อลวนรักหมอหญิงชิงลั่ว - ตอนที่ 416 ท่านตาบอดแล้วรึ
ตอนที่ 416 ท่านตาบอดแล้วรึ?
ตอนที่ 416 ท่านตาบอดแล้วรึ?
ต่อให้อวี้ชิงลั่วรู้สึกไม่เต็มใจมากกว่านี้ ทว่าหางตาของนางกลับเหลือบเห็นว่าบนใบหน้าจริงจังของแม่นมเซียวปรากฏแววอ่อนโยนและรอยยิ้มเล็ก ๆ ท้ายที่สุดนางจึงเกิดอาการใจอ่อน ปล่อยให้เยว่ซินและหงเย่กดตนเองนั่งลงหน้าโต๊ะเครื่องแป้งราวกับเป็นหุ่นเชิด
แม่นมเซียวไม่โปรดปรานที่เยว่ซินมือไม้กระฉับกระเฉงไม่มากพอ แต่งกายให้องค์หญิงก็รู้แค่เพียงงู ๆ ปลา ๆ นางจึงไล่เยว่ซินให้ไปตักน้ำมาให้อวี้ชิงลั่วล้างหน้าแปรงฟัน ส่วนหน้าที่แต่งกายให้หงเย่เป็นคนจัดการทั้งหมด หงเย่มือไม้คล่องแคล่วว่องไวและนางก็ทำเรื่องประเภทนี้จนคุ้นชินแล้ว
ด้วยเหตุนี้ ใช้เวลาแค่สองเค่อ อวี้ชิงลั่วก็ผัดหน้าทำผมแต่งองค์ทรงเครื่องเสร็จสิ้น
เพียงแต่…
ตอนที่อวี้ชิงลั่วส่ายหน้า ลำคอก็พลันเกิดเสียงดังกรอบแกรบ นางจึงเหลือบมองแม่นมเซียวแล้วกล่าวว่า “เราไม่ได้อยู่อาณาจักรเทียนอวี่สักหน่อย แม่นมเซียว ไม่ต้องแต่งกายจัดเต็มขนาดนี้ก็ได้กระมัง?”
บนศีรษะของนางมีปิ่นมุกและหยกกดทับจนรู้สึกปวดคอไปหมด บนเรือนกายห่อหุ้มด้วยชุดผ้าไหมตัวโคร่งปักเลื่อมลายอันสลับซับซ้อนอย่างชาวราชสำนัก ทั้งหนักและเทอะทะจนทำให้การเคลื่อนไหวของนางถูกจำกัด อีกอย่าง…มันก็ร้อนมากด้วย
เยว่ซินยืนมองอยู่ข้าง ๆ เอาแต่กลืนน้ำลายไม่หยุด ไม่แปลกใจเลยที่แม่นมเซียวไม่ให้นางเข้ามาช่วย พูดตามตรง งานที่มีความซับซ้อนเช่นนี้ นางทำไม่เป็นจริง ๆ
ทว่า คุณหนูช่างงดงามเหลือเกิน ตอนที่ไม่แต่งตัวให้ความรู้สึกเรียบง่ายสะอาดสะอ้าน ตอนนี้เมื่อได้เปลี่ยนทรงผมเปลี่ยนอาภรณ์และแต้มสีชาดอ่อน ๆ ทำให้นางดูคล้ายกับเดินออกมาจากภาพวาดก็มิปาน ที่แท้ หากคุณหนูยอมแต่งตัว ก็สวยไม่แพ้สาวงามอันดับหนึ่งของเมืองหลวงแห่งนี้เลย
หงเย่เป็นคนมีฝีมือชำนาญ จึงทำให้รูปลักษณ์ที่ดูนุ่มนวลและอ่อนโยนของอวี้ชิงลั่วทวีความน่ารักมากขึ้น อวี้ชิงลั่วเป็นคนมีนิสัยเย็นชา ทว่ารูปลักษณ์ของนางกลับแตกต่างจากนิสัยของนางราวฟ้ากับเหว การแต่งกายเช่นนี้ ทำให้คนที่มีความคิดคดเคี้ยวเกิดภาพลวงตา คิดว่านางเป็นแค่คนอ่อนโยนแสนเรียบง่ายคนหนึ่ง ทำให้การป้องกันที่มีต่ออวี้ชิงลั่วลดน้อยลงเช่นกัน
แม่นมเซียวได้ยินเช่นนี้ก็ทำแค่เพียงหันกลับมาด้วยสีหน้าเรียบเฉย กวาดสายตามองรูปร่างของอวี้ชิงลั่วตั้งแต่หัวจรดเท้า เอ่ยปากพูดด้วยสีหน้าที่ยังคงไร้อารมณ์ “เพราะองค์หญิงคือองค์หญิงเทียนฝูของอาณาจักรเทียนอวี่ ไม่ว่าเรื่องของพลังอำนาจหรือการแต่งกายก็มิได้ด้อยไปกว่าคนอื่นเลย ตอนนี้สถานะขององค์หญิงเป็นที่รู้จักของทุกคนแล้ว หากสตรีสูงศักดิ์เหล่านั้นเห็นองค์หญิงแต่งกายจืดชืด จะไม่หัวเราะเยาะว่าอาณาจักรเทียนอวี่เป็นอาณาจักรล้าหลังและยากจน แม้แต่เกียรติภูมิก็มิอาจให้องค์หญิงได้หรือเพคะ?”
อวี้ชิงลั่วมุมปากกระตุกวูบ อยากหาเกียรติภูมินัก มองจากรูปลักษณ์ของคนขี้อวดอย่างองค์ชายรองก็ได้แล้วมิใช่หรือ? เพราะถังไป๋ชือนั่นได้แขวนทุกอย่างที่งดงามมีมูลค่ามากเกินประมาณไว้บนตัวทั้งหมดแล้ว
“เอาเถิดเพคะ องค์หญิง นี่ก็สายแล้ว ท่านอ๋องก็น่าจะตื่นแล้วเช่นกัน ตามหม่อมฉันมาเพคะ” แม่นมเซียวไม่เปิดโอกาสให้นางโต้แย้ง นางสั่งให้หงเย่ประคองอวี้ชิงลั่ว เดินยืดตัวตรงไปยัง ‘เรือนตู๋’ ที่เย่ซิวตู๋พักอาศัยอยู่
เรือนตู๋ ชื่อของเรือนแห่งนี้เหมือนกับเรือนในจวนโม่ตอนที่อยู่เจียงเฉิง ทั้งยังให้กลิ่นอายของความรกร้างที่ลอยออกมา
เรือนที่อวี้ชิงลั่วอยู่ค่อนข้าง…ห่างไกลจากเรือนตู๋ เรือนตู๋เป็นเรือนหลัก ส่วนสถานที่ที่อวี้ชิงลั่วเลือกกลับปลีกวิเวกยิ่งนัก นางต้องการความเงียบสงบ ต้องการความเย็นสบาย ดังนั้นจึงเลือกเรือนที่มุมหนึ่งของตำหนัก
ทว่าอวี้ชิงลั่วในเวลานี้กลับรู้สึกเสียใจเจียนตายที่มิได้เป็นเพื่อนบ้านกับเย่ซิวตู๋และสานสัมพันธ์ฉันเพื่อนบ้านให้ดี
อาภรณ์ที่นางสวมใส่ช่างรุ่มร่าม ทุกย่างก้าวให้ความรู้สึกราวกับลากกระสอบข้าวสารหนักหลายสิบชั่ง ให้ความรู้สึกทรมานมากเป็นพิเศษ
คนรับใช้ภายในตำหนักอ๋องซิวไม่เคยเห็นแม่นางอวี้แต่งกายเช่นนี้มาก่อน ต่างพากันจ้องมองอวี้ชิงลั่วที่เปลี่ยนแปลงไปจากเดิม แม้กระทั่งท่าทางในการเดินด้วยความรู้สึกประหลาดใจ ทั้ง ๆ ที่ท่าทางงดงามราวกับเทพธิดาบนสวรรค์ ทว่าบนใบหน้าของอวี้ชิงลั่วกลับมีสีหน้าโหดเหี้ยมฉาบฉายราวกับถูกลงโทษก็มิปาน
เยว่ซินและหงเย่ประคองนางคนละข้าง อวี้ชิงลั่วก้าวเดินไปได้ไม่กี่ก้าวก็แทบจะทิ้งน้ำหนักทั้งหมดลงกับพวกนาง ทรมานเกินไปแล้วจริง ๆ
ทว่าแม่นมเซียวกลับมีสายตาเฉียบแหลม เมื่อเห็นว่าแอบผ่อนปรน จึงไอกระแอมด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบหนึ่งเสียง “องค์หญิง หากล้มหน้าคะมำที่นี่ ภารกิจในวันนี้ถือว่าไม่ประสบความสำเร็จนะเพคะ”
อวี้ชิงลั่วถึงกับตะลึงงัน เงยหน้ายืดอกสูดหายใจเข้าลึก ๆ ผลักเยว่ซินและหงเย่ออกไป กล่าวอย่างจริงจังว่า “บอกแล้วไงว่าข้าเดินเองได้ พวกเจ้ามาประคองข้าเช่นนี้ มิเท่ากับกำลังทำร้ายข้าหรอกหรือ? ข้ารู้ว่าพวกเจ้าหวังดี แต่หลังจากนี้ไม่ต้องแล้ว”
หนานหนานได้ฟังคำรายงานจากคนรับใช้พอดี จึงรีบลากอวี้เป่าเอ๋อร์วิ่งออกมาดูความครึกครื้น ทำให้ได้ยินคำพูดเข้มงวดของอวี้ชิงลั่วพอดิบพอดี เขาถึงกับสะดุดจนร่างพุ่งทะยานไปด้านหน้าโดยพลัน
โชคดีที่อวี้เป่าเอ๋อร์ดึงเขาไว้ ทำให้ร่างที่กำลังหน้าคะมำไปด้านหน้ากลับมามั่นคง
“ท่านน้าเป่าเอ๋อร์ ท่านแม่ไร้ยางอายเกินไปแล้ว จริงหรือไม่ คำพูดไร้ยางอายขนาดนี้นางกลับพูดออกมา ข้าไม่มีหน้าจะไปพบหน้านางแล้ว”
อวี้เป่าเอ๋อร์เม้มริมฝีปากไม่พูดไม่จา อันที่จริงเขาอยากพูดว่า ‘หนานหนาน…เจ้ามันเป็นสีเขียวที่ยิ่งกว่าเขียว สีฟ้าที่ยิ่งกว่าฟ้า(1)อีกนะ’
อวี้เป่าเอ๋อร์แย้มยิ้มทว่ามิได้สนใจคำบ่นของหนานหนาน เขาเงยหน้ามองอวี้ชิงลั่วที่กำลังเดินด้วยท่วงท่าสง่างาม ดวงตาพลันเป็นประกาย “ท่านพี่งดงามจริง ๆ”
“…ท่านน้าเป่าเอ๋อร์ ท่านตาบอดแล้วหรือ?” หนานหนานใช้สายตา ‘หากสายตาของท่านไม่มีปัญหาก็คงเป็นสุนทรียศาสตร์ด้านความงามที่มีปัญหาเป็นแน่’ มองมาที่เขา หลังจากผ่านไปครู่หนึ่งจึงส่ายหน้า ตบบ่าอวี้เป่าเอ๋อร์ด้วยความรู้สึกเห็นอกเห็นใจเป็นอย่างยิ่ง กล่าวว่า “ไม่เป็นไรนะ ข้าเข้าใจ ถึงอย่างไรการที่ต้องถูกกักขังอยู่ในห้องเล็ก ๆ มืด ๆ หลายปีขนาดนั้น เป็นเรื่องธรรมดาที่ความสามารถในการมองเห็นสุนทรียศาสตร์ด้านความงามจะได้รับความเสียหาย ข้าไม่โทษท่านหรอก”
“…” อวี้เป่าเอ๋อร์มุมปากกระตุกวูบอย่างแรงสองหน ถึงกับส่ายหน้าพร้อมกับหลุดหัวเราะออกมาในทันที ดึงมือหนานหนานให้เดินไปด้านหน้า
หนานหนานถึงกับตกใจ รีบลากเขากลับมา “ท่านจะไปไหน?”
อวี้เป่าเอ๋อร์ประหลาดใจ “ก็ต้องไปกินข้าวเช้าสิ ท่านพี่อยู่ด้วยพอดี พวกเราไปด้วยกันเถิด”
“ท่านน้าบ้าไปแล้วรึ?” หนานหนานลากอวี้เป่าเอ๋อร์ให้ถอยออกมาอีกสองสามก้าว จากนั้นก็แอบชี้ไปที่แม่นมเซียวผู้เดินตามอยู่ด้านหลังอวี้ชิงลั่ว พูดด้วยความตื่นตกใจว่า “ไม่เห็นรึว่าแม่นมเซียวก็อยู่ที่นี่ด้วย? ข้าจะบอกอะไรให้นะ แม่นมเซียวเป็นคนประเภทที่ห้ามส่งเสียงดังขณะกินข้าวแม้แต่เสียงจ้อกแจ้กๆ นิดเดียวก็ไม่ได้ ท่านเองก็รู้ว่าถ้าข้าหิวจะเหม่อลอยได้ง่าย พอเหม่อลอยก็ส่งเสียงได้ง่าย ๆ หากแม่นมเซียวรู้เข้า นางคงได้บ่นจนหูดับตั้งแต่เช้ายันค่ำเป็นแน่”
อวี้เป่าเอ๋อร์กะพริบตาปริบ ๆ แม้เมื่อคืนเขาจะได้เห็นการบ่นฉอด ๆ ของแม่นมเซียวแล้ว ทว่าถึงขั้นเกินจริงขนาดนั้นเชียวหรือ? ไม่ว่าอย่างไรหนานหนานก็เป็นซื่อจื่อน้อย แม่นมเซียวคงไม่ถึงขั้นนั้นกระมัง
“หนานหนาน คงมิได้เกินจริงขนาดนั้นหรอกกระมัง” คิดไม่ถึงเลยว่าจะกลัวแม่นมเซียวถึงขั้นนี้ แม้แต่ตอนกินข้าวก็คิดจะหลีกเลี่ยง
“มิได้เกินจริงขนาดนั้นอะไรกัน? ท่านไม่เห็นการแต่งกายที่ท่านแม่สวมใส่ในวันนี้หรือ? ข้าจะบอกอะไรให้ ต้องเป็นความคิดของแม่นมเซียวเป็นแน่ โถ่เอ๊ย คนที่แม้แต่ท่านแม่ของข้ายังยอมเชื่อฟังแต่โดยดี ก็ต้องเกินจริงอยู่แล้ว”
อวี้เป่าเอ๋อร๋ลอบถอนหายใจ เมื่อเห็นหนานหนานขดตัวราวกับหนูเห็นแมว เขาจึงยอมประนีประนอม “แล้วพวกเราจะทำอย่างไร? พวกเรายุ่งตลอดทั้งคืน จะไม่กินข้าวก็คงไม่ได้”
“ชู่ ๆ อย่าพูดออกมาสิ ถ้าท่านแม่ได้ยินขึ้นมาได้จบเห่แน่” หากความสำเร็จที่ทำมาตลอดทั้งคืนถูกจับได้ ต่อให้เขาอุดหูก็เปล่าประโยชน์
……………………………………………………………………………………………………………………….
(1)青出于蓝而胜于蓝 เป็นสำนวน แปลว่าคนที่มีความเก่งกล้าสามารถยิ่งกว่าคนรุ่นก่อน
สารจากผู้แปล
ถือว่าฝึกวิชาการเป็นหวังเฟย 101 แล้วกันนะคะชิงลั่ว ตอนแรกอาจจะทรมานบ้าง
ไหหม่า(海馬)