
“ใกล้แล้วพ่ะย่ะค่ะ จัดดอกไม้อีกไม่กี่ช่อก็เสร็จแล้ว”
เย่ซิวตู๋พยักหน้า ก่อนจะเดินมาข้าง ๆ อวี้ชิงลั่วอย่างเงียบ ๆ
หนานหนานทางฝั่งนี้เริ่มยืนเท้าสะเอวพร้อมกับตะคอกเข้าไปด้านในเสียงดังว่า “คนที่อยู่ด้านในออกมาให้หมด กล้ามากนะ ถึงได้กล้ามาเคลื่อนย้ายข้าวของของท่านแม่ พวกเจ้าแต่ละคน รู้หรือไม่ว่าท่านแม่ของข้าเป็นใคร รู้หรือไม่ว่านางเป็นถึงหมอปีศาจ เป็นองค์หญิงเทียนฝูของอาณาจักรเทียนอวี่? พวกเจ้าอยากตายรึ? ข้าจะบอกอะไรให้นะ หากยังกล้าทำอะไรสุ่มสี่สุ่มห้าข้าจะให้ท่านพ่อมัดพวกเจ้าแล้วโยนออกไปให้หมด”
หนานหนานก่นด่าไปสองประโยคแล้วก็หันมามองอวี้ชิงลั่ว แย้มยิ้มพลางเอ่ยถามด้วยท่าทีประจบสอพลอเป็นพิเศษ “ท่านแม่คิดว่าที่ข้าพูดถูกต้องหรือไม่?”
อวี้ชิงลั่วฉีกยิ้มแห้งพลางหัวเราะเหอะ ๆ สองเสียง
เยว่ซินที่ยืนอยู่ข้าง ๆ ก็ชะงักไปเช่นกัน เมื่อครู่หนานหนานพูดว่าอย่างไรนะ? คุณหนูคือองค์หญิงเทียนฝูแห่งอาณาจักรเทียนอวี่?
เอ่อ…เมื่อครู่ดูเหมือนว่านางจะได้ยินสตรีที่มีอายุค่อนข้างมากผู้นั้นพูดว่า เรือนแห่งนี้เป็นสถานที่ที่องค์หญิงเทียนฝูพักอาศัย มิอาจปล่อยให้ดูไร้สง่าราศีได้
เยว่ซินพลันนึกถึงพระราชโองการสมรสพระราชทานจากฮ่องเต้ในวันนั้น ว่าทรงโปรดให้ท่านอ๋องและองค์หญิงเทียนฝูอภิเษกสมรส ด้วยเหตุนี้ตอนที่นางได้ยินคำเพียงไม่กี่คำที่สตรีผู้นั้นเอ่ย นางก็ยิ่งรู้สึกไม่มีความสุข คิดว่าองค์หญิงเทียนฝูผู้นั้นยังมิทันได้ผ่านประตูก็มาแสดงอำนาจแล้ว ดูเหมือนว่า…นางยังก่นด่าองค์หญิงเทียนฝูผู้นั้นว่าไร้ยางอายอยู่ภายในใจ ยังไม่ทันได้แต่งเข้ามาก็สั่งให้คนรับใช้มาเก็บกวาดห้องแล้ว
ทว่าเมื่อครู่หนานหนานพูดว่า คุณหนูคือ…องค์หญิงเทียนฝู?
เยว่ซินอ้าปากค้าง ยืนค้างชะงักสติหลุดลอยอยู่ตรงนั้นครู่หนึ่ง
การเคลื่อนไหวภายในห้องดูเหมือนจะหยุดลงโดยพลัน หนานหนานเงี่ยหูฟังแล้วก็ลอบแสดงท่าทางอวดดี ดูเหมือนอำนาจของเขาก็สร้างแรงกดดันได้ จึงทำให้การเคลื่อนไหวของพวกเขาหยุดลง
ครั้นคิดเช่นนี้ ความเย่อหยิ่งพลันเพิ่มทวี “เสี่ยวเหยีย[1]ขอเตือนพวกเจ้าไว้ก่อน เสี่ยวเหยียจะนับถึงสาม ถ้ารู้จักกาลเทศะก็ไสหัวออกมา ไสหัวไปยิ่งไกลเท่าไรก็ยิ่งดีเท่านั้น เสี่ยวเหยียผู้นี้มิใช่คนอัธยาศัยดี แน่นอนว่าหากพวกเจ้าชดใช้เสี่ยวเหยียด้วยเงินสักหน่อย เช่นนั้นก็ยิ่งดี แต่อย่าหาว่าข้าไม่เตือนพวกเจ้าก็แล้วกัน ตอนนี้เสี่ยวเหยียคือซื่อจื่อ มีเสด็จปู่หนึ่งคนและมีเสด็จตาอีกหนึ่งคน หญิงชราบ้าสองนางที่ไม่รู้ว่าโผล่มาจากที่ใด รีบออกมาบัดเดี๋ยวนี้”
สิ้นเสียงของหนานหนาน ในที่สุดด้านในก็มีเสียงฝีเท้าดังขึ้นอย่างแผ่วเบาและเนิบช้า จากนั้นก็ได้ยินเสียงของสตรีที่ฟังดูน่าเกรงขามและเย็นชาดังขึ้น “ซื่อจื่อน้อย ท่านถูกอบรมสั่งสอนให้ทำตัวเช่นนี้หรือเพคะ?”
……………………………………………………………………………………………………………………….
[1] เสี่ยวเหยีย (小爷) หมายถึง เจ้านาย นายท่านที่อายุน้อย หากใช้เรียกผู้อื่นจะเป็นการเรียกด้วยความยกย่อง หากใช้เรียกตัวเองจะเป็นการเรียกในลักษณะข่มคู่สนทนา
สารจากผู้แปล
แม่นมสองคนนั้นที่ตบปากนังสองแม่ลูกเฉินจีซินแน่ๆ เลย ท่าทางแบบนี้ใช่แน่ๆ
หนานหนานเปรี้ยวผิดคนแล้วมั้งหนู
ไหหม่า(海馬)