อลวนรักหมอหญิงชิงลั่ว - ตอนที่ 437 ท่าทางที่ค่อนข้างน่าอาย
ตอนที่ 437 ท่าทางที่ค่อนข้างน่าอาย
ตอนที่ 437 ท่าทางที่ค่อนข้างน่าอาย
อวี้ชิงลั่วที่กำลังหลุบสายตาครุ่นคิดถึงกับเงยหน้าโดยพลัน จ้องมองเย่ซิวตู๋ที่นั่งอยู่ตรงหน้าด้วยความประหลาดใจ พูดทวนซ้ำอีกครั้ง “ท่านบอกว่า…ไม่ใช่ฝีมือของเหมิงกุ้ยเฟยและองค์ชายเจ็ดงั้นรึ?”
เย่ซิวตู๋แย้มยิ้ม ขยับเข้ามาใกล้ ๆ นางอย่างฉับพลัน พิงเข้ากับเรือนกายของนาพลางกล่าวว่า “อาฝูคือคนจากตำหนักน้องเจ็ดจริง ๆ ข้าเองก็เคยเห็นเขามาก่อน ดังนั้นเหวินเทียนที่เคยเห็นหน้าเขาจึงจำเขาได้ เขาไม่ใช่คนโดดเด่นและไม่ใช่คนสำคัญอะไร แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าสถานะของอาฝูเป็นสิ่งที่พวกเรามิอาจตรวจสอบได้ หมู่เฟยไม่มีทางใช้คนที่สามารถตรวจสอบสถานะได้ง่าย ๆ มาวางแผนใส่ร้ายข้าหรอก อีกอย่างเห็นได้ชัดว่าเรื่องนี้มีความยุ่งยากซับซ้อนเกินไปแล้ว เพราะถ้าเป็นหมู่เฟยคงมีความตรงไปตรงมายิ่งกว่านี้”
ยกตัวอย่างเช่น…ส่งคนมาลอบสังหารเขา
อวี้ชิงลั่วตระหนักขึ้นได้ จริงด้วย ตอนนี้เป้าหมายของเหมิงกุ้ยเฟยคือเหวินเทียน จากสถานะของนาง หากคิดจะจัดการกับผู้อารักขาคนหนึ่งยังจำเป็นต้องโยนความผิดให้คนอื่นเช่นนี้ด้วยรึ? คราวก่อนเขาก็ใช้ข้ออ้างเพื่อนำตัวเสิ่นอิงออกไป
อีกอย่าง เมื่อมีประสบการณ์จากคราวก่อน เหมิงกุ้ยเฟยยังจะใช้แผนการเดิม ๆ อีกรึ?
นางรักองค์ชายเจ็ดขนาดนั้น จะใช้คนขององค์ชายเจ็ดเพื่อดำเนินการตามแผนได้อย่างไรกัน? นี่ไม่เท่ากับปล่อยเย่ซิวตู๋จัดการกับองค์ชายเจ็ดหรอกหรือ? คราวก่อนจับตัวเสิ่นอิง องค์ชายเจ็ดก็ได้รับพิษ นางก็น่าจะรู้ดีถึงผลที่จะตามมาจากการทำเช่นนี้ถึงจะถูก
อวี้ชิงลั่วเม้มริมฝีปากครุ่นคิดอย่างเงียบ ๆ ผ่านไปครู่ใหญ่ จึงหรี่ตาลงเล็กน้อยและเงยหน้ากล่าวว่า “จะว่าไปแล้ว ข้ากลับคิดว่าท่าทางในวันนี้ของใต้เท้าเย่คนนั้นดูแปลกนัก หากเขามีความคิดจะเล่นงานท่านจริง ๆ เขาจะยอมประนีประนอมง่าย ๆ ถึงเพียงนั้นรึ?”
ที่แท้ เป้าหมายของใต้เท้าเย่ ก็เพราะต้องการแยกเย่ซิวตู๋และเย่ฮ่าวถิงออกจากกัน เขาคิดจะทำให้ทั้งสองคนฆ่าแกงกันเอง
เย่ซิวตู๋กระตุกมุมปากเบา ๆ ยื่นมือออกมาลูบไล้ติ่งหูของนาง เมื่อรู้สึกได้ถึงความรู้สึกสัมผัสที่อ่อนนุ่มใต้ปลายนิ้ว ก็รู้สึกอบอุ่นไปทั่วทั้งใจ
อันที่จริงความรู้สึกเช่นนี้ก็ดีมาก มีสตรีผู้มีความเฉลียวฉลาดเช่นนั้นอยู่ข้างกาย มีอะไรก็แค่คุยกันนิดหน่อยก็เข้าใจแล้ว เรื่องบางอย่างที่อัดแน่นอยู่ในใจของเขาก็สามารถคลายออกมาได้อย่างรวดเร็ว ความรู้สึกเช่นนี้…ดีมากจริง ๆ
“นี่ อย่าขยับสิ” อวี้ชิงลั่วกำลังเหม่อลอยไปกับความคิดของตนเอง ทว่าบุรุษที่อยู่ข้างกายกลับไม่พูดอะไร ทั้งยังเอาแต่ดึงหูของนาง หยอกล้อจนนางรู้สึกจักจี้ทั้งติ่งหู “จริงจังหน่อยสิ”
“เหตุใดเจ้าถึงได้เอาแต่กังวลขนาดนั้น?” เย่ซิวตู๋หลุดขำ
“ท่านรังเกียจที่ข้าสอดรู้สอดเห็นงั้นสิ?”
“อย่ามาจงใจเข้าใจความหมายของข้าผิด ทั้ง ๆ ที่เจ้าเองก็รู้ดีว่าข้าไม่ได้หมายความเช่นนั้น”
อวี้ชิงลั่วแค่นเสียงเบา ๆ หนึ่งเสียง ก่อนจะค้นพบว่าบัดนี้ทั้งคู่นั่งใกล้กันขนาดนี้แล้ว คนคนนี้เข้ามานั่งบนเตียงตั้งแต่เมื่อไรกัน? ไม่รู้หรืออย่างไรว่าบุรุษและสตรีมิควรถูกเนื้อต้องตัวกัน?
นางลุกขึ้นไปนั่งบนเก้าอี้ที่อยู่ข้าง ๆ ใบหน้าแดงก่ำอย่างน่าสงสัย
พูดตามตรง หลังจากทั้งคู่เจาะกระดาษหน้าต่าง(1)แล้วนั้น พวกเขาก็ใกล้ชิดกันมากยิ่งขึ้นด้วย ทว่าอวี้ชิงลั่วไม่คุ้นชิน ยิ่งไปกว่านั้นหลังจากคืนนั้นที่เย่ซิวตู๋นอนกอดนางตลอดทั้งคืน เมื่อเข้าสู่การแข่งขันใหญ่สี่อาณาจักรที่มีความตึงเครียด เวลาที่พวกเขาทั้งคู่ได้อยู่ด้วยกันจึงมีไม่มาก
อืม…นอกจากเช้าวันนี้ ตอนนั้นที่นางต้องปรนนิบัติสวมใส่เสื้อผ้าและตักอาหารให้เขาด้วยความรู้สึกโกรธขึ้งและมุ่งร้ายรวมถึงตอนที่จูบกันบนรถม้า ระหว่างพวกเขาทั้งสอง ก็นับว่า…บริสุทธิ์ยิ่งนัก
เย่ซิวตู๋ลอบรู้สึกไม่พอใจ สตรีผู้นี้จะหลบไปทำไมกัน?
เขายื่นมือออกไปดึงอวี้ชิงลั่วให้กลับมาอีกครั้ง และให้นางนั่งลงบนตักของตนเอง
“เมื่อครู่เจ้าเป็นคนพูดเองว่าข้าไม่เห็นเจ้าเป็นคนในครอบครัว ตอนนี้เล่า? เจ้าเห็นข้าเป็นสวามีของเจ้าหรือไม่?” เขาออกแรงเล็กน้อย แค่อวี้ชิงลั่วคิดจะลุกขึ้นยืนก็ยังรู้สึกได้ว่าเป็นเรื่องยากลำบากยิ่งนัก
ได้ยินคำพูดของเขา นางก็ถึงกับกลอกตาใส่อย่างห้ามไม่อยู่
พวกเขายังไม่แต่งงานกันเสียหน่อย แน่นอนว่ามิอาจเรียกว่าเป็นสามีภรรยาได้ นางจะเห็นเขาเป็นสวามีได้อย่างไร?
“อีกเดี๋ยวหากแม่นมเซียวมาเห็นพวกเราทำเช่นนี้ รับรองได้เลยว่าท่านได้เจอปัญหาที่จะตามมาแน่” นางไม่สามารถสะบัดให้หลุดได้ ท่าทางก็ช่างน่าอึดอัดยิ่งนัก จึงทำได้เพียงแค่โยนไปหาแม่นมเซียวผู้ทำให้คนรู้สึกปวดหัวไปกับการให้ความสำคัญกับเรื่องมารยาทผู้นั้น
เย่ซิวตู๋เลิกคิ้ว ยังไม่ทันได้พูดอะไร ประตูห้องตำราก็มีเสียงเคาะประตูลอยเข้ามา “ท่านอ๋อง องค์หญิง จะให้ยกสำรับค่ำมาที่ห้องตำราหรือโถงบุปผาเพคะ?”
อวี้ชิงลั่วถึงกับสะดุ้งโหยง พูดยังไม่ทันขาดคำก็มาจริง ๆ นางรีบใช้มือตีแขนของเย่ซิวตู๋ “ปล่อยสิ เร็วเข้า”
เย่ซิวตู๋ไม่สนใจนาง กล่าวเสียงสูงกับแม่นมเซียวที่รออยู่นอกประตูว่า “ยกมาที่ห้องตำราก็แล้วกัน”
“เพคะ” แม่นมเซียวขานตอบหนึ่งเสียง ก่อนจะหมุนกายเดินออกไปอย่างรวดเร็ว
อวี้ชิงลั่วถอนหายใจเฮือกหนึ่ง หันกลับมาถลึงตามองเขาแรง ๆ “เย่ซิวตู๋ ท่านคิดจะทำอะไร?”
“ข้าอยากให้เจ้าช่วยจับชีพจรให้ข้าหน่อย ข้ารู้สึกใจสั่นนิดหน่อยตั้งแต่เมื่อเช้าแล้ว”
อวี้ชิงลั่วชะงัก กล่าวเสียงสูงว่า “เหตุใดไม่รีบบอกตั้งแต่แรก?” ครั้นกล่าวจบก็รีบจับข้อมือของเขา ใช้ปลายนิ้วแตะลงบนเส้นชีพจรพร้อมกับกลั้นหายใจ
เพียงไม่นาน หัวคิ้วก็ขมวดเข้าหากันแน่นยิ่งขึ้น “เหตุใดหัวใจของท่านถึงได้เต้นเร็วเพียงนี้?”
เย่ซิวตู๋มุมปากกระตุก นิ้วมือยังโอบเข้าที่เอวของนาง อืม…มีเรือนกายนุ่ม ๆ อบอุ่นและหอมละมุนอยู่ในอ้อมกอดเช่นนี้ หากใจไม่เต้นแรงนั่นต่างหากเล่าที่ผิดปกติ
อวี้ชิงลั่วตรวจอยู่ครู่หนึ่ง นอกจากหัวใจที่เต้นแรงแล้ว กลับไม่มีโรคอื่น ๆ นางดึงมือกลับมา มองตาของเขาอีกครั้ง ประตูห้องตำราเกิดเสียงเคาะประตูดังขึ้นอีกหน เย่ซิวตู๋ตะโกน ‘เข้ามา’ หนึ่งเสียง ประตูจึงถูกคนผลักให้เปิดออกจนเกิดเสียง ‘แกรก’
อวี้ชิงลั่วยังไม่ทันได้มีเวลาตอบสนอง ก็พบว่าแม่นมเซียวสั่งให้สาวใช้สองคนนำสุราและอาหารทั้งหมดเข้ามาด้านในแล้ว
ทั้งสองคนยังอยู่ในท่าทางโอบกอด
ทั้งสองคนยังอยู่ในท่าทางโอบกอดและมองตากันด้วยเสน่หา
ทั้งสองคนยังอยู่ท่าทางโอบกอดและมองตากันด้วยเสน่หาทั้งยังถูกแม่นมเซียวเห็นเขาอย่างจัง
เย่ซิวตู๋แย้มยิ้มและดึงนิ้วมือกลับมา
อวี้ชิงลั่วถึงกับเหม่อลอย ไม่รู้ว่าควรจะลุกขึ้นยืนหรือว่า…หรือว่านั่งอยู่บนตักของเย่ซิวตู๋ต่อไปถึงจะดี
สมองของนางแข็งทื่อผิดปกติ หัน ‘กึก ๆๆ’ ไปมองสีหน้าดำทะมึนของแม่นมเซียว มุมปากถึงกับกระตุก
ผ่านไปครู่ใหญ่ จึงกลืนน้ำลายยิ้มแห้ง ๆ แล้วพูดด้วยน้ำเสียงแหบพร่าว่า “คือ…ท่านอ๋องซิวไม่ค่อยสบาย ข้าก็เลยช่วยดูให้เขาก็เท่านั้น”
สาวใช้ทั้งสองคนที่ยกอาหารเข้ามาก้มหน้าลง คนหนึ่งถึงกับหลุดขำออกมาเพราะทนไม่ไหว เพียงแต่เมื่อเสียงถูกเปล่งออกมา นางก็รีบยกมือขึ้นมาปิดปาก หลังจากจัดเรียงอาหารเรียบร้อยแล้ว ก็ถอยออกจากห้องตำราในทันที
แม่นมเซียวยิ้มด้วยรอยยิ้มเย็นชาขณะมองอวี้ชิงลั่ว “ทุกครั้งที่องค์หญิงช่วยจับชีพจรเพื่อรักษา ก็นั่งอยู่บนตักของคนไข้ทุกครั้งเลยหรือเพคะ?”
“คือ…จุดศูนย์ถ่วงไม่มั่นคงไปชั่วขณะหนึ่ง ก็เลยล้มลงบนตัวท่านอ๋องซิว” แม่นมเซียวเชื่อข้าเถอะ รีบ ๆ เชื่อเถอะ
“นั่นจะไม่ทำให้โรคของท่านอ๋องซิวหนักขึ้นหรือเพคะ?” แม่นมเซียวเยาะเย้ยและถากถางหนึ่งเสียง
อวี้ชิงลั่วเกิดความคิดอยากตายแล้ว ต้องโทษเย่ซิวตู๋นั่นแหละ ไอ้คนชั่ว ถ้ามิใช่เพราะเขาดึงนาง นางจะถึงขั้นพูดไม่ออกต่อหน้าแม่นมเซียวหรือ?
อวี้ชิงลั่วหยิกเอว ขา และแขนของเขาแรง ๆ
เย่ซิวตู๋ส่งเสียงครวญครางหนึ่งเสียง สตรีผู้นี้โหดร้ายจริง ๆ เขารีบคว้ามือที่แอบทำเรื่องชั่วร้ายของนาง ไอกระแอมเสียงเบาหนึ่งเสียง “แม่นมเซียว เรามีบางอย่างอยากคุยกับท่าน”
………………………………………………………………………………………………………………………..
มาจาก 捅破窗户纸 เป็นสำนวน หมายถึงการได้เปิดใจหรือเปิดเผยเรื่องราวให้ชัดเจน
สารจากผู้แปล
ท่านอ๋องขี้แกล้งอะ ชิงลั่วหยิกให้พรุนเลยค่ะ
ไหหม่า(海馬)