อลวนรักหมอหญิงชิงลั่ว - ตอนที่ 442 มิตรภาพร่วมอุดมการณ์
ตอนที่ 442 มิตรภาพร่วมอุดมการณ์
ตอนที่ 442 มิตรภาพร่วมอุดมการณ์
ทันทีที่เขาเดินออกไป เผิงอิงก็หันมาตบบ่าหงเย่ด้วยรอยยิ้ม “ไม่ต้องประหม่า นอกจากแม่นางอวี้แล้ว สีหน้าของท่านอ๋องก็เป็นแบบนี้ตลอดนั่นแหละ อันที่จริงพวกเราเดินตามหลังอาฝูตั้งแต่แรกแล้ว หากท่านอ๋องจะโทษเจ้าว่าทำให้เป่าเอ๋อร์ตกอยู่ในอันตราย ก็คงไม่รอถึงตอนนี้แล้วค่อยปรากฏตัวออกมาหรอก”
หงเย่ชะงักไปเล็กน้อย พยักหน้าพร้อมกับย่อกายถอนสายบัวต่อหน้าเขา “ขอบคุณผู้อารักขาเผิงเจ้าค่ะ”
ตอนที่นางเผชิญหน้ากับใบหน้าเย็นชาดุจน้ำแข็งของเย่ซิวตู๋ นางรู้สึกประหม่าและตื่นตระหนกจริง ๆ ก่อนหน้านี้ตอนที่อยู่กับองค์หญิง นางไม่เคยรู้สึกเช่นนี้มาก่อน ดูเหมือนจะเป็นอย่างที่เผิงอิงพูดไว้ ท่านอ๋องซิวจะเก็บอารมณ์ทั้งหมดไว้ก็ต่อเมื่อมีองค์หญิงอยู่ด้วย
“เจ้าเองก็ระวังตัวด้วย ข้าไปก่อน” เผิงอิงยิ้มให้นางอีกครั้ง ก่อนหมุนกายเดินตามเย่ซิวตู๋ไป
หงเย่ไม่กล้าล่าช้า รีบไปรายงานข่าวโดยเร็ว
เย่ซิวตู๋มองร่างของอาฝูที่เดินไปรอบ ๆ ด้วยสายตาเย็นชา รอยยิ้มที่มุมปากโหดเหี้ยมมากขึ้นเรื่อย ๆ
“ท่านอ๋อง ดูเหมือนว่าอาฝูผู้นี้จะไม่ค่อยเชื่อใจใต้เท้าเย่เท่าไรนัก ต่อให้ตนเองได้รับบาดเจ็บ ก็ยังมีเรื่องที่ต้องยืนกรานลงมือด้วยตนเองอยู่ดี” เผิงอิงจ้องเงาเล็ก ๆ สองเงาที่อยู่ตรงหน้า พูดตามตรง เขาเองก็คิดไม่ถึงว่าพวกเขาจะระมัดระวังตัวเองขนาดนี้ แม้ว่าจะไม่เคยได้รับการฝึกฝนมาก่อน แต่การสะกดรอยตามก็ทำได้คล้ายคลึงนัก
เย่ซิวตู๋ยิ้มเยาะหนึ่งเสียง “เดิมทีเย่โฉวก็เป็นนกสองหัวอยู่แล้ว ตอนนี้การต่อสู้กันระหว่างองค์ชายยังไม่แน่ชัด สถานะของรัชทายาทแม้ยังคงอยู่ แต่ก็ไม่ได้เป็นโล้เป็นพาย องค์ชายคนอื่น ๆ ต่างก็ปรารถนาอยากดึงตัวเขาไปอยู่ฝั่งเดียวกับตนเอง แต่เย่โฉวรู้ดีว่าหากยืนผิดฝั่งแม้ตายก็คงไร้ที่กลบฝัง คนแบบเขาจะเชื่อใจอาฝูและเจ้านายที่อยู่เบื้องหลังได้อย่างไรกัน?”
เผิงอิงพยักหน้าเห็นด้วย ทว่ามีคำพูดที่เขายังไม่ได้บอก เย่โฉวผู้นี้และอวี๋จั้วหลินอยู่ฝั่งเดียวกัน ก่อนหน้านี้อวี๋จั้วหลินคิดจะพึ่งพาท่านอ๋องของพวกเขา คาดว่าในตอนนั้นเย่โฉวผู้นั้นก็คงคิดไว้เช่นนี้ ถึงอย่างไรเย่ซิวตู๋ก็เป็นคนที่ฮ่องเต้ไว้วางพระทัยมากที่สุดมาโดยตลอด ความสามารถของเขาก็เป็นที่ประจักษ์
ช่างน่าเสียดาย ท่านอ๋องดันเจอกับแม่นางอวี้เสียก่อน ส่วนอวี๋จั้วหลินและแม่นางอวี้ก็เป็นศัตรูที่มิอาจอยู่ร่วมโลกกันได้ ดังนั้นอวี๋จั้วหลินจึงถูกท่านอ๋องเตะออกไปอยู่นอกค่ายของตนเองตั้งแต่เริ่มต้น
ทว่าคนอย่างอวี๋จั้วหลิน คาดว่าท่านอ๋องก็คงไม่เห็นอยู่ในสายตาเช่นกัน
เย่โฉวผู้นั้นก็คงรู้ดีอยู่แก่ใจ วิธีการที่ท่านอ๋องลงมือกับอวี๋จั้วหลินคงไม่ได้มีแค่นี้ หากอวี๋จั้วหลินล้ม เย่โฉวก็ต้องเจอหายนะตามไปด้วย ตอนนี้ เย่โฉวถูกบีบบังคับให้ทำในสิ่งที่ความไม่ถึง ย่อมต้องร่วมมือกับคนอื่นเพื่อจัดการกับท่านอ๋องอยู่แล้ว
“ฉีหานเว่ยมาแล้ว” เผิงอิงกำลังครุ่นคิดอย่างเหม่อลอย จู่ ๆ เย่ซิวตู๋ก็พูดขึ้นมาหนึ่งประโยคด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ
เผิงอิงชะงักไปครู่หนึ่ง ก็พบว่าห่างออกไปไม่ไกลมีคนที่มีใบหน้าคุ้นตากำลังรีบวิ่งตรงไปหาฉีหานเทียน เมื่อเห็นว่าฉีหานเทียนไม่ได้รับบาดเจ็บใด ๆ ฉีหานเว่ยจึงถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก
ฉีหานเทียนถึงกับชะงัก มองหน้าพี่ใหญ่ที่กำลังเดินเข้ามาด้วยสีหน้าอึมครึมแฝงความโกรธขึ้ง เขารีบหดคอในทันที หลบไปอยู่ด้านหลังอวี้เป่าเอ๋อร์ด้วยท่าทางอ่อนแอ
ในเวลานี้อวี้เป่าเอ๋อร์ไม่มีกะจิตกะใจจะมองสีหน้าของพวกเขา เมื่อเห็นว่าอาฝูหายไปจากสายตาอีกครั้ง เขาก็รีบดันฉีหานเทียนเข้าหาอ้อมกอดของฉีหานเว่ย กระซิบว่า “พวกท่านค่อย ๆ คุยกันนะ ข้าขอตามเขาก่อน”
“เอ๋?” ฉีหานเทียนชะงัก คิดอยากจะตามไปด้วย ทว่าข้อมือกลับถูกพี่ใหญ่ของตนเองจับไว้ไม่ยอมให้ไป
“กลับไปพร้อมกับข้า” ฉีหานเว่ยกล่าวเสียงทุ้มต่ำ สีหน้าดูไม่ดีเอาเสียเลย เขาเพิ่งกินข้าวเที่ยงไปเมื่อครู่ ตอนที่กำลังจะกลับเรือนรับรอง คิดไม่ถึงเลยว่าผู้อารักขาของฉีหานเทียนจะเข้ามารายงานกับเขาว่าองค์ชายสิบสามหายไปแล้ว
เขารู้ดีว่าองค์ชายสิบสามคงรำคาญที่มีคนติดตาม จึงสลัดพวกเขาออกไป ตอนที่เขากำลังตัดสินใจจะให้คนไปตามหา จู่ ๆ ก็มีกระบี่เล่มหนึ่งปักเข้าที่วงกบประตูข้าง ๆ เขา ด้านบนนั้นมีข้อความผูกติดอยู่ ลายมืออันสง่างามหนึ่งแถวทำให้เขาถึงกับสีหน้าอึมครึม รีบตามมาตามสัญลักษณ์ที่อีกฝ่ายมอบให้โดยไม่พูดพร่ำทำเพลง
ทั้ง ๆ ที่รู้ว่านี่อาจเป็นกับดัก แต่ฉีหานเว่ยก็ไม่คิดจะสนใจอะไรให้มากมาย
ทั้งชีวิตนี้คนที่เขารักและอยากปกป้องมากที่สุดก็คือเจ้าสิบสาม นี่คือหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายก่อนที่พระมารดาของเขาจะสิ้นพระชนม์ เขามิอาจทำให้พระมารดาผิดหวังได้
โชคดีที่เจ้าสิบสามไม่เป็นอะไร ดูเหมือนว่าคำพูดที่อยู่บนกระดาษแผ่นนั้นจะพูดเกินจริงเสียแล้วสิ
แต่เมื่อเห็นท่าทางของเจ้าสิบสาม คาดว่าคงเกิดเรื่องขึ้นแล้ว
“ท่านพี่ ท่านให้ข้าตามไปสิ คนคนนั้นที่พวกเรากำลังสะกดรอยตามคิดจะสร้างปัญหาให้แม่นางชิง ปล่อยเขาไปไม่ได้นะ”
สร้างปัญหาให้แม่นางอวี้? ฉีหานเว่ยขมวดคิ้วเล็กน้อย
อวี้ชิงลั่วเคยช่วยชีวิตพวกเขาสองพี่น้องไว้ เขาย่อมมิอาจปล่อยผ่านได้ เมื่อเห็นว่าอวี้เป่าเอ๋อร์กำลังเดินตามด้วยความกังวลใจอยู่ด้านหน้า คาดว่าสิ่งที่เจ้าสิบสามพูดคงเป็นเรื่องจริง
ฉีหานเว่ยมุมปากขึงตึง ไม่ว่าอย่างไร ในเมื่ออวี้เป่าเอ๋อร์คือน้องชายของอวี้ชิงลั่ว เขาคงมิอาจปล่อยให้อีกฝ่ายเสี่ยงอันตรายเพียงลำพังโดยไม่สนใจความเป็นความตายได้
ฉีหานเว่ยแอบถอนหายใจเฮือกหนึ่ง หลังจากเงียบไปครู่หนึ่ง จึงสั่งให้ฉีหานไปแจ้งข่าวกับตำหนักอ๋องซิว ส่วนตนเองพาฉีหานเทียนติดตามไปอย่างเงียบ ๆ
เมื่อเห็นผู้ใหญ่และเด็กปรากฏตัวขึ้นข้างกายของตนเองอีกครั้ง อวี้เป่าเอ๋อร์ถึงกับประหลาดใจอย่างห้ามไม่อยู่
“เอ่อ…รัชทายาท เหตุใดท่านถึง…”
“เป่าเอ๋อร์ เจ้าไม่ต้องพูดอะไรแล้ว ไม่ต้องห่วง ท่านพี่ของข้าจะคุ้มกันให้พวกเราทั้งสองเอง” ฉีหานเทียนตบบ่าอีกฝ่าย เมื่อครู่ตอนที่เดินตาม พวกเขาทั้งคู่ถึงกับเหงื่อเปียกชุ่มไปทั้งศีรษะ แต่ด้วยเหตุนี้จึงได้สร้างมิตรภาพอันลึกซึ้งระหว่างกัน
ฉีหานเทียนคิดว่าตนเองร่วมทุกข์ไปพร้อมกับอวี้เป่าเอ๋อร์แล้ว สหายที่ดีย่อมต้องร่วมสุขไปด้วยกัน จึงแบ่งพี่ชายของตนเองให้อวี้เป่าเอ๋อร์ด้วย
อวี้เป่าเอ๋อร์กะพริบตาปริบ ๆ แอบเหลือบมองฉีหานเว่ยปราดหนึ่ง กล่าวอย่างลังเลว่า “หากรัชทายาทสะดวก รบกวนช่วยส่งข่าวไปที่ตำหนักอ๋องซิวแทนกระหม่อมได้หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ?”
“ส่งไปแล้ว” ฉีหานเว่ยตอบโดยไม่เงยหน้ามอง เมื่อเหนว่าอาฝูที่เดินอยู่ด้านหน้าเริ่มเดินไปเดินมาอีกครั้ง จึงรีบเรียกเด็กน้อยทั้งสองให้ตามไป
หลังจากเดินอยู่ราว ๆ สองเค่อ ในที่สุดอาฝูก็หยุดลงด้านหน้าเรือนโทรม ๆ แห่งหนึ่งพร้อมกับหอบหายใจเล็กน้อย
อาฝูหันซ้ายมองขวาด้วยความระมัดระวัง เมื่อเห็นว่าไม่มีใคร ก็รีบเดินเข้าไปในทันที
เสียง “แกรก” ดังขึ้นหนึ่งเสียง ประตูห้องถูกปิดลงแล้ว
ฉีหานเว่ยหรี่ตาลง สถานที่แห่งนี้ช่างปลีกวิเวกมาก บริเวณโดยรอบแทบไม่มีใครพักอาศัย เรือนส่วนใหญ่ผุพังทรุดโทรม ราวกับเป็นชุมชนสลัม มีคนสวมใส่เสื้อผ้ามอมแมมเพียงไม่กี่คนที่อาศัยอยู่ใต้หลังคามุงกระเบื้อง
“ท่านพี่ เขาเข้าไปแล้ว ทำอย่างไรดี?” ฉีหานเทียนรีบยื่นมือออกมาดึงแขนเสื้อของฉีหานเว่ยพลางกระซิบถาม
อวี้เป่าเอ๋อร์แอบรู้สึกกังวลใจ ขยับตัวราวกับคิดจะตามเข้าไปด้วย
ถึงกระนั้นตอนที่เพิ่งจะขยับตัว ก็ถูกฉีหานเว่ยดึงตัวไว้ หลังจากมองรั้วบ้านเตี้ย ๆ ดูแล้ว จึงกระซิบเสียงเบาว่า “ข้าจะพาพวกเจ้าเข้าไปเอง”
ครั้นกล่าวจบ ก็ใช้มือโอบเด็กทั้งสองไว้คนละฝั่ง แตะปลายเท้าเล็กน้อย กระโดดข้ามรั้วอิฐดินเข้ามายืนด้านในลานอย่างมั่นคง
จนกระทั่งเงาของพวกเขาทั้งสามหายไปอีกด้านหนึ่ง เย่ซิวตู๋ เผิงอิง รวมถึงหงเย่ที่ติดตามมาด้วยก็ก้าวเท้าออกมาอย่างเงียบ ๆ
…………………………………………………………………………………………………………………………
สารจากผู้แปล
ชิงลั่วนี่สร้างมิตรภาพไปทั้งสี่อาณาจักรเลยหรือเปล่าเนี่ย มีแต่คนช่วย
ไหหม่า(海馬)