อลวนรักหมอหญิงชิงลั่ว - ตอนที่ 439 ห้ามตะโกน
ตอนที่ 439 ห้ามตะโกน
ตอนที่ 439 ห้ามตะโกน
เสียง ‘ฟึบ’ ดังขึ้น อวี้ชิงลั่วแหวกผ้าห่มออกในทันที นางแหวกม่านเตียงมองออกไปด้านนอก ทว่ากลับพบว่าประตูถูกปิดลงแล้ว
นางหันกลับมาราวกับไม่อยากเชื่อสายตา สายตาจ้องมองเย่ซิวตู๋ ก่อนจะหันกลับไปมองประตูที่ถูกปิดสนิทอีกครั้ง ริมฝีปากกระตุกวูบสองสามหน ผ่านไปครู่ใหญ่ จึงเอ่ยถามราวกับเพิ่งเจอเสียงของตนเองก็มิปาน “คนที่ออกไปเมื่อครู่…คือแม่นมเซียว?”
“เสียงของนาง เจ้าคุ้นเคยยิ่งกว่าข้าอีกมิใช่รึ?” เย่ซิวตู๋เลิกคิ้ว ก่อนจะพลิกกายเพื่อดึงนางกลับลงมาอีกครั้ง
“ไม่ใช่…แม่…แม่นมเซียวไปง่าย ๆ เช่นนี้เลยรึ?”
เย่ซิวตู๋หลับตาลงพร้อมกับอ้าปากหาว “หรือเจ้าอยากได้ยินนางเทศน์?”
“ข้า…ข้า…” สมองของอวี้ชิงลั่วเกิดความยุ่งเหยิง แม่นมเซียวเป็นคนเช่นไรนางย่อมทราบเป็นอย่างดี เป็นไปได้อย่างไรกันที่แม่นมเซียวจะปิดประตูให้พวกเขาด้วยท่าทางนิ่งสงบเช่นนี้หลังจากเห็นเย่ซิวตู๋และนางนอนอยู่บนเตียงเดียวกัน?
นางผีเข้ารึ? หรือกินยาผิด? หรือว่านางก็ทะลุมิติมาเช่นเดียวกัน?
อวี้ชิงลั่วไม่เข้าใจเลย ผ่านไปครู่หนึ่งจึงใช้มือแหวกเปลือกตาของเย่ซิวตู๋ให้เปิดออก หรี่ตาเอ่ยถามด้วยสายตาเป็นอันตราย “บอกมา เมื่อวานท่านคุยอะไรกับแม่นมเซียว?”
มิเช่นนั้นแม่นมเซียวจะทำตัวผิดปกติเช่นนี้รึ?
เย่ซิวตู๋ถูกนางก่อกวนอยู่หลายครั้ง ท้ายที่สุดจึงหลับไม่ลงแล้ว ได้แต่ถอนหายใจและลุกขึ้นมานั่งบนเตียง
“ข้ายังจะพูดอะไรได้? ก็แค่บอกนางไปว่า พวกเราทั้งสองรักกัน บางเวลาก็ต้องการอยู่ด้วยกันเป็นการส่วนตัวเพื่อบ่มเพาะความรัก” เขายกแขนบิดขี้เกียจ ไม่รอให้อวี้ชิงลั่วต้อนถามมากไปกว่านี้ ก็ตะโกนเสียงดังออกไปด้านนอกประตูว่า “เข้ามาเถอะ เราตื่นแล้ว”
ประตูถูกเปิดออกอีกครั้ง คำพูดของอวี้ชิงลั่วที่ไหลมาถึงมุมปากถูกกลืนกลับลงไปในทันที สายตาของนางกวาดสำรวจไปที่แม่นมเซียว ทว่าแม่นมเซียวกลับเดินเข้ามาช่วยอวี้ชิงลั่วให้ลุกขึ้นจากเตียงด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ความรู้สึก
จนกระทั่งช่วยแต่งองค์ทรงเครื่องให้นางเรียบร้อยแล้ว ก็ยังไม่ได้ยินอีกฝ่ายพูดด้วยความไม่พอใจ
อวี้ชิงลั่วแอบรู้สึกลึก ๆ ว่า ความรู้สึกในการดำรงอยู่ของตนเองช่างน่าสงสารนัก พิจารณาจากการที่ได้อยู่ด้วยกันมาสองวันนี้ คำพูดของเย่ซิวตู๋กลับมีประโยชน์สำหรับแม่นมเซียวยิ่งกว่าคำพูดของนางเสียอีก เรื่องเดียวกัน หากออกมาจากปากของเย่ซิวตู๋ แม่นมเซียวก็จะตอบรับโดยไม่ปริปากพูดแม้แต่น้อย ส่วนตนเอง…แค่เกริ่นนำก็ไม่มีอะไรต่อจากนั้นแล้ว
อวี้ชิงลั่วถอนหายใจเฮือกหนึ่ง นั่งกินข้าวภายในโถงบุปผาด้วยท่าทางหงอยเหงาเศร้าซึม
เย่ซิวตู๋กินอาหารไปได้แค่สองคำ พ่อบ้านหยางก็เดินเข้ามาอีกครั้ง ไม่รู้ว่ากระซิบอะไรข้างหูเขา เย่ซิวตู๋ฟังจบก็พยักหน้าและลงมือกินอาหารต่อ
อวี้ชิงลั่วรู้สึกสงสัยยิ่งนัก นางอยากถามว่าเรื่องของเหวินเทียนมีความคืบหน้าแล้วใช่หรือไม่? ทว่าเย่ซิวตู๋กลับโบกมือ ราวกับไม่คิดจะให้นางเข้ามายุ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้
แม้แต่อวี้ชิงลั่วที่อยากไปยังที่เกิดเหตุก็ยังถูกเขาห้ามไว้
อวี้ชิงลั่วรู้ดี เรื่องนี้คงถึงขั้นบานปลายแล้ว มีความเป็นไปได้สูงที่คนที่สร้างความบาดหมางจะเป็นคนในราชวงศ์ ประการแรกคืออยากให้เย่ซิวตู๋และเย่ฮ่าวถิงแตกคอกัน ประการที่สองอาจเป็นเพราะอยากใช้โอกาสนี้เพื่อลดอำนาจของตำหนักอ๋องซิว
หากคิดจะจัดการกับเย่ซิวตู๋ อวี้ชิงลั่วคือจุดอ่อนอันยอดเยี่ยม ต่อให้อวี้ชิงลั่วจะรู้สึกว่านางมีความสามารถในการป้องกันตัวเอง แต่ภายในใจของเย่ซิวตู๋กลับไม่คิดปล่อยให้เกิดข้อผิดพลาดขึ้นกับนางแม้แต่นิดเดียว ถึงอย่างไรตอนนี้ก็ยังไม่รู้ตัวคนร้ายที่แน่ชัด ทั้งยังเป็นคนชื่นชอบเล่นเล่ห์เพทุบายด้วย
อวี้ชิงลั่วถึงกับหมดแรง แม่นมเซียวลำเอียงเชื่อฟังเย่ซิวตู๋อีกครั้ง ทั้งยังจับตามองนางสุด ๆ ทั้งชีวิตนี้คนที่นางกลัวมากที่สุดมีสองคน คนแรกคือแม่นมเซียว ส่วนอีกคนคือแม่นมเก๋อ
อวี้ชิงลั่วรู้สึกเบื่อหน่ายยิ่งนัก นางกลับมาที่ห้องและเริ่มพลิกตำราที่ได้มาจากเจียงอวิ๋นเซิงในวันนั้น เพื่อตามหาเบาะแสที่ท่านหมอเริ่นถูกสังหาร
หลังจากดูตำราอยู่ครู่หนึ่ง นางก็ยังไม่เจอสิ่งที่มีประโยชน์
ตอนที่หันกลับมาก็พบว่าแม่นมเซียวยืนอยู่ตรงนั้น เมื่อนึกขึ้นได้ว่าวันนี้ยังไม่เห็นพวกเด็ก ๆ จึงกล่าวด้วยความฉงนสงสัยว่า “หนานหนาน เป่าเอ๋อร์ หลานเฉิงล่ะ?”
“ซื่อจื่อน้อยกับเฉิงซื่อจื่อไปที่สนามแข่งขันแล้วเพคะ ส่วนเป่าเอ๋อร์บอกว่าจะไปซื้อของ”
อวี้ชิงลั่วขมวดคิ้วมุ่น “เป่าเอ๋อร์ไปคนเดียวรึ?”
“องค์หญิงอย่าได้ทรงเป็นกังวล หม่อมฉันให้หงเย่แอบตามเขาไปด้วยเพคะ” มีน้อยคนที่รู้ว่านอกจากหงเย่จะเป็นนางข้าหลวงแล้ว นางยังมีมือสังหารหญิงที่ถูกฝึกอยู่ในวังด้วย วรยุทธของนางแม้ว่าจะไม่ถึงขั้นสูงสุด แต่ก็มีฝีมือในการสะกดรอยตาม ติดตามและลอบสังหาร
อวี้ชิงลั่วได้ยินเช่นนี้จึงโล่งอกขึ้นเล็กน้อย
เป็นเพราะเรื่องของเหวินเทียน เผิงอิง โม่เสียนและเสิ่นอิงต่างก็ยุ่งกันทุกคน ข้างกายของเป่าเอ๋อร์ไม่มีคนคอยติดตาม นางจึงไม่ไว้ใจ
มีหงเย่อยู่ด้วยก็คงไม่มีปัญหาอะไรแล้ว
ถึงอย่างไรหงเย่ในเวลานี้ ใบหน้าของนางที่ดูอบอุ่นเจือรอยยิ้มมาโดยตลอดกลับตึงเครียดอย่างมาก นางแอบสะกดรอยตามอวี้เป่าเอ๋อร์ที่เดินนำอยู่ด้านหน้ามาเกือบหนึ่งชั่วยามแล้ว ทว่าเป่าเอ๋อร์กลับเอาแต่เดินไปด้านหน้าอย่างไร้จุดหมาย ไม่รู้ว่าเขาจะไปที่ใด ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเรื่องซื้อของ
หงเย่เป็นคนมีความคิดละเอียดรอบคอบและเฉลียวฉลาด อย่างน้อย ๆ นางก็รู้ถึงสาเหตุที่ทำให้อวี้เป่าเอ๋อร์อารมณ์ไม่ดี ทว่าเมื่อวานอวี้ชิงลั่วและแม่นมเซียวก็พูดไปแล้วว่าไม่จำเป็นต้องเก็บเรื่องเหล่านี้มาใส่ใจ
เหวินเทียนคือผู้อารักขาของเย่ซิวตู๋ เรื่องถูกลอบสังหารและติดกับดักเช่นนี้ย่อมเคยผ่านประสบการณ์มาไม่น้อย นี่ก็เป็นแค่หนึ่งในนั้นเท่านั้น ในฐานะผู้อารักขาของท่านอ๋อง สิ่งนี้เป็นเรื่องยากที่จะหลบหลีก
ทว่าอวี้เป่าเอ๋อร์ไม่รู้เรื่องเหล่านี้ เดิมทีเขาก็เป็นคนอ่อนไหวง่ายอยู่แล้ว ชีวิตของเขาในช่วงนี้ภายในตำหนักอ๋องซิวทำให้เขามีความสุขอย่างมาก เหวินเทียนและคนอื่น ๆ ต่างก็ดีกับเขามาก เขาจึงไม่อยากให้เกิดเรื่องอะไรขึ้นกับคนในตำหนักอ๋องซิวแม้แต่คนเดียว ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่เกิดขึ้นเพราะตัวเขา
หงเย่เดินตามเขาต่ออีกครู่หนึ่ง หลังจากผ่านไปได้ไม่นานในที่สุดก็หยุดลง นางคิดว่าเข้าไปคุยกับเขาสักหน่อยก็น่าจะดีกว่า
ถึงกระนั้น ตอนที่นางเพิ่งจะก้าวเท้าไปด้านหน้าก้าวหนึ่ง จู่ ๆ ก็พบว่ามีอีกคนตามเขามาด้วยเช่นกัน
คนคนนั้นเอียงศีรษะ เดินตามอยู่ด้านหลังอย่างระมัดระวัง ทั้งยังคิดจะก้าวเท้าไปด้านหน้าเพื่อดูหน้าอวี้เป่าเอ๋อร์ให้ชัดเจนอยู่หลายครั้ง ทว่าเดินไปได้ไม่กี่ก้าวก็หยุดอีกครั้ง เขายืนอยู่บนถนนราวกับกำลังครุ่นคิดบางอย่าง
หงเย่เห็นได้อย่างชัดเจน คนคนนั้นสวมใส่เสื้อผ้าหรูหรา ทั้งยังดูประณีต ภูมิหลังไม่ธรรมดาเลย
โดยเฉพาะผู้อารักขาสองสามคนที่ถูกเขาสะบัดออกไป ดูเหมือนว่าจะมีฝีมือไม่ธรรมดาเช่นกัน
หงเย่เกิดความรู้สึกตึงเครียดโดยพลัน นางแอบเดินเข้าใกล้อวี้เป่าเอ๋อร์อย่างเงียบ ๆ หากคนคนนั้นคิดสร้างปัญหาให้อวี้เป่าเอ๋อร์ นางก็จะเข้าไปช่วยในทันที
“เฮ้อ…” อวี้เป่าเอ๋อร์ถอนหายใจเฮือกหนึ่ง ก้มหน้าลงเล็กน้อย ภายในใจยังคงมีความคิดยุ่งเหยิงไปหมด
เขาเดินต่อไปอีกสักพัก ถึงอย่างไรอวี้เป่าเอ๋อร์ก็คิดได้ว่าการที่ตนเองวิ่งออกมาเพียงลำพังเช่นนี้คงทำให้ท่านพี่เป็นกังวลใจ ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก็เตรียมตัวเดินทางกลับ
ใครจะไปรู้ว่าตอนที่หันกลับมา กลับชนเข้ากับคนคนหนึ่ง
คนคนนั้นถอยผงะออกไปหลายก้าวพร้อมกับส่งเสียง ‘โอ๊ย’ ไม่ใช่เรื่องง่ายกว่าจะทรงตัวหยุดยืนได้อย่างมั่นคง ครั้นเงยหน้าขึ้นและพบอวี้เป่าเอ๋อร์ สีหน้าพลันดำอึมครึมลง “อ๋า…เป็นเจ้าจริง ๆ ด้วย”
อวี้เป่าเอ๋อร์กะพริบตาปริบ ๆ เงยหน้ามองตรงไป ครู่ต่อมา ใบหน้าถึงกับซีดเผือดทั่วทั้งหน้า
“เจ้า…เจ้าคือ…อื้อ…” เขายังพูดไม่ทันจบประโยค คนคนนั้นก็รีบปรี่ตัวเข้ามาปิดปากของเขาไว้ ทั้งยังถลึงตามองด้วยสายตาเหี้ยมโหด “จะตะโกนไปทำไม ทำไมต้องเสียงดังขนาดนั้น?”
……………………………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
ไปชนกับใครเข้าละเนี่ย ดูเหมือนเป็นคนรู้จักเสียด้วย
ไหหม่า(海馬)