อลวนรักหมอหญิงชิงลั่ว - ตอนที่ 443 ต่อให้เป็นผีก็จะไม่ปล่อยเจ้า
ตอนที่ 443 ต่อให้เป็นผีก็จะไม่ปล่อยเจ้า
ตอนที่ 443 ต่อให้เป็นผีก็จะไม่ปล่อยเจ้า
“ท่านอ๋อง พวกเราจะเข้าไปด้วยหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ?” เผิงอิงขมวดคิ้วมุ่น มองเรือนค่อนข้างเก่าคร่ำคร่าที่ปรากฏอยู่ตรงหน้าด้วยความลำบากใจ
สายตาของเย่ซิวตู๋กวาดมองรอบเรือนอย่างรวดเร็ว ผ่านไปครู่หนึ่งจึงยกมือเรียก “ไปดูด้านหลังเรือน”
ทั้งสามคนรีบเดินอ้อมไปตามมุมกำแพงไปอีกด้านหนึ่ง ทางฝั่งนี้มีแค่เรือนอิฐดินขนาดเล็กหลังหนึ่ง ดูจากคราบน้ำมันที่เกาะอยู่บนกำแพงน่าจะเป็นห้องครัวที่มีเตาอะไรทำนองนั้น
เผิงอิงก้าวเท้าเข้ามา มือทั้งสองข้างจับเข้าที่วงกบหน้าต่าง ออกแรงเพียงเล็กน้อยก็ถอดหน้าต่างไม้ออกมาได้ทั้งบาน
จากนั้นจึงกระโดดเข้าไปด้านในหน้าต่างโดยไม่พูดพร่ำทำเพลง โดยมีเย่ซิวตู๋และหงเย่ตามเข้าไปติด ๆ
ภายในเรือนแห่งนี้มีขนาดไม่ใหญ่ ทั้งสามเดินอยู่เพียงครู่เดียวก็ได้ยินเสียงกรอบแกรบ ๆ ดังขึ้นเบา ๆ เย่ซิวตู๋ยกมือขึ้น ทั้งสองคนที่อยู่ด้านหลังจึงดึงเท้ากลับมาและหยุดการย่างก้าว
เพียงไม่นาน ด้านในนั้นก็มีเสียงอันมืดมนของอาฝูดังออกมา “พวกเจ้าอย่ามาโทษข้า หากจะโทษคงทำได้แค่โทษชีวิตของพวกเจ้าที่ไม่ดีเอง”
สิ้นเสียงของเขา จู่ ๆ ก็มีเสียงของสตรีที่ฟังดูอ่อนแอแฝงด้วยความสั่นเครือเล็ก ๆ ท่าทางดูเหมือนจะหวาดกลัวอย่างมาก “ท่านฝู ท่านฝู ไว้ชีวิตพวกเราเถิดเจ้าค่ะ พวกเราเป็นแค่หญิงหม้ายกับเด็กกำพร้า คุกคามอะไรท่านไม่ได้อยู่แล้ว ขอร้องนะเจ้าคะ ขอร้องนะเจ้าคะ”
“เห็นทีคงไม่ได้ บนโลกใบนี้ มีแค่คนตายเท่านั้นที่มิอาจคุกคามได้ ดังนั้น เจ้าก็ตายไปพร้อมกับสามีเจ้าเถอะ”
เสียงของอาฝูฟังดูอึมครึมทั้งยังแฝงด้วยเจตนาสังหาร ราวกับว่าอีกครู่หนึ่งจะลงมือฆ่าคนเพื่อส่งไปสู่ความตาย
ร่างกายของสตรีนางนั้นสั่นแรงกว่าเดิม ทั้งกายราวกับถูกน้ำเย็นสาดเข้าใส่ ตัวสั่นเทิ้มอย่างไม่หยุด “ท่านฝู พวกเราจะไป พวกเราจะไปจากที่นี่ ขอร้องนะเจ้าคะ ลูกชายของข้าน้อยยังเล็ก เขายังเล็กนะเจ้าคะ”
“ไม่เล็กแล้ว เจ้าดูสายตาของเขาสิ จุ๊ ๆ โหดเหี้ยมปานนั้น หากข้าไว้ชีวิตเขา ไม่แน่หลังจากนี้เขาอาจมาแก้แค้นให้พ่อของเขาก็เป็นได้ ข้าไม่ได้มีความเมตตามากมายขนาดนั้นที่จะรอให้เขาเติบใหญ่แล้วกลับมาคิดบัญชี แต่ถ้าพวกเจ้ามีอะไรจะสั่งเสีย ก็บอกมาให้ข้าฟังได้ บางทีข้าอาจทำให้สำเร็จแทนพวกเจ้าได้”
“ถุย…” เด็กหนุ่มอายุราว ๆ 14-15 ปีที่อยู่ข้าง ๆ สตรีนางนั้นถ่มน้ำลายใส่เขา ตะคอกอย่างเดือดดาลด้วยใบหน้าดุร้าย “เจ้ามันฆาตกรฆ่าคนตาย เจ้าฆ่าพ่อของข้า ข้าไม่มีวันปล่อยเจ้าไว้ ต่อให้เป็นผีข้าก็ไม่มีวันปล่อยเจ้า”
ท่านฝูเปลี่ยนสีหน้าโดยพลัน ก้าวมาด้านหน้าพร้อมกับเงื้อเท้าเตะเข้ากลางอกของอีกฝ่าย ก่อนจะขยี้แรง ๆ อีกสองครั้ง “รนหาที่ตาย พ่อของเจ้ามันไร้ประโยชน์เอง โลภมาก แม้แต่เรื่องเล็ก ๆ ยังทำได้ไม่ดี ถ้ามันทำตามที่ข้าสั่ง ข้าก็คงไม่ต้องฆ่ามันหรอก บางทีอาจทำให้พวกเจ้าได้อยู่ด้วยกันด้วยซ้ำ ไอ้หนู ถ้าเจ้าฉลาดสักหน่อย ตอนนี้ก็ควรจะคุกเข่าแล้วโขกศีรษะอ้อนวอนข้า บางทีข้าอาจมอบโลงศพให้พวกเจ้าสองแม่ลูกด้วย ไม่เช่นนั้น ข้าจะโยนพวกเจ้าทิ้งไว้ที่เนินป่าช้าหลังจากฆ่าพวกเจ้าแล้ว ปล่อยให้หมาป่ากัดแทะศพจนไม่เหลือแม้แต่กระดูก”
เย่ซิวตู๋ที่ยืนอยู่นอกหน้าต่างถึงกับมุมปากยกขึ้น เยี่ยมมาก สิ่งที่ควรพูดก็พูดไปพอสมควรแล้ว
เขายกมือขึ้นเล็กน้อย เผิงอิงพยักหน้าด้วยดวงตาเป็นประกายเล็ก ๆ
ดูเหมือนว่าอาฝูที่อยู่ภายในเรือนจะเริ่มอาละวาดแล้ว เท้าที่ใช้บดขยี้เด็กคนนั้นก็ออกแรงมากขึ้นอีกหลายส่วน
สตรีที่อยู่ด้านข้างตกใจจนใบหน้าขาวซีด รีบเข้ามากอดขาของเขาไว้ พยายามจะดึงอีกฝ่ายไปด้านข้าง “ท่านฝู ท่านปล่อยลูกชายข้าไปเถิด ปล่อยลูกชายข้าไป ข้ายอมโขกศีรษะคำนับให้ท่านแล้ว ไว้ชีวิตด้วย โปรดไว้ชีวิตด้วยนะเจ้าคะ”
อาฝูหัวเราะร่าเสียงดัง มองดูสตรีที่กำลังคุกเข่าอ้อนวอนเขาราวกับรู้สึกตื่นเต้นและภาคภูมิใจอย่างมาก ความรู้สึกได้เหยียบย่ำคนอยู่ใต้ฝ่าเท้าแรง ๆ ทำให้เขารู้สึกหลงระเริง
เย่ซิวตู๋หรี่ตาลง อาฝูผู้นี้อาจเป็นเพราะเป็นบ่าวรับใช้มาหลายปีแล้ว จึงอยากวางท่าสร้างความอับอายให้ผู้อื่นเพื่อแสดงความเหนือกว่าของตนเอง เหมือนกับคนที่เป็นบ่าวไพร่มาตลอดทั้งชีวิต ภายในใจจึงบิดเบี้ยวอย่างหนัก
หงเย่กำหมัดแน่น ไอ้สารเลวผู้นี้รังแกสตรีและเด็ก ยังมีความเป็นมนุษย์อยู่หรือไม่? เขาอยากจะฆ่าก็ฆ่าให้มันจบ ๆ ไป เหตุใดต้องทรมานให้คนอื่นต้องอับอายเช่นนี้ด้วย?
อาจเป็นเพราะโอ้อวดเพียงพอแล้ว อาฝูจึงดึงเท้ากลับมา ถอนหายใจเฮือกหนึ่งด้วยความพึงพอใจ สายตาจ้องมองไปยังเด็กหนุ่มที่กำลังนอนไอโขลกด้วยใบหน้าแดงก่ำ รวมถึงสตรีที่โขกศีรษะลงบนพื้นข้าง ๆ จนเลือดไหลซึม ความชั่วร้ายที่มิอาจบรรยายได้ถูกพ่นออกมา
ตอนนั้นเขาเองก็เคยคุกเข่าเช่นนี้ต่อหน้าเหมิงกุ้ยเฟยและองค์ชายเจ็ด อ้อนวอนขอให้ไว้ชีวิตสตรีอันเป็นที่รักของตนเอง ทว่าเหมิงกุ้ยเฟยกลับไม่สนใจต่อการอุทิศตนอย่างจงรักภักดีตลอดระยะเวลาหลายปีของเขาแม้แต่น้อย ไม่สนใจว่าเขาจะคุกเข่าโขกศีรษะร้องไห้น้ำมูกน้ำตาไหลด้วยความเจ็บปวดเพียงใดยามเห็นคนฆ่าสตรีของเขา
ตอนนี้เขาหลุดจากการเป็นทาสแล้ว เขาออกมาจากการแอบซ่อนตัวเองอยู่ในตำหนักขององค์ชายเจ็ดมาหลายปีแล้ว ในที่สุดก็ได้แก้แค้นเสียที เขาจะทำให้เหมิงกุ้ยเฟยสูญเสียทั้งฐานะและชื่อเสียงเกียรติภูมิ ทำให้บุตรชายทั้งสองของนางฆ่ากันเอง ทำให้นางได้ลิ้มรสความเจ็บปวดที่ทำให้แทบไม่อยากมีชีวิตอยู่ต่อไปเหมือนกับเขาในตอนนั้น
ครั้นอาฝูนึกถึงเรื่องเหล่านี้ ความแค้นเหล่านั้นที่อัดอยู่ภายในใจก็ปะทุมากยิ่งขึ้น
สตรีและเด็กหนุ่มที่อยู่ตรงหน้าดูพร่ามัวไม่หยุด ราวกับเปลี่ยนรูปร่างหน้าตาเป็นเหมิงกุ้ยเฟยและองค์ชายเจ็ดในตอนนั้น เขายกเท้ากระทืบตัวของสตรีผู้นั้นแรง ๆ แสยะยิ้มกล่าวว่า “เจ้าเองก็มีวันนี้ เจ้าเองก็มีวันนี้ ฮ่า ๆๆ”
เด็กหนุ่มค่อย ๆ ได้สติกลับคืนมา เขาไม่ได้ทรมานที่หน้าอกขนาดนั้นแล้ว ตอนหันกลับมาก็พบว่ามารดาของตนเองถูกอีกฝ่ายถูกเตะจนกลิ้งไปกับพื้นพร้อมกับขดตัวงอ ดวงตาของเด็กหนุ่มพลันแดงฉาน กล่าวอย่างโกรธขึ้งว่า “เจ้ามันสัตว์เดรัจฉาน ข้าจะสู้กับเจ้าอย่างถึงที่สุด ข้าจะแก้แค้นแทนท่านพ่อของข้า”
ระหว่างที่พูด เขาก็พุ่งตัวเข้าไปกอดขาของอาฝูและกระแทกเข้ากับกำแพงที่อยู่ด้านหลัง
แม้อาฝูจะมีวรยุทธ์ ทว่าก็มิอาจสู้พละกำลังอันรุนแรงที่เกิดขึ้นอย่างฉับพลันของเด็กหนุ่มได้ ประกอบกับเขาที่เดิมทีก็ได้รับบาดเจ็บเพราะถูกโบยด้วยไม้ เมื่อถูกกระแทกเช่นนี้ ใบหน้าถึงกับบิดเบี้ยวโดยพลัน ขบฟันแน่นด้วยความเจ็บปวดพลางผรุสวาทออกมาว่า “เจ้ามันรนหาที่ตาย”
ครั้นเขาระเบิดความโกรธขึ้ง ก็ยกฝ่ามือขึ้นมาอย่างฉับพลัน มาดหมายสะบัดเด็กหนุ่มให้ออกไป
สตรีที่เดิมกำลังร้องไห้ถึงกับเบิกตากว้างเพราะความตื่นตกใจ การสะบัดมือด้วยความรุนแรงเช่นนี้ เกรงว่าชีวิตของบุตรชายนางคงจบสิ้นด้วยเงื้อมมือของอาฝูแล้ว
นางคิดจะลุกขึ้นยืนเพื่อขัดขวาง ทว่าทันทีที่ขยับร่างกาย ตำแหน่งที่ถูกอาฝูเตะเมื่อครู่ทำให้นางเจ็บจนแทบสิ้นสติ
เด็กหนุ่มลอยกระเด็นออกไป ทว่าด้านนอกหน้าต่างกลับมีเงาหนึ่งลอยเข้ามา หมุนกายโอบเอวของเด็กหนุ่มและลงมายืนบนพื้นอย่างมั่นคง
ตามมาติด ๆ ด้วยเงาอีกสองเงาที่โผนทะยานเข้ามาอย่างต่อเนื่อง
สตรีถึงกับตกตะลึง เผิงอิงวางตัวเด็กหนุ่มที่มีใบหน้าขาวซีดลงบนพื้น “เป็นเช่นไรบ้าง?”
เด็กหนุ่มชะงักไปครู่หนึ่ง เมื่อเห็นว่ามีคนเหล่านี้ปรากฏตัวอย่างฉับพลัน เขาก็เกิดอาการวิงเวียนศีรษะไปชั่วขณะหนึ่ง เพียงไม่นานเขาก็ตระหนักได้ว่าคนคนนี้มีวรยุทธ์แกร่งกล้า เป็นคนที่สามารถช่วยชีวิตได้
เด็กหนุ่มดึงแขนเสื้อของเผิงอิงโดยไม่หยุดคิด ราวกับคว้าความหวังสุดท้ายไว้ “ช่วยด้วย คนคนนั้นคิดจะฆ่าพวกเรา ท่านวีรบุรุษ ช่วยพวกเราด้วยขอรับ”
คำพูดของเด็กหนุ่มยังไม่จบประโยค ประตูห้องจากด้านข้างก็ถูกคนผลักให้เปิดออกจากด้านนอก ตามมาติด ๆ ด้วยเงาของหนึ่งผู้ใหญ่สองเด็ก
………………………………………………………………………………………………………………………..
สารจากผู้แปล
น่าดึงอาฝูมาอยู่ข้างเดียวกับท่านอ๋องเพื่อกำจัดนังกุ้ยเฟยนะคะ ศัตรูของศัตรูคือมิตรเรางี้
ไหหม่า(海馬)