อลวนรักหมอหญิงชิงลั่ว - ตอนที่ 447 เป็นคนขององค์ชายเจ็ด
ตอนที่ 447 เป็นคนขององค์ชายเจ็ด
ตอนที่ 447 เป็นคนขององค์ชายเจ็ด
ครั้นเงยหน้าขึ้น ก็พบว่าสองแม่ลูกคู่นั้นกำลังคุกเข่าลงข้าง ๆ ตนเอง บางทีอาจเป็นเพราะยังไม่ได้สติว่าบรรยากาศโดยรอบมิใช่บรรยากาศเดิมอีกต่อไปแล้ว จึงพุ่งตัวเข้ามาเตะเหอไห่ที่คุกเข่าอยู่บนพื้น
เผิงอิงรีบเขามาดึงเหอไห่ให้ถอยออกไปหนึ่งก้าว กล่าวด้วยน้ำเสียงโกรธแค้นว่า “อาฝูช่างกล้านักนะ อยู่ต่อเบื้องพระพักตร์ฝ่าบาทยังกล้าเหิมเกริม ไม่ต้องการชีวิตแล้วรึ?”
อาฝูถึงกับชะงัก…ฝ่าบาท?
เขารีบหันขวับกลับมามอง ก็พบฮ่องเต้ประทับอยู่ด้วยสีพระพักตร์เคร่งขรึม การแสดงออกช่างดูมืดหม่น
“อาฝู เจ้าบังอาจยิ่งนัก กล้าลงมือฆาตกรรมต่อหน้าธารกำนัล คิดกระทำเรื่องเหล่านั้นในที่ลับตาคน ทั้งยังมีจิตใจสกปรกทำเรื่องมีลับลมคมใน”
อาฝูถึงอย่างไรก็เกิดความหวาดกลัว จึงหมุนกายกลับมาโขกศีรษะลงต่อเบื้องพระพักตร์ฮ่องเต้ด้วย “ฝ่าบาททรงปราดเปรื่อง…บ่าว…กระหม่อมถูกปรักปรำ กระหม่อมเป็นแค่คนหาบเร่ตัวเล็ก ๆ คนหนึ่ง ขายผลไม้และผักเพื่อหาเลี้ยงชีพเท่านั้น เมื่อวานถูกท่านอ๋องซิวส่งเข้าคุกในฐานะผู้ต้องสงสัย วันนี้ไม่รู้ว่าทำอะไรผิดอีก ถึงได้ถูก…ถูกพามาอยู่เบื้องพระพักตร์ของฝ่าบาทเช่นนี้ ฝ่าบาท กระหม่อมถูกปรักปรำนะพ่ะย่ะค่ะ”
“ถูกปรักปรำ?” เหอไห่โกรธถึงขั้นยิ้มเยาะ “ปรักปรำเจ้าไปทำไม? เจ้าฆ่าพ่อของข้า ทั้งยังจับตัวข้ากับท่านแม่เพื่อข่มขู่ให้ท่านพ่อทำลายชื่อเสียงของท่านอ๋องซิว ถึงตอนนี้ยังไม่ยอมรับอีกรึ?”
อาฝูถลึงตาใส่เขาด้วยท่าทางชั่วร้าย ต่อให้ตายก็ไม่ยอมรับ “ฆ่าพ่อของเจ้า? ข้าไปฆ่าพ่อของเจ้าตั้งแต่เมื่อใด? เจ้ามีหลักฐานอะไร อย่าได้รับผลประโยชน์จากคนอื่นแล้วโจมตีใส่ร้ายข้าอย่างชั่วช้าสามานย์ที่นี่ ฝ่าบาทมีสายพระเนตรเฉียบแหลม ไม่มีทางเชื่อคำพูดไร้สาระของเจ้า”
“เจ้า…เจ้า…” ถึงอย่างไรเหอไห่ก็ไม่เคยเจอเรื่องเช่นนี้มาก่อน เขาเองก็คิดไม่ถึงไม่ถึงเช่นเดียวกัน มาถึงขั้นนี้แล้วอาฝูกลับยังเถียงข้าง ๆ คู ๆ “เจ้าเป็นคนบอกข้ากับท่านแม่เอง ว่าเจ้าฆ่าท่านพ่อของข้า”
“ข้าเป็นคนบอกเจ้าเอง?” อาฝูถึงกับหัวเราะ “นายน้อยเหอ เจ้าไร้เดียงสาเกินไปแล้วกระมัง หากข้าฆ่าพ่อของเจ้าจริง ๆ ข้าจะบอกเจ้าไปทำไมกัน? เจ้าเห็นกับตาตัวเองรึว่าข้าเป็นคนฆ่า เหตุใดถึงได้มาใส่ความข้า?”
“ใส่ความ? เราได้ยินกับหูตัวเองว่าเจ้าพูดว่าเมื่อวานเจ้าเป็นคนฆ่าอาจารย์นักเล่าเรื่อง” ฉีหานเว่ยมองอีกฝ่ายจากมุมสูงด้วยท่าทางดูหมิ่น “อาฝู เจ้าคงมิได้คิดว่าเรากำลังใส่ความเจ้า หรือได้ผลประโยชน์จากคนอื่นจึงตั้งใจใส่ความเจ้าหรอกกระมัง?”
อาฝูถึงกับชะงักไปครู่หนึ่ง เขาหันมองฉีหานเว่ยปราดหนึ่ง ก่อนจะกัดฟันทำท่าทางไร้ยางอายว่า “เหตุใดรัชทายาทฉีถึงทำเช่นนี้? อาฝูล่วงเกิน เตะโดนองค์ชายสิบสามครั้งเดียว รัชทายาทฉีก็เกิดความเกลียดชัง อาฝูคงพูดอะไรไม่ได้”
ฉีหานเว่ยยิ้มเยาะ อีกฝ่ายกำลังพูดว่าเขาอาศัยอำนาจส่วนรวมแก้แค้นส่วนตัวกระนั้นรึ?
ฮ่องเต้ขมวดพระขนงมุ่น เป็นฝีมือของอาฝูหรือไม่ทุกคนที่อยู่ที่นี่ต่างก็รู้ดีอยู่แก่ใจ ทว่าอาฝูผู้นี้กลับปากแข็ง ถึงช่วงเวลาหัวเลี้ยวหัวต่อเช่นนี้ยังเถียงข้าง ๆ คู ๆ
“อาฝู ในเมื่อเจ้าพูดว่าเจ้าไม่ได้ฆ่าเหอต้าเหลียง เช่นนั้นเจ้าจะอธิบายเรื่องที่ปรากฏตัวภายในสลัมอย่างไร จะอธิบายเรื่องที่เจ้ารู้จักกับสองแม่ลูกตระกูลเหออย่างไร?” เย่ซิวตู๋ไม่ได้รีบร้อน ถึงอย่างไรในคำพูดของอาฝูก็ยังมีช่องโหว่ เขาเองก็อยากเห็นเช่นกันว่าอีกฝ่ายจะอธิบายอย่างละเอียดได้อย่างไร
“ข้า…ข้าก็แค่ผ่านไปที่นั่น ได้ยินเสียงร้องขอให้ช่วย จึงเดินเข้าไปดู คิดไม่ถึงเลยว่าสองแม่ลูกคู่นี้จะถูกคนมัดไว้ในนั้น ข้าหวังดีเข้าไปช่วยพวกเขา ใครจะไปคิดว่าพวกเขาจะไม่รู้จักบุญคุณคน ใส่ร้ายข้าเช่นนี้”
เย่โฉวได้ยินถึงตรงนี้ สีหน้าพลันขาวซีด อาฝูสมควรตาย พูดจาเหลวไหลอะไรของมัน?
“อ๋อ ผ่านไปที่นั่นนี่เอง…” เย่ซิวตู๋มองเย่โฉวด้วยแฝงด้วยอารมณ์ความรู้สึกลึกล้ำ หัวเราะเสียงทุ้มต่ำ “แต่เราจำได้ว่า เจ้ากับผู้อารักขาของเราถูกระบุว่าเป็นผู้ต้องสงสัยเมื่อวานนี้ ทั้งยังอยู่ขังอยู่ในคุก ผู้อารักขาของเรายังไม่ทันได้ออกมา เหตุใดเจ้ากลับไปเดินกร่างอยู่บนถนน ทั้งยังผ่านไปถึงสลัมและเจอกับสองแม่ลูกตระกูลเหอด้วยความบังเอิญอีก?”
เหงื่อเย็นบนหน้าผากของอาฝูหยดติ๋ง เมื่อครู่เป็นเพราะเขาร้อนใจ สนใจแค่รับมือกับเย่ซิวตู๋และฉีหานเว่ย จึงลืมเรื่องสำคัญที่สุดไปเสียสนิท…บัดซบ
เย่โฉวรีบคุกเข่าลงและกระถดไปด้านหน้าสองก้าว ใช้ศีรษะโขกลงบนพื้นหินภายในท้องพระโรงจนเกิดเสียง ‘ปึง ๆ ๆ’
“ฝ่าบาท กระหม่อมมีความผิดสมควรตายหมื่นครั้ง กระหม่อมมีความผิดสมควรตายหมื่นครั้งพ่ะย่ะค่ะ เป็นเพราะความประมาทของกระหม่อม เดิมทีอาฝูถูกขังอยู่ในคุก แต่เมื่อคืนจู่ ๆ ในคุกก็มีงูพิษสองตัวเลื้อยเข้าไป ทำให้คนในคุกตื่นตระหนกจนยุ่งวุ่นวายไปหมด เมื่อคืนทหารเวรก็ยุ่งตลอดทั้งคืน ทำให้เกิดความประมาทอย่างเลี่ยงไม่ได้ อาฝูผู้นี้คงฉวยโอกาสจากตอนนั้นแอบหนีออกมาจากในคุก ฝ่าบาท กระหม่อมละเลยต่อหน้าที่ ความผิดสมควรตายหมื่นครั้ง”
เย่ซิวตู๋หัวเราะ เหลือบตามองเย่โฉวที่แสดงสีหน้าเศร้าสร้อย จึงลูบข้อมือของตนเองอย่างช้า ๆ
“พูดเช่นนี้ ใต้เท้าเย่ก็ไม่ได้ ‘จงใจ’ ปล่อยอาฝูออกมาสินะ?”
“ไม่ใช่พ่ะย่ะค่ะ ย่อมไม่ใช่ อาฝูหนีออกมาเอง”
ฮ่องเต้แค่นเสียงเย็น “นอกจากอาฝู ยังมีนักโทษคนอื่น ๆ หนีออกมาหรือไม่?”
เย่โฉวรีบส่ายหน้า “ไม่มีแล้วพ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท นักโทษคนอื่น ๆ ถูกทหารจับตาดูทุกคน มีแค่อาฝูที่หนีออกมาเพียงคนเดียว หลังจากกระหม่อมพบว่าเขาหายไป ก็ได้ส่งเจ้าหน้าที่ทหารไปตามหาทั่วทุกแห่ง คิดไม่ถึงเลยว่าเขาจะเจ้าเล่ห์ หลบสายตาของทหารเจ้าหน้าที่ไปได้ เป็นเพราะกระหม่อมทำงานไม่ดีเองพ่ะย่ะค่ะ”
เย่ซิวตู๋ครุ่นคิด ดูเหมือนว่าอาฝูผู้นี้คงกำลังถูกเฉดหัวทิ้งแล้ว
ไม่ถูกสิ บางทีเขาอาจถูกเฉดหัวทิ้งไปตั้งแต่แรกแล้ว หลังจากให้เขาออกหน้าเป็นพยานชี้ตัวเหวินเทียน คนที่อยู่เบื้องหลังย่อมต้องรู้ดีว่าเย่ซิวตู๋จะให้ความสำคัญทั้งหมดที่อาฝู และคงรู้ดีว่าหากคิดจะช่วยเหวินเทียนออกมา อาฝูก็คงต้องตายอย่างไม่ต้องสงสัย
“อาฝู เจ้าหนีเพราะกลัวความผิด ทั้งยังเล่นลิ้นพยายามเถียงข้าง ๆ คู ๆ ไม่ยอมพูดความจริงต่อหน้าเรา ไม่เพียงพูดจาใส่ร้ายรัชทายาทอาณาจักรหลินอวิ๋นว่าใส่ร้ายเจ้า ทั้งยังทำร้ายร่างกายองค์ชายสิบสาม ทำตัวผิดศีลธรรมเช่นนี้ ความผิดนี้สมควรตายหมื่นครั้ง พูดมา เหตุใดถึงข่มขู่เหอต้าเหลียงให้ทำลายชื่อเสียงของท่านอ๋องซิวและองค์หญิงเทียนฝู พวกเขาและเจ้ามีความแค้นใดต่อกัน ถึงได้วางแผนใช้ทุกวิถีทางเพื่อใส่ร้ายผู้อารักขาตำหนักอ๋องซิว?”
ฮ่องเต้ทรงกริ้วแล้ว จู่ ๆ พระองค์ก็ตบพระหัตถ์ลงบนพนักวางแขนบนเก้าอี้มังกร ทั้งยังตัดสินความผิดของอาฝูในทันที
เดิมทีอาฝูเองก็ไม่มีอะไรต้องพูดแล้ว มาถึงขั้นนี้แล้วพูดมากไปกว่านี้ก็เปล่าประโยชน์
จู่ ๆ ร่างกายที่ถูกมัดไว้ก็สั่นขึ้นมา อาฝูแหงนหน้าพลางแผดเสียงหัวเราะ น้ำเสียงหนักแน่นฟังดูทุ้มต่ำ
“แค้น? ฮ่า ๆๆ ข้ากับพวกเขาไม่ได้เป็นศัตรูคู่แค้นกันหรอก ข้าเป็นแค่บ่าวรับใช้ จะได้มีความแค้นกับนายท่านเช่นนี้ได้อย่างไรกัน? ฮ่า ๆ ข้ากับท่านอ๋องซิวไม่ได้มีความแค้นต่อกันสักหน่อย”
“พูดเช่นนี้ หมายความว่าคนที่อยู่เบื้องหลังสั่งเจ้างั้นสิ?” ฉีหานเว่ยเห็นสายพระเนตรของฮ่องเต้วูบไหว จึงยิ้มออกมา ไม่รอให้ฮ่องเต้ตรัส เขาก็เอ่ยถามนำออกมาก่อน
อาฝูจ้องหน้าฉีหานเว่ยปราดหนึ่ง ก่อนจะเบือนหน้าไปไม่พูดสิ่งใด
ฉีหานเว่ยเลิกคิ้วขึ้น “เมื่อครู่เจ้าพูดว่า เจ้าเป็นแค่บ่าวรับใช้ เช่นนั้นก็พูดมา เจ้าเป็นบ่าวรับใช้ของใคร?”
อาฝูแค่นเสียงเย็นหนึ่งเสียง
จู่ ๆ เย่โฉวที่อยู่ด้านข้างก็เงยหน้าขึ้น มองฮ่องเต้ปราดหนึ่ง กล่าวเสียงเบาว่า “ฝ่าบาท ก่อนที่อาฝูจะหลุดพ้นจากการเป็นทาส เขาเป็น…คนของตำหนักองค์ชายเจ็ดพ่ะย่ะค่ะ”
…………………………………………………………………………………………………………………………
สารจากผู้แปล
เอาล่ะสิ คมหอกพุ่งมาที่องค์ชายเจ็ดแล้ว นังกุ้ยเฟยจะทำยังไงล่ะเนี่ย
ไหหม่า(海馬)