อลวนรักหมอหญิงชิงลั่ว - ตอนที่ 432 เฆี่ยนตีด้วยไม้ไปพร้อม ๆ กันเถิด
ตอนที่ 432 เฆี่ยนตีด้วยไม้ไปพร้อม ๆ กันเถิด
ตอนที่ 432 เฆี่ยนตีด้วยไม้ไปพร้อม ๆ กันเถิด
ทหารเจ้าหน้าที่ที่นำพวกเขาเข้ามาถึงกับเข่าอ่อน เดิมทีใต้เท้าเย่รู้อยู่แล้วว่าเย่ซิวตู๋ต้องมาที่นี่ จึงสั่งให้เขาไปยืนต้อนรับหน้าประตู แต่นั่นก็เป็นเพราะต้องการถ่วงเวลาให้เหวินเทียนได้รับความทรมานมากขึ้น
แน่นอนว่า เย่ซิวตู๋คงบุกรุกเข้าไปโดยไม่ได้รับอนุญาต หากเป็นเช่นนี้ คนที่ไร้มารยาทก็คือท่านอ๋องซิว ใต้เท้าเย่ย่อมมีความมั่นใจที่จะลงโทษท่านอ๋องซิวได้
ใครจะไปคิดว่าตอนนี้กลับกลายเป็นหนานหนานที่วิ่งนำเข้ามาก่อน ส่วนท่านอ๋องซิวก็แค่ไปห้องโถงใหญ่…ก็เพื่อตามบุตรชายกลับมาเท่านั้น
เหตุผล…กลับอยู่ทางฝั่งท่านอ๋องซิวแล้ว
หนานหนานถลึงตาโตใส่ใต้เท้าเย่ด้วยความโกรธขึ้ง ริมฝีปากเล็ก ๆ เม้มเข้าหากันจนแน่น แก้มป่องจนแทบแตก ท่าทางเต็มไปด้วยความเกลียดชังเล็ก ๆ นั้นกลับทำให้ภายในใจของเจ้าหน้าที่ทหารที่อยู่ข้าง ๆ สั่นสะท้านขึ้นมาน้อย ๆ ไม้ที่ฟาดเหวินเทียนก็หยุดลงด้วย
เหวินเทียนเงยหน้าขึ้นพร้อมกับเหงื่อที่เปียกโชกทั้งศีรษะ ร่างกายของเขาถูกทรมานไปยกใหญ่แล้ว บนแผ่นหลังเต็มไปด้วยเลือด ขาทั้งสองข้างบิดเบี้ยว ดูเหมือนจะถูกตีจนขาหักแล้ว
ครั้นเห็นหนานหนาน เขาถึงกับชะงัก ตะโกนด้วยน้ำเสียงแหบพร่า “เจ้ามาทำอะไร?”
อย่าบอกนะ…อย่าบอกนะว่าหนานหนานวิ่งมาถึงที่นี่เพียงลำพัง? บัดซบ เผิงอิงมัวทำอะไรอยู่ ผู้พิทักษ์ทมิฬเหล่านั้นมัวทำอะไรกันอยู่? หรือไม่มีใครห้ามหนานหนานสักคนเลยรึ?
ใต้เท้าเย่ได้สติกลับคืนมา ยิ้มใส่หนานหนานด้วยรอยยิ้มมืดหม่น ยกฝ่ามือขึ้นทันใด “ตีต่อไป”
“หยุด!” สิ้นเสียงของเขา จู่ ๆ ด้านนอกก็มีเสียงทุ้มต่ำเสียงหนึ่งดังขึ้น ฝีเท้าของเย่ซิวตู๋ดูนิ่งสงบ ทว่าเมื่อสายตาจรดลงบนแผ่นหลังของเหวินเทียนกลับดูเย็นชาและเหี้ยมโหด
“ใต้เท้าเย่ ไม่ทราบว่าคนของข้าทำอะไรผิด เจ้าถึงได้กดและทุบตีเขาเช่นนี้?” เย่ซิวตู๋จูงมือของหนานหนาน ก้าวเท้าเดินเข้าไปด้านในโถงใหญ่ทีละก้าว
เจ้าหน้าที่ทหารที่ยืนเฝ้าอยู่สองฝั่งเห็นสายตาของใต้เท้าเย่ก็คิดจะเข้าไปห้าม ทว่ายังไม่ทันได้เดินเข้าใกล้ก็ต้องชะงักงันไปกับรังสีที่แผ่ซ่านออกจากร่างกายของเย่ซิวตู๋ ราวกับว่าหากเข้าใกล้เขาอีกนิด ลำคอคงคล้ายกับถูกคนบีบไว้จนมิอาจหายใจได้
เย่ซิวตู๋มิได้ทำตัวหยิ่งดูอวดเก่ง รอจนกระทั่งเดินมายืนข้างกายของเหวินเทียนแล้ว ฝีเท้าพลันหยุดชะงักพร้อมทั้งสายตาที่อ่อนโยนลง ทว่าเมื่อเงยหน้าขึ้นอีกหนดวงตาพลันเย็นยะเยือกมากยิ่งขึ้น
ใต้เท้าเย่นั่งตัวตรงอยู่กับที่ด้วยท่าทางมั่นคง ครั้นแลเห็นเย่ซิวตู๋มาถึง จึงลุกขึ้นยืนทำความเคารพตามมารยาท กล่าวเสียงดังฟังชัดว่า “ท่านอ๋องซิว กระหม่อมกำลังพิจารณาคดี ท่านอ๋องซิวบุกรุกเข้ามาโดยไม่ได้รับอนุญาตอย่างไร้มารยาทเช่นนี้ ไม่เหมาะสมเลยพ่ะย่ะค่ะ”
“บุกรุกเข้ามาโดยไม่ได้รับอนุญาตอย่างไร้มารยาท?” เย่ซิวตู๋หัวเราะพรืด “ใต้เท้าเย่ ลูกชายของเราวิ่งหลงเข้ามาที่นี่ เราเป็นห่วงกลัวว่าเขาจะวิ่งชนใต้เท้าที่กำลังพิจารณาคดีจึงวิ่งตามมา คิดไม่ถึงเลยว่าเมื่อเดินมาถึงที่นี่ กลับพบว่าใต้เท้าเย่กำลังทุบตีคนของเรา ใต้เท้าเย่ เจ้าจะอธิบายให้เราฟังได้หรือไม่?”
ใต้เท้าเย่ขมวดคิ้วมุ่น มองไปทางเจ้าหน้าที่ทหารที่วิ่งตามมาที่เอาแต่ก้มหน้าเส้นผมสั่นระริก สีหน้าพลันแข็งทื่อเล็กน้อย ท่านอ๋องซิวไม่ใช่ตัวละครที่จะรับมือได้ง่าย ๆ เลย
“ท่านอ๋อง ผู้อารักขาเหวินทำผิดกฎหมาย สังหารคน การปฏิบัติกับนักโทษ กระหม่อมย่อมต้องจัดการอย่างเป็นกลาง ท่านอ๋องมาที่นี่ในวันนี้ หรือเป็นเพราะจะมอบพยานบุคคลให้กระหม่อม?”
เย่ซิวตู๋ยิ้ม “พยานบุคคล? วันนี้ที่เรามาที่นี่ก็เพราะอยากถามใต้เท้าเย่สักหน่อย เมื่อไม่กี่วันก่อนองค์หญิงเทียนฝูถูกโจมตีโดยบุรุษหน้ากากดำภายในเมืองหลวง ตอนนี้เวลาก็ล่วงเลยมานานขนาดนี้แล้ว ใต้เท้าเย่ก็น่าจะตรวจพบเบาะแสบางอย่างได้แล้วมิใช่รึ? คิดไม่ถึงเลยว่าจะได้มาเห็นใต้เท้าเย่กำลังทรมานคนของเรา อะไรกัน หรือว่าใต้เท้าเย่จับบุรุษหน้ากากดำได้แล้ว?”
“…” ใต้เท้าเย่สีหน้าแข็งทื่อ คิดไม่ถึงเลยว่าเย่ซิวตู๋จะพูดถึงเรื่องนั้น เขาเม้มปากมองรอยยิ้มเย้ยหยันที่ปรากฏอยู่บนใบหน้าของเย่ซินตู๋ ภายในใจแอบรู้สึกหงุดหงิด “เรื่องจับตัวบุรุษหน้ากากดำนั่น กระหม่อมย่อมทำอย่างสุดความสามารถ แต่เหวินเทียนสังหารคนบนถนน มีทั้งพยานวัตถุและพยานบุคคล กระหม่อมย่อมต้องไต่สวนเรื่องนี้ให้ชัดเจน”
เย่ซิวตู๋พยักหน้า “ฆ่าคนบนท้องถนน เรื่องนี้นับว่าชั่วร้ายยิ่งนัก แต่เหวินเทียนเป็นคนของตำหนักอ๋องซิว เขาออกจากตำหนักอยู่ด้านนอกก็เป็นดั่งตัวแทนของท่านอ๋องซิวผู้นี้ หากเขามีเจตนาไม่ดีจริง ๆ เราเองก็รับไม่ได้เช่นกัน ใต้เท้าเย่ ไม่ทราบว่าเราขอนั่งฟังอยู่ข้าง ๆ ได้หรือไม่?”
“คำสั่งของท่านอ๋อง กระหม่อมไม่กล้าฝ่าฝืน”
คำพูดเช่นนี้ กลับดูราวกับว่าเย่ซิวตู๋ใช้อำนาจบีบบังคับผู้อื่น
หนานหนานดวงตาแดงก่ำแล้ว เมื่อจ้องมองแผ่นหลังอันเหวอะหวะของเหวินเทียน ร่างเล็ก ๆ ก็สั่นระริกไม่หยุด ผ่านไปเนิ่นนาน กว่าจะถูกเย่ซิวตู๋ลากมานั่งข้าง ๆ
ใต้เท้าเย่เคาะไม้ปลุกสติ ยกฝ่ามือขึ้น “ตีต่อไป ตีจนกว่าเขาจะยอมรับ”
“ใต้เท้าเย่พูดเช่นนี้ คิดจะให้เขายอมรับผิดเพราะทนความทรมานไม่ไหวกระนั้นรึ?” เย่ซิวตู๋ยกแก้วน้ำชาที่วางอยู่ข้าง ๆ ขึ้นมา ทว่าเขากลับขยับฝาแก้วเบา ๆ จนเกิดเสียง ‘แกรก’ ก่อนจะวางแก้วกลับไปยังตำแหน่งเดิม
เจ้าหน้าที่ทหารที่ถือไม้จะตีก็ไม่ได้ จะหยุดก็ไม่ได้เช่นกัน จึงทำได้เพียงแต่ยืนค้างอยู่อย่างนั้น ใต้เท้าเย่คือเจ้านายของพวกเขา พวกเขาไม่กล้าฝ่าฝืน ทว่าท่านอ๋องซิวกลับเป็นถึงองค์ชาย ทั้งยังเป็นองค์ชายที่ได้รับความโปรดปราน ยิ่งทำให้พวกเขาไม่กล้ายั่วโทสะเข้าไปใหญ่
ใต้เท้าเย่ลอบสูดหายใจเข้า หันหน้ามองเย่ซิวตู๋พลางกล่าว “ท่านอ๋องซิว คนคนนี้มีหลักฐานทั้งพยานวัตถุและพยานบุคคล เขาเล่นลิ้นไม่ได้หรอกพ่ะย่ะค่ะ”
“อ๋อ…พยานบุคคลคือใคร? แล้วพยานวัตถุคือสิ่งใด?”
“เหอะ อีกครู่หนึ่งท่านอ๋องซิวอย่าได้ลำเอียงไปทางผู้อารักขาของท่านก็แล้วกัน ทหาร นำตัวอาฝูเข้ามา”
เย่ซิวตู๋ยิ้ม ก่อนจะยกแก้วน้ำชาที่วางอยู่ข้าง ๆ ขึ้นมาแกว่งอีกสองครั้ง เพียงไม่นานก็พบอาฝูที่ถูกนำตัวเข้ามาด้วยท่าทางหวาดกลัว
อาฝูเอาแต่ก้มหน้าก้มตา ดูเหมือนขี้ขลาดตาขาวยิ่งนัก เขาคารวะเย่ซิวตู๋ ก่อนจะหันไปคารวะใต้เท้าเย่ จากนั้น เขาก็เล่าคำพูดที่เคยพูดตอนอยู่บนถนนก่อนหน้านี้ให้ฟังใหม่ทั้งหมดอีกครั้งอย่างละเอียด
เย่ซิวตู๋ได้ยินก็ทำแค่เพียงยิ้มเบา ๆ หันกลับไปมองเหวินเทียน “คำพูดที่อาฝูพูด เป็นเรื่องจริงรึ?”
“ท่านอ๋อง…แค่ก ๆ…ฆาตกรตัวจริงคืออาฝู เขาเป็นคนฆ่าแต่โยนความผิดให้กระหม่อม…แค่ก…กระหม่อมถูกใส่ร้ายพ่ะย่ะค่ะ”
เย่ซิวตู๋เลิกคิ้วขึ้น “อ๋อ…เช่นนั้นเจ้าก็ช่วยเล่าเรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้นในตอนนั้นให้เราฟังสิ”
น้ำเสียงของเหวินเทียนเริ่มแหบพร่า เขารู้สึกทรมานลำคออย่างมาก ทว่ากลับเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในตอนนั้นได้ชัดเจนอย่างน่าประหลาด และยังมี…คำพูดของนักเล่าเรื่องที่บอกให้ปล่อยลูกเมียของเขาที่ยังพูดไม่จบประโยคนั้นด้วย
เย่ซิวตู๋พยักหน้า มองคนที่นั่งอยู่ในห้องโถงใหญ่ “ใต้เท้าเย่ ตอนนั้นภายในตรอกไม่มีใคร ทั้งคู่ต่างก็พูดจาอย่างมีเหตุผล ในเมื่อเหวินเทียนน่าสงสัย อาฝูนั่นก็น่าสงสัยเช่นเดียวกัน”
“ท่านอ๋อง กระหม่อมยังมีพยานวัตถุด้วย”
เย่ซิวตู๋หัวเราะหนึ่งเสียง รับกระดาษแผ่นนั้นมาดูปราดหนึ่ง ก่อนหันไปถามหนานหนานที่นั่งอยู่ด้านข้าง “กระดาษแผ่นนี้ของใคร?”
“กระดาษแผ่นนี้เป็นของท่านน้าเป่าเอ๋อร์ อยู่บนตัวของท่านน้าเป่าเอ๋อร์ตลอดเวลา” หนานหนานตอบกลับด้วยสีหน้างเคร่งขรึมและจริงจัง
เย่ซิวตู๋ยื่นกระดาษกลับไป “ใต้เท้าเย่ กระดาษแผ่นนี้มิได้หล่นออกมาจากบนตัวของเหวินเทียน แต่อยู่บนตัวของจวิ้นอ๋องน้อยแห่งอาณาจักรเทียนอวี่ หากอ้างตามที่ใต้เท้าเย่พูด จวิ้นอ๋องน้อยก็เป็นผู้ต้องสงสัยเช่นเดียวกัน? เช่นนั้นใต้เท้าเย่ก็ควรนำตัวจวิ้นอ๋องน้อยมาด้วย เฆี่ยนตีด้วยไม้ไปเพื่อสอบสวนไปพร้อม ๆ กันเสียเลยสิ?”
…………………………………………………………………………………………………………………………
สารจากผู้แปล
บีบมันเข้าไปค่ะ ให้มันจำนนด้วยหลักฐาน คนพวกนี้ต้องใช้หลักฐานมามัดตัวมัน มันถึงจะยอมรับ
ไหหม่า(海馬)