อลวนรักหมอหญิงชิงลั่ว - ตอนที่ 419 มีลับลมคมใน
ตอนที่ 419 มีลับลมคมใน
ตอนที่ 419 มีลับลมคมใน
อวี้ชิงลั่วยิ้มด้วยรอยยิ้มมืดหม่น โค้งกายขยับเข้าใกล้เขา เอ่ยถามด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำว่า “ท่านกล้าให้ข้าป้อนอาหารให้ท่านจริงรึ? ท่านไม่กังวลว่าข้าจะใส่ยาพิษลงไปในนี้เลยหรือ?”
เรื่องนี้…ก็น่ากังวลจริง ๆ วิธีของสตรีผู้นี้เขาเองก็เคยเห็นมาก่อน ต่อให้ไม่วางยาพิษเขาถึงตาย คาดว่าก็คงทำให้เขาทรมาน
หลังจากชะงักไปครู่หนึ่ง มุมปากของเย่ซิวตู๋พลันยกขึ้นเป็นรอยยิ้ม เขาลดน้ำเสียงลงเช่นเดียวกัน พูดด้วยระดับเสียงที่มีแค่พวกเขาสองคนที่ได้ยิน “หากวันนี้เจ้ายอมป้อนข้าแต่โดยดี กลับไปข้าจะสั่งให้แม่นมเซียวถอดเครื่องแต่งกายนี้ของเจ้า ดีหรือไม่?”
อวี้ชิงลั่วชะงัก มองเขาด้วยท่าทีฉงนสงสัย
“ข้ารู้ว่าเจ้าไม่ชอบสวมใส่เสื้อผ้าที่มีความยุ่งยากซับซ้อนเช่นนี้ ก็ถือว่าพวกเราแลกเปลี่ยนกันอย่างเท่าเทียม” เย่ซิวตู๋เหลือบตามองนางปราดหนึ่ง ก่อนจะยกถ้วยที่วางอยู่บนโต๊ะขึ้นมาตรงหน้านาง “หืม?”
“ท่านแน่ใจนะว่าจะพูดโน้มน้าวใจแม่นมเซียวได้?”
“ข้าเคยผิดคำพูดเมื่อไรรึ?”
อวี้ชิงลั่วครุ่นคิด แม้ว่าเย่ซิวตู๋ผู้นี้จะเจ้าเล่ห์เพทุบายมาโดยตลอด ทว่าเขาก็ไม่เคยผิดคำพูด อย่างมากที่สุด…ก็แค่กลั่นแกล้งนางเท่านั้น ยกตัวอย่างเช่นเรื่องเงินสิบห้าล้านตำลึงก่อนหน้านี้
ทว่า อาภรณ์นี้ทำให้นางรู้สึกอึดอัดร้อนอบอ้าวจริง ๆ เมื่อเห็นท่าทางมั่นอกมั่นใจของเย่ซิวตู๋ คิดว่าคงไม่ใช่เรื่องใหญ่อันใด
หลังจากลังเลอยู่ครู่หนึ่ง นางจึงพยักหน้าตอบว่า “ก็ได้ ตกลง”
สิ้นเสียง นางจึงรับถ้วยโจ๊กจากมือของเย่ซิวตู๋ ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้มอ่อนโยนและเอาใจใส่ขณะเป่าลมไล่ร้อนสองสามครั้งด้วยความระมัดระวัง จากนั้นนำช้อนป้อนเข้าไปในปากของเขา พูดเสียงดังต่อหน้าแม่นมเซียวว่า “ไม่ยุ่งยากแม้แต่น้อย ในเมื่อมือของท่านอ๋องไม่สะดวก การป้อนท่านก็เป็นเรื่องสมควร”
แม่นมเซียวขมวดคิ้วมุ่น สุดท้ายก็มิได้กล่าวสิ่งใด
การป้อนโจ๊กหนึ่งถ้วยนี้ ไม่เห็นว่านางเล่นลูกไม้ใด ๆ เย่ซิวตู๋กินอาหารด้วยความสดชื่น อารมณ์ดีมากขึ้นเรื่อย ๆ ด้วย
ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะได้กินอิ่มดื่มจนหนำใจ อวี้ชิงลั่ววางตะเกียบในมือลง ออกแรงส่งสายตาไปหาเย่ซิวตู๋ แขนเสื้อกว้างพัดใส่หน้าเขาอย่างไม่หยุด
เย่ซิวตู๋กลับทำท่าทางราวกับมองไม่เห็น เอนตัวเข้ากับเก้าอี้อย่างสบาย ๆ หลุบตาพูดว่า “เจ้าเองก็กินอาหารเถิด กินเสร็จเราต้องไปสนามแข่งกันแล้ว”
อวี้ชิงลั่วถลึงตาใส่เขา ถลึงตาใส่ด้วยสายตาดุดัน ไอ้คนสารเลว เคยได้ยินคำว่ากลืนน้ำลายตัวเองหรือไม่? กลืนให้ตาย กลืนให้ตาย กลืนให้ตาย กลืนให้ตายไปเลย!!!
แม่นมเซียวพยักหน้า “องค์หญิง นี่ก็สายแล้ว”
อวี้ชิงลั่วฝืนยิ้มให้แม่นมเซียว ก่อนจะรีบหันกลับมาถลึงตาใส่เย่ซิวตู๋ปราดหนึ่ง จากนั้นจึงจ้องโจ๊กและซาลาเปาที่วางอยู่ตรงหน้า ออกแรงกัดลงไปราวกับพวกมันคือเนื้อของเย่ซิวตู๋
เห็นท่าทางโมโหฉุนเฉียวของนาง ดวงตาเจือรอยยิ้มของเย่ซิวตู๋จึงหรี่ลง
ผ่านไปครู่หนึ่ง เมื่อเห็นว่านางกินเสร็จแล้ว จึงเงยหน้าขึ้น พูดกับแม่นมเซียวด้วยท่าทางเฉยเมย “แม่นม การแต่งองค์ทรงเครื่องและประทินผิวของชิงเอ๋อร์สะดุดตาเกินไป เป็นเพราะเรื่องเมื่อวาน ตอนนี้ชิงเอ๋อร์ต้องเจอกับการต่อสู้ทางสังคมที่ดุเดือดรุนแรง หากวันนี้นางยังทำตัวโอ้อวดเช่นนี้จนกลายเป็นจุดสนใจของผู้คน เกรงว่าคงได้ทำให้คนที่ไม่พอใจชิงเอ๋อร์ยิ่งทวีความอิจฉาริษยามากยิ่งขึ้น”
แม่นมเซียวชะงักไปครู่หนึ่ง หันมองไปทางอวี้ชิงลั่วที่กำลังสะบัดแขนเสื้อตัวโคร่งแม้แต่การกินอาหารก็ยังต้องใช้กำลังวังชา จู่ ๆ นางก็รู้สึกว่า…ท่านอ๋องซิวพูดจามีเหตุผลนัก
การเปลี่ยนแปลงทางสีหน้าของแม่นมเซียวมิอาจหลุดพ้นจากสายตาของเย่ซิวตู๋ได้ เขาแย้มยิ้มกล่าวต่อไปว่า “อีกอย่าง ชิงเอ๋อร์เองก็ไม่คุ้นชินกับการแต่งกายเช่นนี้ หากมีคนร้ายเล่นลูกไม้ดักขานางจากทางด้านหลัง ถึงเวลานั้นคนที่ต้องอับอายก็คือชิงเอ๋อร์มิใช่หรือ? ยิ่งไปกว่านั้นรูปร่างหน้าตาของชิงเอ๋อร์ก็ดึงดูดความสนใจเกินไป หากมีผีเสื้อภมรผู้หลงระเริง [1] คิดไม่ซื่อและไม่เกรงกลัวต่อความตายเหล่านั้น คนที่หงุดหงิดก็คือตัวเราเอง”
เย่ซิวตู๋พูดไปพูดมา ประโยคสุดท้ายนี้ต่างหากที่เป็นจุดสำคัญที่สุดของเขา
และเป็นเพราะประโยคสุดท้ายของเขาที่ทำให้มุมปากของแม่นมเซียวถึงกับผุดรอยยิ้ม นางพยักหน้าเห็นด้วยท่าทางชื่นมื่น “ท่านอ๋องพูดถูกเพคะ หงเย่ พาองค์หญิงกลับไปเปลี่ยนอาภรณ์ที่ห้องเถิด”
พูดไปพูดมา วันนี้แม่นมเซียวทรมานอวี้ชิงลั่วขนาดนี้ ก็เพราะอยากให้ท่านอ๋องซิวได้เห็นรูปร่างหน้าตาที่ชวนหวั่นไหวของอวี้ชิงลั่วนี้ ในเมื่อบรรลุเป้าหมายทำให้ท่านอ๋องทึ่งแล้ว การผัดหน้าประทินโฉมเช่นนี้ก็ไม่จำเป็นอีกต่อไป อีกอย่างท่านอ๋องก็ดูเหมือนจะหึงหวงที่องค์หญิงแต่งองค์ทรงเครื่องเช่นนี้ออกจากตำหนักเสียด้วย
อวี้ชิงลั่วแทบจะกลืนโจ๊กคำสุดท้ายที่อยู่ในปากไม่ลง นางมองหน้าเย่ซิวตู๋และแม่นมเซียวสลับไปมาด้วยความตกตะลึงอยู่หลายหน จนกระทั่งหงเย่เดินเข้ามาประคองให้นางลุกขึ้นยืน มุมปากของอวี้ชิงลั่วถึงกับกระตุกขณะเหลือบมองเย่ซิวตู๋ที่ทำท่าทางภาคภูมิใจ เหตุใดนางถึงรู้สึกราวกับว่าแม่นมเซียวลำเอียงไปทางเย่ซิวตู๋เป็นพิเศษ?
ตอนแรกนางก็พูดชักแม่น้ำทั้งห้าไปยกหนึ่งแล้ว ผลลัพธ์ที่ได้กลับถูกแม่นมเซียวยอกย้อนกลับมา เหตุใดเย่ซิวตู๋พูดแค่เพียงสองประโยค แม่นมเซียวกลับไม่มีความคิดเห็นใด ๆ? นี่มันปฏิบัติแตกต่างกันเกินไปหน่อยกระมัง?
อวี้ชิงลั่วเกิดความรู้สึกขาดความสมดุลภายในใจ ตอนที่กลับห้องนางก็ไม่สนใจแล้วว่าชุดจะหนักราวกับลากข้าวสารกี่สิบชั่ง รีบเดินอย่างรวดเร็ว แม้กระทั่งหงเย่และเยว่ซินก็ยังต้องวิ่งเหยาะ ๆ กว่าจะไล่ตามทัน
โชคดีที่ในที่สุดก็มาถึงเป้าหมาย เมื่อได้เห็นรูปร่างหน้าตาที่ดูเรียบง่ายและสะอาดสะอ้านหน้ากระจกทองเหลือง ในที่สุดอวี้ชิงลั่วจึงถอนหายใจออกมาอย่างเนิบช้า
แม่นมเซียวก็โหดเสียเหลือเกิน หากให้นางแต่งองค์ทรงเครื่องที่มีน้ำหนักหลายสิบชั่งตลอดทั้งวันจริง ๆ ต่อให้ไม่ร้อนตายก็คงได้ถูกน้ำหนักชุดทับจนตาย
หงเย่เปลี่ยนทรงผมให้นางแล้ว แม้ว่าจะแตกต่างจากเมื่อครู่ ทว่าก็ยังดูมีทักษะกว่าก่อนหน้านี้เล็กน้อย เยว่ซินยืนมองอยู่ข้าง ๆ ก็รู้สึกจักจี้หัวใจ ดูเหมือนว่าหงเย่จะมีความช่ำชองในการแต่งกายอย่างมาก จนนางเองก็อยากเรียนรู้ด้วยเช่นกัน
เมื่อเพิ่มปิ่นปักผมชิ้นสุดท้ายเข้าไป หงเย่จึงเก็บมือด้วยรอยยิ้ม “องค์หญิง เรียบร้อยแล้วเพคะ”
อวี้ชิงลั่วมองครู่หนึ่ง…เอ่อ…แม้ว่าบนศีรษะของนางจะไม่ได้มีแค่ปิ่นปักผมหยกเพียงอันเดียว และมีเครื่องประดับศีรษะเพิ่มเข้ามาอีกสองชิ้น แต่ก็มีน้ำหนักไม่มาก ดู ๆ ไปแล้วไม่เลวเลย นางจะฝืนใจออกจากตำหนักด้วยสภาพแบบนี้ก็แล้วกัน
อวี้ชิงลั่วสะบัดแขนเสื้อเบา ๆ เดินออกจากห้องอีกครั้งด้วยความรู้สึกพึงพอใจ
รถม้าที่จะไปสนามแข่งขันมาจอดเทียบท่ารออยู่หน้าประตูตำหนักอ๋องนานแล้ว เย่ซิวตู๋นั่งอยู่บนหลังม้าตัวสูงใหญ่ที่นำอยู่ด้านหน้า แม้ว่าใบหน้าดูเย็นชา ทว่าสายตากลับมองอวี้ชิงลั่วที่เดินออกจากประตูด้วยสายตาอ่อนโยน
“ขึ้นรถเถิด” อืม เป็นแบบนี้จะได้ไม่…ดึงดูดให้ผู้คนสนใจมากเกินไป
อวี้ชิงลั่วขึ้นรถแล้ว ค้นพบว่าภายในรถไม่มีใครนั่งอยู่แม้แต่คนเดียว นางเงยหน้าขึ้นด้วยความประหลาดใจ ก็พบว่าเย่ซิวตู๋ลงจากม้าตั้งแต่เมื่อไรมิอาจทราบได้ จากนั้นจึงแทรกตัวเข้ามาด้านในรถม้าของนางจนเกิดเสียง ‘สวบ’
อวี้ชิงลั่วเหลือบตามองเขาปราดหนึ่ง “ท่านอ๋อง แม่นมเซียวนั่งอยู่ในรถม้าคันหลัง หากนางรู้เข้า ระวังท่านจะถูกบิดจนหูหลุด”
“แม่นมเซียวไม่กล้าทำอะไรเราหรอก ส่วนเจ้าน่ะรึ…” เย่ซิวตู๋เลือกท่าทางในการนั่งให้สบาย พิงเข้ากับรถม้าและเริ่มหลับตาพักสมอง
อวี้ชิงลั่วขบฟันกรอด ไอ้คนสารเลวนี่จี้ใจดำนางเก่งเสียเหลือเกิน
นางเงื้อเท้าเตะเขาแรง ๆ หนึ่งที จากนั้นก็ได้ยินเสียงรถม้าเริ่มขยับเสียงดังกรับ ๆ คิ้วพลันขมวดพลางเอ่ยถามเขาว่า “หนานหนานเล่า?”
“อ๋อ เขาบอกว่ามือได้รับบาดเจ็บ อีกอย่างการแข่งขันในวันนี้ก็ไม่มีอะไรน่าดู จึงไม่ไป บอกจะอยู่ในตำหนักกับเป่าเอ๋อร์ ส่วนหลานเฉิงมีธุระจึงเข้าวังไปก่อนแล้ว”
คิ้วของอวี้ชิงลั่วถึงกับขมวดมุ่นทันใด หนานหนานจะยอมขลุกตัวอยู่แต่ในตำหนักอ๋องรึ? ไม่ถูกสิ ต้องมีลับลมคมในเป็นแน่
……………………………………………………………………………………………………………………….
[1] ผีเสื้อภมรผู้หลงระเริง (狂蜂浪蝶) หมายถึง คนที่ชอบเข้ามาเกาะแกะ ทำพฤติกรรมหยิบหย่งไม่เป็นโล้เป็นพาย
สารจากผู้แปล
เขารวมหัวกันเป็นขบวนการน่ะชิงลั่ว ก็ไม่แปลกที่แม่นมจะลำเอียงไปทางท่านอ๋องมากกว่า
ไหหม่า(海馬)