อลวนรักหมอหญิงชิงลั่ว - ตอนที่ 433 ท่านอ๋องไม่มี...แต่เรามี
ตอนที่ 433 ท่านอ๋องไม่มี…แต่เรามี
ตอนที่ 433 ท่านอ๋องไม่มี…แต่เรามี
ใต้เท้าเย่ถึงกับชะงักงันไปชั่วขณะหนึ่งเพราะถูกเขาพูดตอกหน้า เอ่ยปากพูดด้วยความไม่มั่นใจ “ตอนนั้นอวี้เป่าเอ๋อร์อยู่ในโรงเตี๊ยมยังไม่เคยได้ก้าวเท้าออกแม้แต่ก้าวเดียว มีข้อพิสูจน์ว่าเขาไม่ได้อยู่ในที่เกิดเหตุ”
“อย่างนั้นรึ? นั่นก็หมายความว่า กระดาษแผ่นนั้นถูกคนนำไปจากตัวของเป่าเอ๋อร์ คนอื่นที่ว่านี้…อาจเป็นเหวินเทียน และก็อาจเป็นอาฝูได้เช่นกัน บางทีหนึ่งในนี้อาจเข้าใกล้เป่าเอ๋อร์และขโมยไป และอาจนำไปจากตัวเป่าเอ๋อร์ก่อนที่นักเล่าเรื่องคนนั้นจะออกจากโรงเตี๊ยม ใต้เท้าเย่ เจ้าว่าเราพูดถูกหรือไม่?”
ใต้เท้าเย่สีหน้าบิดเบี้ยวโดยพลัน ผ่านไปครู่ใหญ่จึงถอนหายใจออกมาเฮือกหนึ่ง กล่าวว่า “ใช่…”
“ดังนั้น ผู้ต้องสงสัยจึงเหลือแค่สองคน ซึ่งก็คือเหวินเทียนและอาฝู ใต้เท้าเย่คิดว่าถูกต้องหรือไม่?”
ใต้เท้าเย่หมดแรงคัดค้าน คนคนนั้นพูดถูก เรื่องนี้เกรงว่าคงมิอาจเอาเปรียบได้แล้ว
เพียงแต่ จะปล่อยให้ท่านอ๋องซิวจูงจมูกเดินเช่นนี้มิได้
“ท่านอ๋อง นักเล่าเรื่องถูกปลิดชีพด้วยมีดเดียว อู่จั้ว [1] ได้ทำการพิสูจน์แล้ว คนที่ไม่มีวรยุทธ์มิอาจทำได้อย่างสมบูรณ์ถึงเพียงนี้ แม้แต่เลือดสักหยดก็ยังไม่เปื้อน อาฝูเป็นแค่คนแก่อ่อนแอไม่มีแรงแม้กระทั่งจะมัดไก่ด้วยซ้ำ มิอาจเทียบชั้นกับฝีมือไม่ธรรมดาของเหวินเทียนได้”
เย่ซิวตู๋หัวเราะพรืด “งั้นรึ? หนานหนาน เจ้าไปดูอาฝูหน่อย สังเกตลมปราณของเขาดู”
“ขอรับ” หนานหนานนั่งไม่ติดและคิดอยากลงไปตั้งนานแล้ว เมื่อได้ยินคำพูดของเย่ซิวตู๋ ก็รีบวิ่งไปตรงหน้าอาฝูโดยไม่พูดพร่ำทำเพลง
ใต้เท้าเย่ก็ห้ามไว้ ทว่าหนานหนานกลับทำแค่เพียงย่อตัวลง ดูเหมือนจะไม่ได้ทำอะไรเลย เขามองบางสิ่งจากบนใบหน้าของอาฝูจริง ๆ ท่าทางเล็ก ๆ ที่ดูไร้เดียงสาเช่นนั้น ก็มีแค่เด็กวัยห้าขวบเท่านั้นที่ทำได้
ภายในใจของใต้เท้าเย่เริ่มไม่คิดสนใจ เขาไม่ได้เข้าไปดูการแข่งขันภายในสนามแข่ง จึงไม่รู้ว่าการแสดงภายในการแข่งวรยุทธ์เป็นเช่นไร ยิ่งไม่ทราบว่าสีหน้าเป็นผู้บริสุทธิ์ไร้เดียงสาของหนานหนานถือเป็นอาวุธที่ได้เปรียบที่สุดของเขามาโดยตลอด
เขาไม่ได้ห้าม อาฝูก็ไม่ได้พูดอะไรเช่นกัน
ทว่าตอนที่หนานหนานขยับเข้าใกล้ ลมหายใจก็ค่อย ๆ หนักขึ้น ร่างกายแอบเกร็ง ศีรษะก้มต่ำลงยิ่งขึ้นแล้ว
หนานหนานมองปราดหนึ่ง ผ่านไปครู่หนึ่งจึงถอนหายใจ จู่ ๆ ก็ยื่นมือออกไปตบบ่าของอาฝู ก่อนดึงกลับมาอย่างรวดเร็ว ถอนหายใจกล่าวว่า “ท่านพ่อ แบบนี้คงดูไม่ออกจริง ๆ”
ระหว่างที่พูด เขาก็เริ่มปีนกลับขึ้นไปนั่งบนเก้าอี้ของตนเองอีกครั้งอย่างท้อแท้
ใต้เท้าเย่กระตุกมุมปากเย้ยหยัน ตอนที่คิดจะเอ่ยปากกล่าว อาฝูที่อยู่ด้านข้างพลันเงยหน้าขึ้น สีหน้าบิดเบี้ยวด้วยความเจ็บปวดทรมาน รีบลุกขึ้นจากพื้นพร้อมกับร้องเสียงดังลั่น “อ๊ากก…”
ระหว่างที่เขากำลังพูด จู่ ๆ ก็ยื่นมือออกไปตบเจ้าหน้าที่ทหารที่ยืนอยู่ข้าง ๆ
เจ้าหน้าที่ทหารยังไม่ทันได้สติ ร่างของเขาก็ถูกตบจนกระเด็นลอยออกไปอย่างแรง กระแทกเข้ากับเสาที่อยู่ด้านข้าง ก่อนจะไหลลงอย่างช้า ๆ กระอักเลือดสด ทั้งยังได้รับบาดเจ็บสาหัส
ทุกคนที่อยู่ในห้องโถงใหญ่ถึงกับตกตะลึง สายตามองอาฝูที่พุ่งโจมตีเข้าใส่คนอื่นราวกับบ้าคลั่ง เจ้าหน้าที่ทหารเหล่านั้นถึงกับเกิดความยุ่งเหยิงขึ้นโดยพลัน รีบหยิบไม้ตะบองและดาบหมายขัดขวางไว้ตรงหน้าเขา
ใต้เท้าเย่มองเจ้าหน้าที่ทหารที่ถูกตบจนกระเด็นออกไปคนนั้น สีหน้าเปลี่ยนเป็นขาวซีดในทันที
อาฝูทางฝั่งนี้จับคนที่สองเหวี่ยงออกไปแล้ว คนอื่น ๆ ยิ่งตื่นตกใจ
เย่ซิวตู๋มองอยู่ครู่หนึ่ง จึงตรงเข้าไปหาอาฝู คว้าไหล่ของเขาพร้อมกับออกแรงตบอย่างแรง เข็มที่ถูกหนานหนานปักเข้าไปเมื่อครู่ถูกเขาดึงออกมาแล้ว
“หยุด ห้องโถงใหญ่ใช่สถานที่ที่เจ้าจะแสดงท่าทีเหิมเกริมเช่นนี้รึ” เย่ซิวตู๋กระทืบเข้าที่หัวเข่าของอาฝู อาฝูที่ได้สติสัมปชัญญะกลับคืนมารู้สึกได้ว่าร่างกายอ่อนยวบ ร่างของเขาคุกเข่าลงไปกองอยู่บนพื้นอีกครั้งหนึ่ง
เย่ซิวตู๋หัวเราะพรืด หันไปกล่าวกับเจ้าหน้าที่ทหารข้าง ๆ ที่อยู่ในท่าทางระมัดระวังตัวด้วยน้ำเสียงขรึม “ยังไม่รีบไปหยิบเชือกมามัดตัวไวอีก? หรือจะรอให้เขาอาละวาดอีกครั้ง ทำร้ายเรากับซื่อจื่อน้อย?”
“พ่ะย่ะค่ะ…พ่ะย่ะค่ะ…” เพียงไม่นานก็มีคนหยิบเชือกมามัดอาฝูไว้
ในตอนนี้ อาฝูได้สติกลับคืนมา และเข้าใจได้ว่าตนเองทำอะไรไว้ ทว่า…ทว่าเมื่อครู่เขารู้สึกปวดบ่ามาก นอกจากดวงตาที่แดงก่ำ เขาก็ไม่มีความคิดใด ๆ
ตอนนี้เขาใจเย็นลงแล้ว จึงทำให้เขาเข้าใจแล้ว
เด็กคนนั้นต้องลงมือตอนที่ตบบ่าของเขาเมื่อครู่เป็นแน่ บัดซบ เขาประเมินเด็กคนนี้ต่ำเกินไปแล้วจริง ๆ
อาฝูหันกลับไปมองหนานหนานโดยพลัน หนานหนานถลึงตาด้วยสายตาเหี้ยมโหดกลับไป สายตาคู่นั้นกำลังบอกเขาอย่างชัดเจนว่า ‘หากเป็นไปได้ เข็มนั้นคงปักเข้าไปในจุดตายของเขา’
เย่ซิวตู๋ยิ้ม ช้อนสายตามองใต้เท้าเย่ที่มีสีหน้าค่อย ๆ ฟื้นฟูกลับมา เลิกคิ้วเอ่ยถามว่า “ใต้เท้าเย่ ตอนนี้ยังคิดว่าอาฝูเป็นคนไร้วรยุทธ์อีกหรือไม่?”
“ข้า…กระหม่อม…” ใต้เท้าเย่สีหน้าขาวซีด เข้าใจได้แล้วว่าตอนนี้แก้ตัวไปก็เปล่าประโยชน์ เขาเหลือบมองเย่ซิวตู๋ปราดหนึ่ง ก่อนเคาะไม้ปลุกสติหนึ่งครั้ง “อาฝูเจ้าช่างกล้าหาญนัก ถึงได้กล้าโกหกปิดบังข้าด้วยการซ่อนวรยุทธ์ไว้ เจ้าพูดมา…เจ้าต้องการอะไรกันแน่?”
“ใต้เท้า ใต้เท้าปรักปรำข้าน้อย ก่อนหน้านี้ข้าน้อยเคยเล่าเรื่องวรยุทธ์เพื่อป้องกันตัวมาบ้าง ข้าน้อยไม่ได้มีเจตนาปิดบังนะขอรับ เพียงแต่ เพียงแต่ตอนนั้นเห็นว่ามีคนถูกฆ่า จึงเกิดความหวาดวิตก ทำให้ลืมเรื่องนี้ไป…”
ใต้เท้าเย่แค่นเสียงด้วยความโกรธขึ้ง “ลืมไปแล้ว? เจ้ารู้หรือไม่ว่าประโยคหนึ่งที่เจ้าลืมไป อาจทำให้เราพิจารณาคดีพลาดได้ การใส่ร้ายผู้อื่นผลลัพธ์ที่ตามมาร้ายแรงนัก เจ้ารู้หรือไม่? ดี ในเมื่อเจ้ามีฝีมือเช่นนี้ เจ้าย่อมต้องเป็นผู้ต้องสงสัยในคดีฆาตกรรมนี้ด้วย ทหาร นำตัวอาฝูและเหวินเทียนไปขังไว้ในคุก เราจะพิจารณาอย่างละเอียด รอจนกระทั่งมีหลักฐานที่ใช้ได้จริงและมีน้ำหนัก ค่อยเลือกวันสอบสวนใหม่อีกครั้ง”
คราวนี้ใต้เท้าเย่ไม่มอบโอกาสให้เย่ซิวตู๋พูดอะไรอีก เขาออกคำสั่ง ก่อนหันมาทำความเคารพเย่ซิวตู๋ “ท่านอ๋อง ไม่ทราบว่าท่านมีข้อคัดค้านเกี่ยวกับวิธีของกระหม่อมหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ?”
“ใต้เท้าเย่ดำเนินการอย่างรวดเร็วและเฉียบขาดดีจริง ๆ” ปัดความรับผิดชอบของตนเองเสียจนสะอาดหมดจด
“ได้รับคำชมจากท่านอ๋อง กระหม่อมรู้สึกตกใจยิ่งนัก” ใต้เท้าเย่ก้มหน้าลงเล็กน้อย ทำตัวมีมารยาทอย่างรอบคอบ
หนานหนานถลึงตามองอีกฝ่าย คนคนนี้ช่างไร้ยางอายยิ่งนัก ท่านพ่อกำลังพูดเสียดสี…เสียดสีต่างหากเล่า แม้แต่เด็กห้าขวบอย่างเขายังฟังออก แต่ใต้เท้าเย่ไร้ยางอายผู้นี้กลับเห็นเป็นคำชมเสียได้
“หากท่านอ๋องไม่มีข้อคัดค้าน กระหม่อมจะให้คนนำตัวพวกเขาออกไปก่อน” ใต้เท้าเย่ทำความเคารพอีกครั้ง แสดงท่าทางเคารพองค์ชายด้วยความหวาดหวั่นอย่างจริงใจของตนเองจนดูสะดุดตายิ่งนัก ทั้งหมดนี้หากอยู่ในสายตาของคนที่คิดร้าย คงคิดว่าเย่ซิวตู๋กำลังแอบอ้างงานราชการเพื่อแสวงหาผลประโยชน์ส่วนตน ใช้สถานะเพื่อกดดันผู้อื่น
เย่ซิวตู๋ยิ้มเยาะเสียงเบา ตอนที่กำลังจะอ้าปากพูด จู่ ๆ ข้างประตูก็มีน้ำเสียงดังฟังชัดดังขึ้น
“ท่านอ๋องไม่มีข้อคัดค้าน แต่เรามี”
ใต้เท้าเย่เงยหน้าขึ้น ก็พบว่านอกประตูมีคนสองสามคนกำลังเดินเข้ามาด้วยพลังอันน่าทึ่ง คนที่เดินนำอยู่ด้านหน้าสุดคืออวี้ชิงลั่วผู้มีสีหน้าเย็นชาดำทะมึน
ทันทีที่หนานหนานเห็นท่านแม่เดินเข้ามา ดวงตาคู่นั้นที่ลอบมองบาดแผลบนแผ่นหลังของเหวินเทียนเป็นครั้งคราวก็ถูกดึงกลับมาได้อย่างโล่งอกเสียที
มีท่านแม่อยู่ด้วย บาดแผลของท่านลุงเหวิน…ต้องไม่เป็นอะไร
…………………………………………………………………………………………………………………………
[1] อู่จั้ว หมายถึง ขุนนางผู้ชันสูตรศพในสมัยโบราณ
สารจากผู้แปล
เอ็งไม่รอดแน่ใต้เท้าเย่ ทั้งครอบครัวตำหนักอ๋องซิวมากันครบแบบนี้
ไหหม่า(海馬)